บทที่ 6 บทที่ 103 ทำความเคารพ

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

ถึงแม้จะเป็นการเจอหน้ากันครั้งที่สาม แต่เฉิงอี้หรานก็ยังไม่สามารถรู้ข่าวคราวที่เขาต้องการรู้จากตัวของอีกฝ่าย…เพิ่มขึ้นได้

 

แม้จะเป็นเพียงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยที่อาจดูถึงนิสัยและความคุ้นเคยได้ก็ยังไม่มี

 

ก่อนจะเข้ามาครั้งที่สามเขาคิดจะลองใช้การสังเกตหาข้อมูลจากพ่อค้าลึกลับคนนี้ แต่เพียงเจ้าของสมาคมนั่งลงตรงหน้าของตนเอง เฉิงอี้หรานก็ต้องหยุดความคิดอันไร้เดียงสาของเขาไป

 

เขาไม่ใช่จงลั่วเฉินที่เกิดมาในครอบครัวร่ำรวย ทั้งไม่มีทักษะด้านการสังเกต…หากเขาดูคนเป็นก็คงไม่ถูกหลี่จื่อเฟิงควบคุมเล่น

 

นี่ทำให้เฉิงอี้หรานกลืนคำพูดที่คิดจะพูดกลับลงท้องไป…ส่วนหลังจากที่อีกฝ่ายพูดว่า ‘มีเรื่องอะไร’ นั้นก็เหมือนเป็นการบีบให้เขาพูดความคิดในใจออกมา

 

เหมือนเขาจะข้ามขั้นตอนการคิดพิจารณา เฉิงอี้หรานพูดพร้อมกับตกใจในความ ‘ตรงไปตรงมา’ ของตัวเอง “ทำไม…หงก้วนถึงใช้กีตาร์ของผมได้?”

 

เฉิงอี้หรานรู้สึกว่าที่ตนเองคิดจะถามจริงๆ ก็คือ ทำไมตนเองถึงดีดกีตาร์ด้ามนี้ไม่ได้

 

แต่ทำไม…ถึงกลายเป็นคำถามนี้ได้?

 

ลั่วชิวครุ่นคิดและเอ่ยว่า “อืม…ผมยังคิดว่าคุณเฉิงจะสนใจปัญหาของตัวเองมากกว่าซะอีก จิตใจคนช่างซับซ้อนจริงๆ งั้นผมของถามกลับดีไหม ทำไมคุณเฉิงถึงคิดว่าหงก้วนใช้กีตาร์ด้ามนั้นได้ครับ?”

 

“นี่เป็นของที่ผมซื้อ!” เฉิงอี้หรานเอ่ยตอบ

 

ลั่วชิวพูดอย่างราบเรียบว่า “สมมติคุณลูกค้าซื้อของบางอย่างจากร้าน…เช่นโทรศัพท์? หรืออุปกรณ์บางอย่างกลับไป คนอื่นก็จะใช้ไม่ได้เลยเหรอครับ”

 

“ไม่เหมือนกัน!” เฉิงอี้หรานโต้กลับทันควัน

 

“มีอะไรไม่เหมือนกันครับ” ลั่วชิวถามกลับ

 

เฉิงอี้หรานกำหมัดพูดว่า “นี่เป็นของที่ผมใช้…วิญญาณของผมซื้อมา! แต่ถึงจะเป็นอย่างที่คุณพูดว่าคนอื่นก็ใช้ความสามารถในของสิ่งนั้นได้ แต่ตอนนี้ผมเองที่เป็นเจ้าของกลับใช้ไม่ได้! นี่มันหมายความว่ายังไง?”

 

“เรื่องนี้ คุณเฉิง ผมคิดว่าผมพูดอย่างชัดเจนดีแล้วในครั้งแรกที่เราพบกัน” ลั่วชิวส่ายหน้า “ครั้งนี้ผมไม่คิดจะตอบคำถามนี้อีก ผมพูดได้แค่ว่าพลังของกีตาร์ไม่ได้หายไป คุณก็เรียกความสามารถนั้นให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งได้”

 

เฉิงอี้หรานขมวดคิ้ว…เรียกให้ตื่นอีกครั้งงั้นเหรอ

 

ถ้าหากยังปลุกให้ตื่นได้…งั้นตอนนี้ก็ยังไม่ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด

 

เขารีบถามในทันทีว่า “ผมจะปลุกมันให้ตื่นได้ยังไง?”

 

ลั่วชิวพูดว่า “อืม สิ่งนี้เกินขอบเขตการให้คำแนะนำแล้ว หากคุณเฉิงอยากรู้คงต้องแลกเปลี่ยนเอา…แน่นอนว่านอกจากวิญญาณของคุณแล้ว ของที่คุณเฉิงใช้แลกเปลี่ยนได้ก็มีไม่มาก…คุณต้องการซื้อไหมครับ”

 

ภายในพริบตาเดียว ความลึกลับของที่นี่ดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นในใจเฉิงอี้หรานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตอนนี้หัวใจของเขาเต้นแรง ไม่รู้ตัวว่าเหงื่อเย็นของตัวเองได้ซึมเต็มหลังแล้ว

 

เขาไม่ได้ขาดสติและรู้ดีว่าไม่ควรวู่วาม เมื่อเผชิญหน้ากับร้านค้าที่มีพลังลึกลับและเจ้าของร้าน เขาเข้าใจดีว่าตัวเองนั้นเล็กมาก เขารู้ดีว่าพลังไม่เพียงแต่ไม่ช่วยตัวเองแก้ปัญหา แต่ยังนำพาปัญหาไปในทิศทางที่เลวร้ายยิ่งขึ้น

 

ยังโง่เขลาเกินไป

 

ยังหนุ่มเกินไป

 

อย่างเช่นครั้งแรก หากเขาคิดให้รอบคอบ…หรือตอนแรกขอในสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง ไม่ใช่เสียสติไปตั้งแต่ที่ได้ยินถึงพลังของกีตาร์ เขาก็คงไม่ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้

 

“ผม…ผมขอคิดดูก่อน”

 

ในที่สุดเฉิงอี้หรานก็ถอยกลับด้วยความสงบของเจ้าของสมาคม…เพราะเขาไม่รู้ว่าเส้นทางที่ถูกความสงบนิ่งนี้ปกคลุมไว้จะเป็นอย่างไร เป็นเส้นทางที่หากก้าวเข้าไปเพียงก้าวเดียวก็…จะตกเหวลึกหรือไม่

 

ลั่วชิวโบกมือขึ้น แล้วเฉิงอี้หรานก็หายตัวไปจากสมาคม

 

คุณหนูสาวใช้ที่เพิ่งชงชาเสร็จกำลังยกชาเข้ามาก็พูดอย่างแปลกใจขึ้นว่า “อ้าว ลูกค้าไปแล้วเหรอคะ เร็วขนาดนี้เชียว”

 

“ครั้งนี้เร็วไปหน่อย” ลั่วชิวถอดหน้ากากออก ยิ้มและพูดว่า “แต่ในเมื่อชงชาแล้วก็อย่าให้เสียเปล่า”

 

เจ้าของสมาคมหยิบกลีบมะนาวขึ้นมาจากจานเล็ก ใส่เข้าไปในปาก แต่อาจจะเปรี้ยวเกินไป ลั่วชิวจึงหยีตา

 

เขาบอกให้โยวเย่นั่งลงด้วยกัน “เธอว่าจุยเฟิงจะเลือกยังไง ให้อภัย? หรือว่า…”

 

เจ้าของสมาคมลูบผ่านด้านหน้า ภาพบางภาพเริ่มปรากฏขึ้นต่อหน้าคุณหนูสาวใช้

 

โยวเย่ยืดตัวตรง เผชิญหน้ากับภาพในม่านแสงเหล่านี้ แต่ก่อนเธอไม่ได้สนใจเรื่องของลูกค้าแบบนี้…เพราะเป็นเรื่องไร้ความหมายสำหรับเธอ

 

ต่อมาเมื่อเธอได้อยู่กับเจ้าของสมาคมคนใหม่ ทุกอย่างก็คล้ายจะเปลี่ยนไปจากเดิม

 

นี่คือช่วงบ่ายแล้ว

 

แต่ก่อนขอเพียงลูกค้าจากไป แม้จะเป็นเวลาบ่ายที่นี่ก็จะมืดมิดลงเช่นเดิม เจ้าของสมาคมจะกลับเข้าไปในห้องไม่ออกมา ส่วนเธอก็จะนั่งหลับตาอยู่ที่นี่

 

ไฟจะสว่างขึ้นในเวลาที่มีลูกค้ามาเท่านั้น

 

แต่ตอนนี้แสงไฟสว่างและไม่ได้มีเพียงเธอแค่คนเดียว

 

เหมือนกับตอนบ่ายนี้ อยากจะให้มันเป็นแบบนี้ตลอด…ตลอดไป

 

 

 

พวกเขาเรียกที่นี่ว่าตึกอวิ้นฉิน เป็นตึกใหญ่ที่สร้างมานานมากแล้ว เวลานั้นด้านหน้าของตึกแห่งนี้มีแต่บ้านเรือนหลังเล็ก วิวดีมาก

 

แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว มีตึกสูงใหญ่กว่ามันมากมายก่อตั้งขึ้น

 

ทำลายตึกสูงใหญ่ที่ขวางอยู่ด้านหน้าทั้งหมดซะ

 

ทันใดนั้นจุยเฟิงก็เกิดความคิดนี้…เขายืนบนรั้วดาดฟ้าของตึกอวิ้นฉิน หากเดินไปอีกก้าวก็จะเป็นพื้นที่ว่างเปล่า

 

เขากางมือของตนเองออก ปล่อยให้ลมที่พัดเข้ามาระหว่างช่องตึกพัดผ่านแขนของเขาไป…เขาชอบความรู้สึกที่เหมือนกำลังบินแบบนี้

 

แต่นี่ก็เป็นความคิดโง่ๆ ที่เขารู้สึกอายเมื่อจะพูดให้คนอื่นฟัง

 

มีคนอื่นที่ได้ฟัง…แต่มันก็เป็นเพียงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว

 

เวลานี้ ประตูเหล็กที่เรียบง่ายบนดาดฟ้าของตึกถูกเปิดออก เสียงสนิมขูดส่งเสียงดังเอี๊ยด จุยเฟิงนิ่งเงียบนับเสียงฝีเท้า

 

เขารู้ว่าพวกที่เดินขึ้นมานั้นไม่ใช่พวก ‘เพื่อน’ ของเขา…อาจจะเป็นพวกที่มองเขาเป็นศัตรู

 

เขาหันกลับไป เขาที่ยืนบนรั้วอยู่สูงหน่อยจึงต้องมองลงไป…ด้านล่างล้วนแต่เป็นคนที่เขาคุ้นหน้า

 

“ใต้เท้าหลง ผมคิดไว้แล้วว่าคุณจะต้องออกมาหาผม” จุยเฟิงเอ่ย สายตากวาดไป…ข้างกายของหลงซีรั่วยังมีกุ่ยอิง และปีศาจชายสวมชุดสูทสีดำอีกสองตน

 

เจ้าของร้านคนนั้นพูดแล้วว่ากระดิ่งสามารถใช้กับผู้ที่อ่อนแอกว่าเขาเท่านั้น…ซึ่งจุยเฟิงเองก็เคยมีประสบการณ์มาแล้ว

 

กระดิ่งไม่มีผลกระทบต่อกุ่ยอิง งั้นกับหลงซีรั่วผู้เป็นมังกรแท้จริงแห่งแผ่นดินเทพแล้วก็ยิ่งไม่ต้องคิดที่จะใช้เลย…แต่เขายังสามารถเผชิญหน้ากับใต้เท้าแห่งเผ่าปีศาจได้เช่นนี้ก็เพราะมีสิ่งที่พึ่งพิงได้

 

นั่นคือ ความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ก้มลงมองมังกรแท้จริงแห่งแผ่นดินเทพแบบนี้

 

พวกเขาล้วนแต่พูดว่าตัวเขากลายเป็นมารแล้ว…แต่ก็ไม่ได้แย่นัก

 

นัยน์ตาของจุยเฟิงมีแสงสีแดงวาบผ่าน เขายิ้มเยาะเอ่ยว่า “จัดการกับปีศาจเล็กๆ แบบผม บรรดาผู้อาวุโสเผ่าปีศาจยังต้องระมัดระวังแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? คงไม่ได้กลัวผมหรอกนะ?”

 

หลงซีรั่วจับจ้องริมฝีปากของจุยเฟิง ทันใดนั้นก็โบกมือและพูดว่า “กุ่ยอิง พวกนายถอยออกไปก่อน”

 

เมื่อมีคำสั่งมาจากหลงซีรั่ว กุ่ยอิงย่อมไม่กล้าขัดคำสั่ง…ล้อเล่นน่า ถึงเขาจะถูกกุยเชียนอีกำชับว่าต้องคุ้มครองเธอ แต่อีกฝ่ายคือมังกรแท้จริงแห่งแผ่นดินเทพนะ หากมีอันตรายจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าใครกันแน่จะคุ้มครองใคร

 

กุ่ยอิงไม่คิดว่าหลงซีรั่วจะมีอันตรายอะไร จึงพาลูกน้องถอยออกไปและปิดประตูเหล็กบานนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ

 

“คุณคิดจะทำอะไร?” จุยเฟิงขมวดคิ้วถาม

 

หลงซีรั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็โค้งตัวคำนับให้จุยเฟิงภายใต้สายตาที่คาดไม่ถึงของเขา

 

“คุณทำอะไรกัน?” จุยเฟิงขมวดคิ้วแน่นขึ้น

 

“ฉันทำอะไรงั้นเหรอ” หลงซีรั่วเงยหน้าขึ้นและพูดเบาๆ ว่า “ฉันขอโทษที่ก่อนหน้านี้ไม่เชื่อใจนาย ถ้าฉันไม่สงสัยนายก็คงจะไม่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้”

 

นี่คือสัญลักษณ์ของแผ่นดินเทพ ในแผ่นดินเทพจะมีใครได้รับการเคารพจากมังกรแท้จริง?

 

ความรู้สึกตกใจกลัวทำให้สีหน้าของจุยเฟิงดูเคร่งเครียดขึ้น

 

นี่ไม่ใช่ปัญหาจากระดับชั้นพลัง แต่เป็นการกดดันจากจิตวิญญาณ…การเคารพครั้งนี้เหมือนเป็นการโจมตีความคิดที่ฝังรากลึกในเผ่าปีศาจ

 

คำพูดของเธอขีดเส้นระหว่างมนุษย์และปีศาจ คำพูดของเธอเป็นกฎในเผ่าปีศาจ แต่ตอนนี้เธอกำลังขอโทษ?

 

จุยเฟิงขยับริมฝีปาก เขาพบว่าท่าทีของหลงซีรั่วนั้นเกินกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้

 

“อย่ามาใช้แผนการแบบนี้กับผม!!”

 

จิตมารในใจของจุยเฟิงขยายใหญ่ขึ้นอย่างฉับพลัน…ก่อนคำรามออกมา!