ทันใดนั้น ฉินซีพลันรู้สึกว่าบริเวณระหว่างคิ้วของเขากระตุก ราวกับว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น
เขาลืมตา ขมวดคิ้วเข้าหากัน และพินิจพิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ผู้ที่อยู่ในโลกแห่งการฝึกตนสามารถรับรู้ถึงลางบอกเหตุร้ายได้ในบางครั้ง ยามนี้เขาพลันรับรู้ได้ถึงลางร้ายที่ว่านั้น เป็นไปได้ไหมว่าอาจมีบางอย่างกำลังเกิดขึ้น
ก่อนที่เขาจะล่วงรู้ถึงต้นตอของลางร้ายครั้งนี้ เขาได้ตะโกนเรียกออกไป “เจินจี…”
ถึงกระนั้นก็ตาม เขากลับหยุดเรียกกลางคัน วันนี้เจินจีไม่ได้มาที่นี่ เขาไปรับบททดสอบภายในม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติ เป็นไปได้ไหมว่าลางร้ายที่เขาสัมผัสได้จะเกี่ยวข้องกับเจินจี
เขาไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง ทว่าท้ายที่สุดแล้ว เขายังคงรู้สึกกระวนกระวายใจเช่นเดิม เขาจึงปัดฝุ่นออกจากแขนเสื้อ ลุกขึ้นไปเปิดประตูถ้ำ และค่อยๆ เดินออกไป
แสงแดดจ้าด้านนอกนั้นทำให้จิตใจของเขาหลุดลอยไป ใช่แล้ว มันล่วงเลยมาหลายปีแล้วตั้งแต่ที่เขาออกมาเป็นครั้งสุดท้าย มันนานปลายปีจนเขาจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่ามันนานมากแค่ไหนกันแน่
นี่คือการปิดประตูแห่งจิตที่ยาวนานที่สุดสำหรับเขา กว่าสามสิบปีที่ล่วงเลยมา เขาไม่เคยย่างเท้าออกจากถ้ำเซียนของเขาสักครั้ง มุ่งมั่นที่จะพัฒนาจากขั้นกลางไปจนถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังให้ได้ บัดนี้ เขาห่างจากการสร้างจิตวิญญาณใหม่เพียงก้าวเดียวเท่านั้น ในคราแรก เขาต้องการปิดประตูแห่งจิตต่อไป จนกระทั่งเขาสามารถสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้ ทว่าในยามนี้…
บริเวณระหว่างคิ้วของเขาเต้นแรงจนทำให้เจ็บปวด เขารู้สึกว่าตนเองไม่มีเวลาพอให้คิดสิ่งใดมากเกินไป เขาจึงโบกมือ และสร้างก้อนเมฆสีขาวบริสุทธิ์ปรากฎขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้าของเขา เขาก้าวขึ้นไปบนก้อนเมฆ และเหาะไปยังยอดเขาหลัก
ยามที่ม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติปรากฎขึ้น อาจารย์ก็บอกให้เขาลองเข้าไปทดสอบด้วย ทว่าเขาปฏิเสธไป เพราะเขายังคงอยู่ในการปิดประตูแห่งจิต ฉะนั้น เขาจึงมิรู้ว่าม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติอยู่ที่ใดกัน
ถึงกระนั้นก็ตาม เมื่อเขากระจายจิตสัมผัสออกไป เขาพบสถานที่บนยอดเขาหลัก ซึ่งมีผู้คนมารวมตัวกันมากมายอย่างง่ายดาย บางทีนั่นคงเป็นจุดหมายปลายทางของเขา
เขาก้าวเท้าขึ้นไปบนก้อนเมฆอย่างไม่ลังเล ควบคุมให้มันเหาะลงไปเบื้องล่าง
ยามที่เขามาถึง เขาพลันเห็นความชุลมุนวุ่นวายในบริเวณนั้นแล้ว เหล่าลูกศิษย์ที่ต้องออกมาหลังจากไม่ผ่านบททดสอบ กำลังมุงดูล้อมรอบบางสิ่งอย่างใกล้ชิด
เหล่าผู้อาวุโสการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ซึ่งกำลังดูแลสถานที่แห่งนั้น สัมผัสได้ถึงพลังกดดันวิญญาณของเขามาเนิ่นนานแล้ว หนึ่งในนั้นต้องการเห็นว่าผู้ใดกำลังมุ่งหน้ามา เขาจึงแหวกม่านของบรรดากลุ่มลูกศิษย์ ทว่าทันทีที่เขาทำเช่นนั้น เขากลับต้องประหลาดใจกับภาพของบุคคลที่เขาเห็น “ศิษย์น้องโส่วจิ้งหรือ”
ฉินซีเดินตรงเข้าไปหา “ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้น”
“โอ้” ผู้อาวุโสหลุดออกจากสภาพตะลึงงันในที่สุด และกล่าว “เจ้ามาก็ดีแล้ว มีบางอย่างเกิดขึ้นกับศิษย์แห่งยอดเขาวสันต์กระจ่างของเจ้า”
ฉินซีขมวดคิ้ว ทว่าไม่ได้กล่าวอะไร เขาเพียงแต่เดินตามผู้อาวุโสเข้าไปในฝูงชน
“ศิษย์น้องโส่วจิ้ง!” เจ้าสำนักเสิ่นซึ่งกำลังย่อตัวลงอยู่กับพื้นเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ พลันเรียกเขา
ก่อนที่ฉินซีจะมีโอกาสได้กล่าวอะไร เขาก็เห็นศิษย์ผู้นั่นนอนอยู่กับพื้นแล้ว ครู่ใหญ่ต่อมา เขาถึงจะเค้นเสียงของตนเองออกมาได้ “เกิดอะไรขึ้น”
ผู้อาวุโสอีกท่านกล่าว “มีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างบททดสอบที่สาม ศิษย์ทั้งสองบังเอิญพบกัน คนหนึ่งกำลังเห็นภาพมายาของผู้คนเป็นๆ ขณะที่อีกคนหนึ่งนั้นโชคไม่ดี นางกำลังเผชิญด่านห้าความสับสนรังควานวิญญาณ ทว่าสติปัญหาของนางเริ่มเลือนราง ฉะนั้น…”
ขณะที่ฉินซีมองตามสายตาของผู้อาวุโส เขาพลันต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง “หมิงจูหรือ”
หร่วนหมิงจูนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง นางกำลังอยู่ในอาการงุนงง เนื้อตัวสั่นเทา และไม่แม้แต่ตอบรับยามที่ฉินซีเรียกนางด้วยซ้ำ
เจ้าสำนักเสิ่นกล่าว “นางถูกเคลื่อนย้ายออกมา ยามที่นางตกอยู่ภายในกำแพงปีศาจของนาง ยามนี้อย่าเพิ่งพูดกับนางจะเป็นการดีที่สุด”
ฉินซีพยักหน้า สายตาของเขากลับไปจับจ้องที่โม่เทียนเกอ ซึ่งกำลังนอนหมดสติอยู่กับพื้นอีกครั้ง “ม่านพลังนี้มีไว้ทดสอบกับฝึกฝนลูกศิษย์เท่านั้น และไม่มีภยันตรายใด ๆ ไม่ใช่หรือ”
ขณะกำลังถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปยังร่างของโม่เทียนเกอ เจ้าสำนักเสิ่นพลันกล่าว “มันไม่ควรมีภยันตรายถึงแก่ชีวิตใดๆ ยามที่ศิษย์ผู้นี้ได้รับการโจมตีถึงตาย นางจะถูกเคลื่อนย้ายออกจากม่านพลังโดยทันที เพียงแต่ว่ายามที่นางถูกโจมตี สติสัมปชัญญะของนางเกิดอยู่ในสภาวะมึนงง จิตใจของนางจึงได้รับบาดเจ็บชั่วคราว”
“… เช่นนี้เอง” เมื่อเห็นว่าเจ้าสำนักเสิ่นหยุดโอนถ่ายพลัง ฉินซีจึงย่อตัวลงเพื่อจับชีพจรของโม่เทียนเกอ และถ่ายพลังวิญญาณของเขาเพื่อตรวจสอบอาการของนาง
เส้นลมปราณของนางปกติดี และตานเถียนของนางก็อยู่ในสภาพดีเช่นกัน ทว่าห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของนางถูกปิดเอาไว้ รอยย่นบริเวณคิ้วของเขาพลันลึกกว่าเดิม ห้วงมหรรณพแห่งความรู้ที่ถูกปิดไว้ อาจเป็นปัญหาใหญ่หรือเล็กก็ได้ แม้ว่ามันจะไม่อันตรายถึงแก่ชีวิต ทว่าการถูกผู้อื่นทำร้ายระหว่างกำลังฝ่าด่านบททดสอบทางจิตใจ ช่างเป็นเรื่องที่อันตรายนักอย่างแน่นอน หากการกระตุ้นมีมากจนเกินไป พวกเขาอาจต้องใช้เวลาสิบถึงยี่สิบปีกว่าจะฟื้นขึ้นมา หรือพวกเขาอาจจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาก็ได้!
ฉินซีเงยหน้าขึ้นไปมองที่หร่วนหมิงจู เขาอยากพูดอะไรบางอย่าง ทว่าจากท่าทางตื่นกลัวของนางแล้ว ดูเหมือนนางจะเจอมาไม่น้อยเช่นกัน เขาจึงล้มเลิกความตั้งใจของเขาเสีย
“ศิษย์น้องโส่วจิ้ง สตรีนางนี้คือศิษย์น้องของเจ้า ที่ร่ำเรียนมาจากอาจารย์เดียวกันสินะ เจ้าควรพานางกลับไปก่อน ส่วนอาการสาหัสหรือเล็กน้อยนั้น เจ้าควรให้อาจารย์ลุงจิ้งเหอตรวจสอบนางอีกที”
ฉินซีไม่รีรอ และพยักหน้ารับทันที “ขอรับ” เขาโน้มตัวลงเพื่ออุ้มโม่เทียนเกอ จากนั้นจึงหันไปมองที่หร่วนหมิงจู “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ขออภัยด้วย ทว่าข้าคงต้องรบกวนพวกท่านดูแลหลานศิษย์ของข้าสักพัก ข้าจะรีบส่งคนมารับตัวนางกลับไป”
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว” เจ้าสำนักเสิ่นย่อมไม่ปฏิเสธ ศิษย์รักของประมุขเต๋าจิ้งเหอได้รับบาดเจ็บสาหัสภายในม่านพลัง และหลานศิษย์ของเขาถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง… ด้วยอุปนิสัยของเขาแล้ว การที่เขาไม่โทษพวกนางก็ดีมากแล้ว นอกจากนี้ พวกเขาล้วนแต่จำต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ การเข้าสู่ม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติมีภยันตรายอย่างแท้จริง ทว่าเพราะพวกเขากลัวว่าเหล่าลูกศิษย์จะไม่ยอมเสี่ยง จึงมิได้ชี้แจงเรื่องนี้ในรายละเอียดนัก และเพียงแต่บอกให้เหล่าลูกศิษย์ระวังตนเท่านั้น
“ท่านอาจารย์! ท่านอาจารย์!” เยี่ยเจินจีเพิ่งออกมาจากม่านพลัง ทว่าเขากลับได้รับการต้อนรับด้วยภาพฉากเบื้องหน้า ใบหน้าของเขาพลันซีดเผือดทันที ขณะมองดูโม่เทียนเกอ “เกิดอะไรขึ้นกับท่านป้าของข้า”
ฉินซีขมวดคิ้วและกล่าว “เราค่อยคุยกันหลังจากที่เรากลับไปแล้ว”
จากนั้นเขากพลันโบกแขนเสื้อเพื่อเรียกเมฆลอยได้ออกมา และพาเยี่ยเจินจีกลับสู่ยอดเขาวสันต์กระจ่าง
เมฆลอยได้ทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงสุด เพียงชั่วเวลาสั้นๆ พวกเขาพลันมาถึงยอดเขาวสันต์กระจ่าง และร่อนลงจอดที่หน้าตำหนักซ่างชิง
ฉินซีไม่หยุดแต่อย่างใด เขามุ่งหน้าไปยังตำหนักซ่างชิงโดยมีโม่เทียนเกออยู่ในอ้อมแขนของเขา
“อาจารย์ลุงโส่วจิ้ง!” บรรดาลูกศิษย์ที่เฝ้าประตูดูตะลึงงัน ยามได้เห็นสีหน้าหม่นหมองของเขา และโม่เทียนเกอที่หมดสติอยู่ในอ้อมแขนของเขา
ฉินซีไม่ได้สนใจลูกศิษย์เหล่านั้น เขาพุ่งตรงเข้าไปในตำหนักซ่างชิง ร้องเรียกเสียงดัง “ท่านอาจารย์!”
จิตสัมผัสของประมุขเต๋าจิ้งเหอครอบคลุมไปทั่วบริเวณโดยรอบ เขาจึงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่เขาหันกลับมา เขากลับต้องตกใจกับภาพฉากที่ได้เห็นโดยสิ้นเชิง “เกิดอะไรขึ้น”
ขณะที่วางโม่เทียนเกอลง ฉินซีกล่างอย่างเป็นกังวล “ท่านอาจารย์ ช่วยข้าดูที นางถูกทำร้ายขณะกำลังฝ่าบททดสอบทางจิตใจภายในม่านพลัง ข้าได้ตรวจอาการนางแล้ว ดูเหมือนนางไม่ได้บาดเจ็บอะไร ทว่าห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของนางถูกปิดกั้นเอาไว้”
หลังจากได้ยินคำพูดของฉินซี ประมุขเต๋าจิ้งเหอพลันคว้าข้อมือของโม่เทียนเกอ พลันสัมผัสเส้นลมปราณ และตรวจสอบอาการบาดเจ็บของนาง
สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นในทันที
ฉินซีอดใจไม่ไหว จึงถามออกไป “นางเป็นอย่างไรบ้าง”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอลูบเคราของเขา คิ้วของเขาขมวดแน่น “ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ข้าคิดว่านางเพิ่งค้นพบจุดอ่อนบางอย่างในสภาวะจิตใจของนางเข้า จากนั้นนางจึงถูกทำร้าย ขณะกำลังเผชิญกับด่านห้าความสับสนรังควานวิญญาณ…”
“แล้วเราจะทำอย่างไรดี”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอถลึงตาใส่เขา “อย่าเพิ่งขัดได้ไหม ข้ายังพูดไม่จบ!”
เมื่อถูกถลึงตาใส่ ฉินซีพลันหมดคำพูด และทำได้เพียงยอมรับความผิดพลาดของตน “ตกลง ข้าจะไม่ขัดจังหวะท่าน”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงกล่าวต่อไป “นางปิดกั้นห้วงมหรรณพแห่งความรู้ภายในจิตใต้สำนึก เพื่อเป็นการป้องกันตนเอง ฉะนั้น เราจึงไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยของนาง เพราะมันไม่น่ามีปัญหาแต่อย่างใด ทว่าการปลุกให้นางตื่นนั้นกลับยุ่งยากเล็กน้อย”
หลังจากยืนยันแล้วว่าศิษย์ของตนปลอดภัย ประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงลูบเคราและหยุดพูด รอให้ฉินซีถามต่อไป ถึงกระนั้นก็ตาม หลังจากถูกตำหนิไปเมื่อครู่ ฉินซีกลับไม่ถามสิ่งดี และเอาแต่จ้องหน้าเขาต่อไป ฉีนซียังคงจ้องหน้าเขาอย่างต่อเนื่อง จนเขารู้สึกระอายิ่งนัก ขณะที่เขาเริ่มจะโมโห เยี่ยเจินจีพลันถามอย่างร้อนรน “ท่านปรมาจารย์ เราควรทำอย่างไรดี”
จังหวะที่เหมาะเหม็งของเยี่ยเจินจีทำให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอรู้สึกพอใจยิ่งนัก ทันใดนั้น เขาพลันรู้สึกว่าเยี่ยเจินจีช่างน่าสนใจเหลือเกิน เขาจึงยิ้มกว้างและกล่าว “ไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ เราแค่ต้องดูแลนางให้ร่างกายของนางปลอดภัยก็พอแล้ว สักพักหลังจากนี้ เมื่อนางพบว่าไม่มีอันตรายใดๆ แล้ว นางก็จะเปิดห้วงมหรรณพแห่งความรู้ของนางขึ้นมาอีกครั้งเอง”
“โอ้…” ทั้งเยี่ยเจินจีและฉินซีถอนหายใจพร้อมกัน
ฉินซีครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นจึงถามอีกครั้ง “ท่านอาจารย์ นางจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
“อืม… อย่างเร็วที่สุดก็คงไม่กี่เดือน นานที่สุดก็คงอีกหลายๆ สิบปี” จากนั้นเขาพลันตบบ่าของฉินซี และกล่าวอย่างไร้ความรับผิดชอบ “วางใจได้ บัดนี้นางยังอ่อนเยาว์นัก แม้นางจะฟื้นขึ้นมาในอีกหลายสิบปีข้างหน้า มันก็ยังไม่สายสำหรับนางที่จะสร้างขุมพลัง”
เมื่อเขากล่าวเช่นนั้นจบ เขาก็ไม่สนใจสีหน้าเศร้าหมองของฉินซีอีก และโบกมือไปมา “เอาละ พานางกลับไปที่บ้านพักหมิงชิง อ้อ… แค่ให้ซิ่วฉินกับคนอื่นๆ ดูแลนางก็พอแล้ว”
ฉินซีพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อรั้งตนเองไว้ ทว่าท้ายที่สุดแล้วเขากลับอดใจไม่ไหว “ท่านอาจารย์! หากแค่ไม่กี่ปีคงไม่เป็นไร ทว่าหลายสิบปีนั้น… แม้นางจะไม่ตาย ทว่าปัญหาต่างๆ จะเกิดขึ้นภายในร่างกายของนางได้ หากนางยังไม่ได้สติต่อไปเช่นนี้ ท่านช่วยคิดหาทางอื่นไม่ได้หรือ”
“เอ๋” เดิมทีความกังวลของเยี่ยเจินจีได้จางหายไปแล้ว เมื่อเขาได้ยินว่าท่านป้าของเขาไม่เป็นไร ทว่ายามนี้เขากลับกังวลขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านปรมาจารย์ จริงหรือขอรับ”
“เหลวไหลน่า!” คนที่ตอบกลับเป็นฉินซี คิ้วของเขาขมวดแน่น และเสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง “แม้ผู้ฝึกตนอย่างเราจะไม่ต้องกิน ทว่าเรายังต้องดูดซับพลังวิญญาณ เราอาศัยพลังวิญญาณเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้! หากนางไม่ได้สติเช่นนี้ไปอีกหลายปี หรืออีกหลายสิบปี นางอาจยังมีชีวิตรอดจริง ทว่าเมื่อใดก็ตามที่นางหยุดดูดซับพลังวิญญาณแล้ว กายหยาบของนางจะเ**่ยวและแห้งกรอบ เมื่อถึงยามนั้น ต่อให้นางฟื้นขึ้นมา ระดับการฝึกตนของนางจำต้องถดถอยลงเป็นแน่!”
“หา! มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือ” เยี่ยเจินจีหันหน้าไปหาประมุขเต๋าจิ้งเหอ และกล่าวอย่างน่าอนาถ “ท่านปรมาจารย์! ท่านจะปล่อยให้ท่านป้าข้ากลายเป็นหญิงชราเ**่ยวแห้งไม่ได้นะ ท่านป้าของข้ายังอ่อนเยาว์นัก!”
“พรวด!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพ่นน้ำชาออกมา “หญิงชราเ**่ยวแห้งหรือ! ฮ่าๆ! สมกับเป็นเจ้าจริงๆ ที่คิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้!”
“ท่านอาจารย์!” ฉินซีถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโห “หากท่านอยากหัวเราะ ท่านสามารถหัวเราะจนกว่าจะพอใจหลังจากเรื่องนี้ถูกจัดการแล้วได้ ท่านควรคิดหาทางออกเดี๋ยวนี้!”
“จะมีทางออกอื่นใดอีกเล่า” ประมุขเต๋าจิ้งเหอยักไหล่ด้วยท่าทีไร้เดียงสา “ข้าก็บอกเจ้าแล้วไง หลังจากนี้สักพัก นางจะฟื้นขึ้นมาเอง”
“จริงหรือ” ฉินซีผ่อนคลายสีหน้าของเขา “ท่านอาจารย์ ท่านไม่ต้องการยาสงบจิตเก้าวัฏจักรอีกต่อไปแล้วหรือ”
“อ้าว! เจ้าเด็กเหลือขอ นี่เจ้าขู่ข้าอย่างนั้นหรือ!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอแผดเสียงกล่าวโทษ
“หากข้าทำเล่า” ฉินซีเลิกคิ้วขึ้น “อย่าลืมว่าสมุนไพรวิญญาณของท่านทั้งหมด ล้วนแต่อยู่ในกำมือของข้า ท่านต้องการสำรับยาใช่ไหม ได้สิ ใช้สมองของท่านแก้ไขเรื่องนี้ให้ได้ก่อน!”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอกัดฟัน “เจ้าเด็กเหลือขอตัวดี ข้าอุตส่าห์ยอมให้เจ้าเรียนรู้การปรุงยา ทว่าท้ายที่สุดแล้ว เจ้ากลับใช้ทักษะของเจ้ามาข่มขู่ข้า!”
น่าเสียดายที่ฉินซีไม่รู้สึกสะทกสะท้าน เขาไม่แม้แต่จะชำเลืองมองประมุขเต๋าจิ้งเหอด้วยซ้ำ
ประมุขเต๋าจิ้งเหอโกรธจนหน้าเขียว เขากลอกตาไปมา ทว่าทันใดนั้น ดูเหมือนเขาจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้ และสายตาของเขาพลันจับจ้องไปที่ฉินซีอีกครั้ง “เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือ ว่าเจ้าอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตที่แสนเข้มงวด ไฉนเจ้าถึงออกมาเล่า”
“…” ฉินซีตะลึงงัน เขาอ้าปากและปิดปากลง คล้ายกับต้องการเอ่ยบางอย่าง ทว่าเขาไม่อาจพูดสิ่งใดออกมาได้ในท้ายที่สุด
เมื่อได้เห็นท่าทางของฉินซีแปรเปลี่ยนจากความฉุนเฉียวเป็นความกระอักกระอ่วน ประมุขเต๋าจิ้งเหอพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาและตบโต๊ะไปด้วย เขาหัวเราะก๊ากอย่างเต็มที่จนตัวงอ “ฮ่าๆ ! เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้าทำให้ข้าขำแทบตาย! เจ้ากำลังปิดประตูแห่งจิตอยู่แท้ๆ เจ้าอยู่ในนั้นมาสามสิบห้าปี เหตุใดอยู่ ๆ เจ้าถึงออกมาโดยไม่แจ้งผู้ใดกัน นี่ อย่าบอกนะว่านี่ไม่นับว่าเจ้าออกมา! เจ้าออกมาจากถ้ำของเจ้า ออกมานั่งข้างนอก และแม้แต่พบปะพูดคุยกับผู้อื่นรวมถึงดื่มชาด้วย หากนี่ไม่เรียกว่าออกจากการปิดประตูแห่งจิตแล้วไซร้ มันมันเรียกว่าอะไรกันเล่า นี่ๆ เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ บอกข้ามาสิ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับเทียนเกอ ทำไมอยู่ๆ เจ้าถึงออกจากการปิดประตูแห่งจิตกันล่ะ”
ฉินซีไม่ได้กล่าวอะไร เขาเมินหน้าหนี มองต่ำลง และเริ่มนับมดในบริเวณนั้น
ประมุขเต๋าจิ้งเหอแอบเดินเข้ามาหาเขาอย่างลับๆ ล่อๆ “บอกมาเร็วเข้า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตมาตั้งสามสิบห้าปี และเจ้าพูดเองด้วยซ้ำว่าจะไม่ออกมาจนกว่าเจ้าจะทะลวงดินแดนได้ ทว่าในยามนี้ อยู่ๆ เจ้าก็ออกมา อย่างน้อยเจ้าก็ต้องอธิบายให้อาจารย์ฟังบ้างใช่ไหม พูดออกมา พูด!”
ฉินซีไม่อาจทนการก่อกวนเช่นนี้ได้อีกต่อไป เขาจึงกล่าวแค่ว่า “ข้านึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเจินจี”
ครานี้ แม้แต่เจินจีที่นั่งคู้ตัวอยู่ข้างๆ ยังหันหน้ามามองเขาเช่นกัน
อาจารย์ของเขายืนอยู่เบื้องหน้า ขณะที่ศิษย์ของเขาอยู่ข้างกายเขา ท่าทางของฉินซีในยามนี้ดูหมดท่าเสียเหลือเกิน “ข้า… สัมผัสถึงลางร้าย ข้าคิดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเจินจี ข้าก็เลย…”
“โอ้ เจ้าสัมผัสถึงลางร้ายได้ด้วย” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง “ไม่ง่ายเลย… มันไม่ง่ายเลยจริงๆ …”