บทที่ 434.1 หมัดและกระบี่ล้วนวางลงได้ เพื่อไปมองเส้นสายหนึ่ง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งที เขาตบข้างแก้มตัวเอง ลุกขึ้นยืน ย้อนกลับไปยังห้องพักที่อยู่ตรงหน้าประตูภูเขา

มองไปไกลๆ แสงตะเกียงที่อยู่บนโต๊ะส่องแสงสว่างลอดทะลุหน้าต่างออกมา

เฉินผิงอันเตรียมจะเพิ่มความเร็วฝีเท้าตามจิตใต้สำนึก แต่แล้วก็ชะลอลง หลุดหัวเราะตัวเองอย่างอดไม่ได้

นับตั้งแต่สี่ขวบมาก็ไม่เคยมีการ ‘กลับบ้าน’ ครั้งไหนที่บ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงจะมีแสงตะเกียงรออยู่ หลังเติบโตเป็นเด็กหนุ่ม เขาผิดคำสาบานไปเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกร หาเงินมาได้ส่วนหนึ่ง แต่ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เคยมีครั้งไหนที่ไม่ดับไฟตะเกียง ปล่อยให้น้ำมันตะเกียงลดน้อยลงไปอย่างเปล่าประโยชน์บ้าง? วันนี้ตอนออกจากบ้านกลับลืมดับไฟตะเกียงเสียได้ เวลานี้ต่อให้เจ้ารีบร้อนกลับเข้าไปในห้อง แล้วจะทำอะไรได้? เป่าให้มันดับ? แต่ตอนนี้ยังไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย ย่อมต้องจุดตะเกียงอ่านหนังสือตอนกลางคืนแน่นอน หรือจะให้ดับก่อนแล้วค่อยจุดใหม่อีกครั้ง? ถ้าอย่างนั้นระหว่างที่ไฟดับและไฟติดจะมีความหมายอะไร?

เฉินผิงอันจึงทอดฝีเท้าเดินให้ช้าลง พอเข้ามาในห้อง ปิดประตูลง มานั่งที่โต๊ะหนังสือเรียบร้อยแล้วจึงเปิดอ่านเอกสารของห้องควันธูปและทำเนียบวงศ์ตระกูลของศาลบรรพชนจากแต่ละเกาะต่ออีกครั้งเพื่อหาช่องโหว่แล้วชดเชยแก้ไข

จิตใจไม่สงบก็อย่าเพิ่งฝึกหมัดเลยจะดีกว่า ส่วนเรื่องการฝึกหลอมลมปราณนั้นก็ยิ่งไม่ต้องหวัง

ตอนอยู่พื้นที่มงคลดอกบัวเฉินผิงอันก็รู้แล้วว่า หากจิตใจวุ่นวาย ต่อให้ฝึกหมัดมากแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย ดังนั้นเขาจึงมักจะไปที่วัดเล็กใกล้กับตรอกจ้วงหยวนเพื่อพูดคุยกับภิกษุเฒ่าที่ไม่ชอบสอนพระธรรมผู้นั้นบ่อยๆ

แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้เฉินผิงอันไม่มีอารมณ์เลยสักนิด นี่ซับซ้อนยิ่งกว่ายามที่จิตใจไม่สงบเสียอีก จิงชี่เสินที่เหมือนร่วงดิ่งลงสู่ก้นบ่อแล้วถูกหินยักษ์พันธนาการเอาไว้ เขาจะยกมันขึ้นมาได้อย่างไร?

เพียงแต่ว่าสภาพจิตใจเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นความสงบทางใจในอีกความหมายหนึ่งเช่นกัน

เฉินผิงอันปิดเอกสารที่สีออกเหลืองเนื่องจากเก็บรักษาไม่ถูกวิธีลง หยิบมีดแกะสลักเล่มเล็กธรรมดาที่เจ้าของร้านแถมให้ตอนซื้อปิ่นหยกจากร้านหนึ่งในเมืองหลวงต้าสุย ใช้ด้ามมีดวาดเส้นตื้นๆ เส้นหนึ่งลงบนผิวโต๊ะ

ครุ่นคิดแล้วเฉินผิงอันก็ดึงกระดาษเซวียนจื่อแผ่นหนึ่งที่ถูกเขาตัดให้มีขนาดเท่าหน้าปกหนังสือออกมา หยิบพู่กันมาวาดเส้นตรงหนึ่งเส้น ตรงหัวและตรงท้ายสองด้านของเส้นต่างก็เขียนคำว่า ‘กู้ช่านทำผิดมหันต์’ และ ‘กู้ช่านทำความดี’ เอาไว้ ตัวอักษรค่อนข้างใหญ่ จากนั้นระหว่างคำว่า ‘ผิด’ และ ‘ดี’ ก็เขียนตัวอักษรเล็กเท่าหัวแมลงวันลงไปว่า ‘ขนบธรรมเนียมประเพณีของทะเลสาบซูเจี่ยน’ และในขณะที่เฉินผิงอันคิดจะเขียนคำว่ากฎหมายของหนึ่งแคว้นลงไปนั้นเอง เขากลับลบตัวอักษรเจ็ดตัวก่อนหน้านี้ทิ้ง ไม่เพียงเท่านั้น เฉินผิงอันยังลบคำว่า ‘กู้ช่านทำความดี’ ไปพร้อมกันด้วย ตรงจุดกึ่งกลางของเส้นนั้น เขาเขียนคำว่า ‘สำนึกผิด’ และ ‘แก้ไขในสิ่งที่ทำผิด’ ลงไปโดยทิ้งระยะห่างจากกันเล็กน้อย ทว่าไม่นานมันก็ถูกเฉินผิงอันลบทิ้งไปอีก

สุดท้ายเฉินผิงอันขยำกระดาษแผ่นนี้เป็นก้อนกลม แต่กลับไม่ได้โยนใส่หีบไม้ไผ่ เขาเลือกเก็บมันไว้ในวัตถุฟางชุ่นแทน

สองมือของเฉินผิงอันสอดอยู่ในชายแขนเสื้อ เอนหลังพิงเก้าอี้ เป่าไฟตะเกียงให้ดับลง หลับตาคล้ายหลับคล้ายไม่หลับ ลืมตาครั้งถัดมา ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวขมุกขมัวแล้ว

 มักใช้เวลาเกินครึ่งคืนขบคิดแผนการพันปี ด้วยกลัวว่าวันใดจะตายไปก่อน (เป็นคำกลอนที่มีความหมายว่าเรื่องราวบนโลกเปลี่ยนแปลงไปหลากหลาย คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกจึงไม่ควรใช้เวลาหมดไปกับเรื่องที่เปล่าประโยชน์)

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ไม่ต้องยืดแขนยืดขา เส้นเอ็น กระดูกและกล้ามเนื้อก็คลายตัวด้วยตัวเอง เสียงลั่นกร๊อบดังเป็นระลอก เฉินผิงอันเดินออกจากห้อง กะว่าจะไปเดินวนรอบเกาะชิงเสียสักหนึ่งรอบ เกาะชิงเสียคือเกาะใหญ่ในจำนวนไม่มากของทะเลสาบซูเจี่ยน คาดว่าหากเดินจริงๆ คงต้องใช้เวลาถึงครึ่งวัน ตอนนี้การกินการอยู่ในเรือนหลังนี้ของเขามีผู้ฝึกตนหญิงอายุน้อยคนหนึ่งของเกาะชิงเสียเป็นผู้รับผิดชอบ เฉินผิงอันจึงไปบอกกล่าวแก่ผู้ฝึกลมปราณเฒ่าคนหนึ่งที่เฝ้าประตูภูเขาอยู่ใกล้ๆ ว่าหากพบผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นก็ฝากบอกนางว่า วันนี้ไม่ต้องนำอาหารมาส่งที่นี่

ผู้เฒ่าที่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตรีบตกปากรับคำทันที

เฉินผิงอันพลันยิ้มกล่าวว่า “คาดว่านางคงยังเตรียมมาอยู่ดี หากข้าไม่อยู่ นางก็ไม่กล้าเข้าไปในเรือนโดยพลการ ถ้าอย่างนั้นก็เอาอย่างนี้ อาหารสามมื้อของวันนี้ให้นางส่งมาที่เจ้า ผู้อาวุโสจางจะได้มีลาภปาก แค่กินให้สบายใจก็พอ ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสจางเล่าเรื่องเก่าแก่ในเกาะชิงเสียให้ข้าฟังไม่น้อย ถือว่านี่เป็นค่าตอบแทนก็แล้วกัน”

ผู้ฝึกตนเฒ่ากล่าวอย่างกระวนกระวาย “ท่านเฉิน ข้าคงไม่ต้องเอาชีวิตมาทิ้งเพราะความตะกละหรอกกระมัง?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีทาง”

ผู้ฝึกตนเฒ่ายังไม่ค่อยกล้าตอบรับสักเท่าไหร่ เป็นเพราะเคยเห็นคลื่นลมมรสุมที่โถมขึ้นโถมลงในเกาะชิงเสียมาหลายครั้ง ก็ไม่แปลกที่เขาจะขี้ขลาดราวกับหนูตัวหนึ่ง “ท่านเฉินอย่าได้หลอกข้าเลย ข้ารู้ว่าท่านเฉินหวังดี เห็นว่าตาแก่สกปรกอย่างข้ามีชีวิตยากจนก็เลยอยากจะช่วยให้ข้าได้กินของดีๆ บ้าง แต่ทว่าอาหารเลิศรสเหล่านั้นล้วนจัดไว้ให้คนในจวนชุนถิงโดยเฉพาะ หากอีกสองวันท่านเฉินต้องไปจากเกาะชิงเสียแล้ว พวกคนชั่วร้ายที่แอบอิจฉาอยู่ในมุมมืดย่อมต้องออกมาหาเรื่องเล่นงานข้าเป็นแน่”

เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็เอากล่องอาหารของเรือนชุนถิงฝากไว้ที่ผู้อาวุโสจางก่อน เดี๋ยวกลับมาแล้วข้าจะมาเอาไป”

ผู้ฝึกตนเฒ่ายิ้มกล่าว “แบบนี้ย่อมเหมาะมากกว่า”

หลังจากเฉินผิงอันจากไป ผู้ฝึกตนเฒ่าก็บ่นในใจที่คนหนุ่มผู้นี้ไม่รู้จักการวางตัวอยู่ร่วมกับผู้อื่น หากสงสารตนจริงๆ ก็ไม่ควรไปบอกกับจวนชุนถิงสักคำหรอกหรือ ถึงเวลานั้นใครจะยังกล้าชักสีหน้าใส่ตน นักบัญชีผู้นี้เสแสร้งวางตัวเป็นคนดี ทำตัวโอ้อวดอยู่ในเรือนหลังนั้นทุกวัน วิธีแสร้งหลอกผีลวงเจ้าและสร้างชื่อเสียงจอมปลอมเช่นนี้ ในทะเลสาบซูเจี่ยน ผู้ฝึกตนเฒ่าเห็นมาเยอะแล้ว และคนส่วนใหญ่ก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานนักหรอก

พอผู้ฝึกตนเฒ่าเริ่มบ่นก็เหมือนทำนบน้ำพังทลาย เขาเริ่มตำหนิที่หลังจากไอ้หมอนั่นมาพักอยู่ตรงประตูภูเขาก็เดือดร้อนทำให้ค่าน้ำร้อนน้ำชาของตนลดน้อยลง เขาไม่กล้าสร้างความลำบากใจให้แก่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างด้วยการหักเงินเกล็ดหิมะเหรียญสองเหรียญเอาไว้อีก พอเจอผู้ฝึกตนหญิงเด็กรุ่นหลังที่เรือนกายอรชรอ้อนแอ้นก็ยิ่งไม่กล้าปากว่ามือถึง พอพูดจาหยาบโลนเสร็จก็แอบยื่นมือไปลูบไปบีบก้นของพวกนางเหมือนในอดีต

เดิมทีนึกว่าเมื่อตีสนิท คุ้นหน้าคุ้นตากับนักบัญชีท่านนี้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะได้โชคลาภหลังจากโชคร้าย นับแต่นี้สามารถป่ายปีนไปบนเส้นสายของจวนชุนถิง ไม่กล้าพูดว่าจะต้องก้าวหน้ารุ่งเรือง แต่ได้ทำหน้าที่ที่ได้ค่าน้ำร้อนน้ำชาเพียงพออยู่บนเกาะชิงเสียก็ดีมากเหมือนกันไม่ใช่หรือ? คิดไม่ถึงว่านักบัญชีผู้นั้นจะเป็นพวกดื้อรั้นถือทิฐิ ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีการเช่นไร จะเอาอกเอาใจแค่ไหน แต่อีกฝ่ายหากไม่พูดจาห่างเหินเหมือนคนเพิ่งเดินเข้าสู่ยุทธภพจึงไม่เข้าใจอะไร ก็จะต้องแสร้งโง่ไม่รับรู้ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนใจจืดใจดำ คาดว่าในสายตาของเขาคงมีแต่พวกลูกรักแห่งสวรรค์ที่สนิทสนมกับมารกู้อย่างพวกลวี่ไช่ซางเท่านั้น ส่วนขอบเขตถ้ำสถิตที่ไร้อนาคตอย่างตนก็คงถูกเขาดูแคลนเสียมากกว่า น่ารังเกียจซะจริง

เฉินผิงอันเดินอย่างเชื่องช้า ระหว่างนี้ยังเดินอ้อมไปขึ้นภูเขา เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าจวนตระกูลเซียนที่ผู้ฝึกตนผู้ถวายงานของเกาะชิงเสียพักอาศัย จากนั้นจึงย้อนกลับทางเก่า เป็นเหตุให้กว่าจะกลับไปถึงประตูภูเขาของเกาะชิงเสียก็เป็นยามพลบค่ำแล้ว

เฉินผิงอันมองไปไกลๆ ก็เห็นผู้ฝึกตนหญิงอายุน้อยของจวนชุนถิงผู้นั้น ว่ากันว่านางเป็นสาวใช้ประจำตัวของมารดากู้ช่าน ในมือของนางหิ้วกล่องอาหารงามประณีตมาใบหนึ่ง เวลานี้ร่างสูงโปร่งสะโอดสะองยืนอยู่หน้าประตูเรือน ผู้ฝึกตนเฒ่ากำลังก้มหัวค้อมเอวยืนอยู่ด้านข้าง คล้ายว่ากำลังเอ่ยขออภัยนาง

เฉินผิงอันก้าวเร็วๆ ตรงไปหา รับกล่องอาหารมาจากมือของผู้ฝึกตนหญิง เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ เด็กสาวแห่งจวนชุนถิงที่มีผิวพรรณขาวละเอียด ใบหน้ารูปไข่ห่านก็ยอบตัวคารวะท่านเฉินผู้นี้ ครั้นจึงเดินเยื้องย่างจากไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรมาก

เฉินผิงอันกลับเข้าห้อง เปิดกล่องอาหาร นำอาหารออกมาวางไว้บนโต๊ะ ในนั้นยังมีข้าวอีกสองถ้วยใหญ่ เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกินอาหารอย่างเชื่องช้า

สุดท้ายเก็บชามและตะเกียบกลับลงกล่อง ปิดฝาตามหลัง

เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย ความถูกความผิด ไม่ใช่ว่ามีเหตุผลมีข้ออ้างแล้วก็จะทำได้ กู้ช่านสามารถพูดเกลี้ยกล่อมตัวเองในใจได้ ก็เหมือนกับตัวอักษรทั้งหลายบนกระดาษที่สามารถถูกลบทิ้งด้วยการขีดฆ่า

แล้วก็เพราะการไม่ยอมรับผิดของกู้ช่าน การที่เขาไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นผิด ถึงได้ทำให้หลุมในใจของเฉินผิงอันขมวดรวมกันกลายเป็นเงื่อนตาย

ในเมื่อตนไม่อาจทอดทิ้งกู้ช่าน แล้วก็ไม่มีทางปฏิเสธคำจำกัดความของถูกและผิดในใจของตัวเอง ปฏิเสธหลักการเหตุผลที่ลดต่ำจนถึงทางสายเล็กในตรอกหนีผิงซึ่งต่ำจนไม่อาจต่ำไปมากกว่านี้ได้อีกแล้วเพียงเพราะขนบธรรมเนียมของหนึ่งพื้นที่ เฉินผิงอันคิดจะก้าวออกไปข้างหน้าเป็นก้าวแรก พยายามที่จะแก้ไขความผิดและชดเชย เขาก็จำเป็นต้องถอยกลับมาก่อนหนึ่งก้าว ยอมรับก่อนว่าตัวเอง ‘ไม่ถูกมากพอ’ ยังไม่ต้องพูดถึงเหตุผลเป็นพันเป็นหมื่น แต่ลองเปลี่ยนเส้นทางเสียใหม่ เดินไปพลางปรับเปลี่ยนความคิดในใจของตัวเองให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว เขาก็ยังคงหวังว่ากู้ช่านจะสำนึกผิด

ถอยไปพูดหมื่นก้าว มีเพียงสวรรค์ที่ไม่อาจขึ้นไปถึง เพราะสวรรค์ก็คือความเป็นอมตะมิดับสลาย แต่ไม่มีภูเขาลูกใดที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ ภูเขาก็คือหลุมในใจมากมายบนโลกมนุษย์

เฉินผิงอันคิดจะเผชิญหน้ากับหลุมในใจเหล่านี้ตรงๆ หลุมในใจที่เป็นทั้งของตัวเอง ของคนที่ตายไปแล้ว ของคนที่ผูกพันกับคนที่ตายไปแล้ว ของคนที่ยังคงมีชีวิตอยู่บนโลก สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าคือความทุกข์ยากในโลกมนุษย์ที่จะเสียดสีให้มีดวิเศษที่สืบทอดมาเป็นหมื่นปีในใจคนบิ่นเสียหาย (มีดวิเศษที่สืบทอดมาเป็นหมื่นปีเปรียบเปรยถึงคุณธรรม ความยุติธรรม)

เมื่อทำความผิด ผลลัพธ์ก็หนีไม่พ้นสองอย่าง หากไม่ผิดจนถึงที่สุดก็ต้องค่อยๆ แก้ไขความผิดกันไป อย่างแรกทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายสบายใจชั่วขณะหรืออาจจะถึงขั้นชั่วชีวิต อย่างมากก่อนตายก็แค่เอ่ยประโยคว่า ตายก็ตายสิ อย่างน้อยชีวิตนี้ก็ไม่เสียเปรียบ คนในยุทธภพยังชอบพูดประโยคว่าสิบแปดปีให้หลังก็ยังได้เกิดมาเป็นวีรบุรุษผู้องอาจไม่ใช่หรือ ส่วนอย่างหลังจะต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจมากเป็นพิเศษ เปลืองแรงแต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องได้ดี

‘สิบคนปลูกต้นหยาง หนึ่งคนถอนออก ย่อมไม่มีต้นไม้ใดที่ได้เติบโต’

เฉินผิงอันคิดจะทดลองพิสูจน์ทั้งด้านตรงและด้านกลับของคำพูดประโยคนี้เสียก่อน ส่วนข้อที่ว่าถูกหรือผิด ไม่ว่าผลลัพธ์ที่ได้ในท้ายที่สุดจะเป็นเช่นไร ก็ค่อยวางไว้ด้านเดียวกับเหตุผลหลักการในตำรา

ช่วงเวลาระหว่างนี้

สิ่งที่เฉินผิงอันสามารถทำได้ในตอนนี้ก็แค่ให้กู้ช่านวางตัวสงบเสงี่ยม ไม่เปิดฉากสังหารอย่างกำเริบเสิบสานเหมือนเก่าอีก

เขาพูดกับกู้ช่านไปตั้งมากมายถึงเพียงนั้น สุดท้ายทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองได้อธิบายเหตุผลหลักการของทั้งชีวิตไปหมดแล้ว ยังดีที่ถึงแม้กู้ช่านจะไม่ยอมรับผิด แต่ถึงอย่างไรสำหรับเขาแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่เหมือนคนอื่นๆ ทั่วไป ดังนั้นเขาจึงยินดีจะเก็บความโอหังบ้าระห่ำของตัวเองเอาไว้ ไม่กล้าเดินไปตามเส้นทางในจิตใจที่ ‘ตอนนี้ข้าชอบฆ่าคน’ เดินห่างออกไปบนทางสายนั้นจนไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงอย่างไรในสายตาของกู้ช่าน คิดจะเชิญเฉินผิงอันให้มานั่งร่วมโต๊ะอาหาร กินข้าวพร้อมกับพวกเขาสองแม่ลูกและหนีชิวน้อยที่บ้านใหม่อย่างจวนชุนถิงทุกๆ สามวันห้าวัน กู้ช่านก็จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนบางอย่าง กฎการแลกเปลี่ยนประเภทนี้ใช้ได้ผลจริง แล้วก็ถือว่าสมเหตุสมผลในทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ ถึงขนาดที่พูดได้ว่าเป็นเหตุผลที่ใช้ได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค

ดังนั้นต่อมาเฉินผิงอันจึงขอป้ายหยกของผู้ถวายงานเกาะชิงเสียแผ่นหนึ่งมาจากหูเถียนจวิน เอามาแขวนไว้ตรงเอว วันต่อมาก็เริ่มเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเกาะชิงเสียเพื่อพูดคุยกับผู้คน

วันที่เหล่าผู้กล้ามารวมตัวกันที่เกาะกงหลิ่วเพื่อจัดงานคัดเลือก ‘เจ้าแห่งยุทธภพ’ เฉินผิงอันได้ขอยืมเรือข้ามฟากลำหนึ่งมาจากเกาะชิงเสีย กลับมาสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่อีกครั้ง สะพายเจี้ยนเซียนไว้ด้านหลัง ใช้ตัวตนของผู้ถวายงานเกาะชิงเสีย และตัวตนผู้ฝึกลมปราณแห่งสำนักนักประพันธ์ที่ป่าวประกาศแก่คนนอกว่าตัวเองชอบเขียนบันทึกแห่งแม่น้ำและภูเขา ใช้ตัวตนน่าขำขันที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของทะเลสาบซูเจี่ยนนี้มาเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วเกาะมากมายที่เป็นสถานที่ไร้กฎหมายของทะเลสาบซูเจี่ยนเพียงลำพัง

ตามแผนที่ของทะเลสาบที่เถียนหูจวินมอบให้ เขาเริ่มขึ้นฝั่งไปเที่ยวเกาะใต้อาณัติสิบกว่าแห่งของเกาะชิงเสียก่อน ซึ่งรวมไปถึงเกาะเหมยเซียนที่เถียนหูจวินเริ่มบุกเบิกพื้นที่ก่อตั้งจวนหลังจากที่สร้างโอสถทองได้สำเร็จ และยังมีเกาะซู่หลินที่ทุกครั้งหากแสงจันทร์สาดส่อง สันภูเขาบนเกาะก็จะเป็นดั่งเกล็ดปลาสีขาวหิมะที่ส่องประกายระยิบระยับ

กว่าที่เฉินผิงอันซึ่งไม่หลับไม่นอนจะไปเยือนตามเกาะเหล่านี้จนครบถ้วนก็เป็นเวลาสามวันให้หลังแล้ว และเขาก็ได้รายชื่อที่ไม่มีบันทึกอยู่ในเอกสารห้องควันธูปมาอีกส่วนหนึ่ง

บนเกาะกงหลิ่วของทะเลสาบซูเจี่ยนยังคงมีเสียงถกเถียงกันไม่หยุด มองดูแล้วแบ่งออกเป็นสามกลุ่มได้แก่ กองกำลังของเกาะหลายแห่งที่สนับสนุนให้หลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสียรับตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพคนใหม่ เจ้าเกาะกลุ่มหนึ่งที่ยืนกรานหนักแน่นว่าสกัดคงคาเจินจวิน ‘ไม่เหมาะกับตำแหน่ง’ เจ้าเกาะเหล่านี้และกองกำลังของพวกเขามีจุดยืนที่หนักแน่นอย่างยิ่ง ต่อให้หลิวจื้อเม่าจะได้นั่งอยู่บนเก้าอี้ของผู้นำแห่งพันธมิตรเจ้ายุทธภพแล้วก็ตาม พวกเขาก็ยังคงไม่ยอมรับ หากมีปัญญาก็มาไล่ฆ่าพวกเขาทีละเกาะซะสิ ส่วนกลุ่มสุดท้ายก็คือพวกเจ้าเกาะที่นั่งภูดูเสือกัดกัน มีบางส่วนที่อาจเป็นหญ้ายอดกำแพงซึ่งขับเรือตามกระแสลม แล้วก็มีบางส่วนที่อาจจะผูกพันธมิตรไว้อย่างลับๆ แต่กลับยังไม่แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน

ที่น่าสนใจก็คือ ทุกครั้งที่พวกเจ้าเกาะซึ่งคัดค้านหลิวจื้อเม่าเปิดปาก ก็ราวกับว่านัดกันมาก่อนแล้ว พวกเขามักจะชอบพูดจาแปลกแปร่งระคายหูทำนองว่าแม้หลิวจื้อเม่าจะมีชื่อเสียงขจรไกลคุณธรรมสูงส่ง ทว่านิสัยส่วนตัวกลับไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้

ในทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ คำว่าชื่อเสียงขจรไกลคุณธรรมสูงส่งนั้น ดูเหมือนว่าจะบาดหูและทิ่มแทงใจดำคนได้ดียิ่งกว่าคำด่าใดๆ

—–