การเคลื่อนไหวหลังฉินอวี้ออกมาจากงานดื่มฉลองรื่นเริงในปีกตำหนักปลีกวิเวก สร้างความตกใจให้
อิงชินอ๋อง และบรรดาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา
ทุกคนเดิมทีเข้าพักผ่อนแล้วก็ลุกขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนรีบตามไปยังต้นตอของเสียง
ใบหน้าของฉินอวี้เต็มไปด้วยโทสะ รอบกายราวกับถูกน้ำแข็งผนึก แผ่กลิ่นอายเยือกเย็นจนน่าตกใจท่ามกลางรัตติกาล
“ถวายบังคมฝ่าบาท” ทุกคนสาวเท้าเข้ามาหา ก่อนถวายบังคมฉินอวี้
ฉินอวี้ปรายตามองทุกคน ก่อนยกมือไม่เอ่ยคำใด
“ฝ่าบาท เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ” อิงชินอ๋องก้าวขึ้นมาพร้อมมองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง พบว่าใบหน้าของนางเองก็มิน่ามองเช่นเดียวกันจึงเอ่ยถามอย่างระวัง
“ท่านลุงไปดูเอาเองเถิด” ฉินอวี้เดินอ้อมอิงชินอ๋อง พร้อมดึงเซี่ยฟางหวาเดินออกไป
อิงชินอ๋องหันมองตาม พบว่าฉินอวี้เดินจากไปด้วยความโกรธแค้นจึงหันกลับไปมองพระชายา
“มิเคยเห็นฝ่าบาททรงกริ้วหนักขนาดนี้มาก่อน เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่” พระชายาอิงชินอ๋องไม่เข้าใจ
“ไปเถอะ พวกเราไปดูกัน” อิงชินอ๋องบอก
พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า
เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวามองหน้ากัน ก่อนรีบเดินไปยังตำหนักปลีกวิเวกแห่งนั้นพร้อมพวกหย่งคังโหว
ระยะทางค่อนข้างใกล้ ได้ยินเพียงเสียงร้องขอชีวิตพร้อมร่ำไห้สะเทือนฟ้าดินดังออกมา
เมื่อมาถึงหน้าประตู พบว่าตำหนักหลังนี้ถูกปิดล้อมไว้อย่างแน่นหนา
“เกิดอันใดขึ้น” อิงชินอ๋องเดินเข้ามาใกล้ ก่อนเอ่ยถามคนหนึ่ง
คนนั้นทำความเคารพพวกอิงชินอ๋อง ก่อนอธิบายให้ฟังคร่าวๆ
“มีอย่างนี้ที่ไหนกัน!” อิงชินอ๋องฟังแล้วก็โกรธจัด
“เพิ่งฝังพระบรมศพอดีตฮ่องเต้ ยังมิทันได้พักผ่อนอย่างสงบ ก็จัดงานรื่นเริงอย่างเต็มที่ มั่วสุรานารีในอาณาเขตราชสุสาน ช่าง…ช่างไม่รู้จักกาลเทศะยิ่งนัก” พระชายาอิงชินอ๋องเองก็โกรธเช่นกัน
“มิน่าฝ่าบาทถึงทรงกริ้วถึงเพียงนี้” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับเสนาบดีฝ่ายขวากลัดกลุ้ม
หย่งคังโหวมองเข้าไปด้านในแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามคนนั้น “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ปิดตายที่นี่ แม้แต่แมลงวันสักตัวก็ห้ามบินเข้าไป งดน้ำงดอาหาร หลังตายแล้วค่อยฝังศพไปพร้อมอดีตฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ”
“ฝ่าบาทรับสั่งเช่นนี้ขอรับ” คนนั้นพยักหน้า
“เช่นนั้นองค์ชายสามกับองค์ชายห้า…” หย่งคังโหวหันไปมองอิงชินอ๋อง
อิงชินอ๋องโกรธจัดจนระงับมิได้ ไม่เอ่ยคำใด
“ตายไปก็ดีแล้ว ถึงอยู่ไปก็สร้างความอับอายให้ราชวงศ์” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวด้วยโทสะ
หย่งคังโหวเงียบเสียง
ทุกคนต่างพูดไม่ออก
“ท่านลุง ท่านป้า ช่วยพวกเราด้วย!” องค์ชายสามกับองค์ชายห้าคงได้ยินเสียงจากด้านนอกจึงวิ่งออกมาจากตำหนักชั้นใน ฝ่าเหล่าทหารมาร้องขอความช่วยเหลือจากอิงชินอ๋องกับพระชายา
ทหารองครักษ์ถือดาบและหอกตั้งตรง ขวางทั้งสองไว้ภายในตำหนัก
อิงชินอ๋องเห็นทั้งสองแต่งกายมิเรียบร้อย ใบหน้าและลำคอมีรอยจ้ำสีกุหลาบ มิหนำซ้ำยังมีเสียงร้องไห้หนักของสตรีกลุ่มหนึ่งดังจากข้างใน ไหนเลยยังคงไว้ซึ่งความมีเกียรติสูงศักดิ์ขององค์ชาย เขาแค่นเสียงในลำคอด้วยความเยือกเย็น เมินเฉยทั้งสองคน ก่อนหมุนตัวเดินออกไปด้วยโทสะ
พระชายาก็คร้านจะมองให้แปดเปื้อนลูกตาเช่นกัน หมุนตัวตามอิงชินอ๋องออกไป
เสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นคนของฉินอวี้ เมื่อก่อนก็มิชอบที่องค์ชายสามกับองค์ชายห้าอาศัยความโปรดปรานของอดีตฮ่องเต้ มักลอบกัดฉินอวี้ผู้เป็นทายาทย่อมมิสนใจใยดี หมุนตัวตามออกไปเช่นกัน
เสนาบดีฝ่ายขวาส่ายหน้าเอือมระอา ก่อนเดินจากไปเช่นกัน
หย่งคังโหวกำลังจะยกเท้าเดินตามออกไป ทว่าองค์ชายสามกับองค์ชายห้าก็ตะโกนขึ้น “ท่านโหว ช่วยพวกเราด้วย!”
หย่งคังโหวชะงักเท้า มองทั้งสองแล้วถอนหายใจออกมา “องค์ชายทั้งสอง อดีตฮ่องเต้สวรรคต เพิ่งจะฝังพระศพไป ยังมิครบกำหนดไว้ทุกข์ดี นึกไม่ถึงว่าพวกท่านสองคนจะดื่มฉลองรื่นเริงแล้ว โดยเฉพาะยังเกิดขึ้นในอาณาเขตราชสุสาน มิเคารพอดีตฮ่องเต้เลย สร้างมลทินให้แก่บรรพบุรุษนัก ฝ่าบาททรงกริ้วมาก แม้แต่ท่านอ๋องที่มีจิตใจเมตตายังโกรธจัด ข้าคงช่วยอันใดพวกท่านมิได้หรอก”
“ขอร้องล่ะท่านโหว พวกเรามิกล้าทำอีกแล้ว ท่านช่วยไปขอความเมตตากับน้องสี่ให้หน่อยเถิด” องค์ชายสามกับองค์ชายห้าแทบจะร้องไห้รอมร่อ หวาดกลัวจากใจจริง เมื่อลมพัดผ่านก็สร่างเมาเต็มที่
หย่งคังโหวส่ายหน้า
ทั้งสองเห็นว่าหย่งคังโหวจะกลับไปแล้ว ทันใดนั้นก็ร้องตะโกนเสียงดัง “ท่านโหว ท่านโหว ท่านอย่าเพิ่งไป ที่ผ่านมาเสด็จแม่ของเราร่วมมือกับท่านไม่น้อย ขอร้อง…”
ใบหน้าของหย่งคังโหวเปลี่ยนไปในทันที เฉินเฟยกับหลิ่วเฟยเคยเป็นที่โปรดปราน สองพระสนมตั้งป้อมประจันหน้ากับฮองเฮาในราชสำนัก เขาจึงมิกล้าล่วงเกินทั้งสอง ทำได้เพียงต้องก้มหน้าทำตาม ยามนี้จักรพรรดิองค์ใหม่ยังมิได้ราชาภิเษก ทั้งสองก็กระทำเรื่องโสมมขึ้นแล้ว หากหลุดปากพูดออกไปเพราะความสิ้นหวัง ลากเขาติดร่างแหไปด้วย ถึงแม้จะไม่ลากตนลงน้ำ แต่อาจถูกถลกหนังชั้นหนึ่ง เขาสะดุ้งตกใจ รีบกล่าวขึ้นทันที “องค์ชายทั้งสองอย่าพูดจาเหลวไหล กระหม่อมทำตามหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัดตลอดมา ไท่เฟยทั้งสองพระองค์หากทรงทราบว่าท่านสองคนมิเคารพอดีตฮ่องเต้ เกรงว่าจะยิ่งปวดใจ”
“จริงด้วย เสด็จแม่ เสด็จแม่ต้องช่วยเราได้แน่” องค์ชายสามได้ยินแล้วก็รีบกล่าวกับองค์ชายห้า “เร็วเข้า…ให้คนไปบอกข่าวกับเสด็จแม่”
องค์ชายห้าได้ยินเช่นนั้นก็รีบมองหย่งคังโหวอย่างอ้อนวอน “ท่านโหว ขอร้องล่ะ เห็นแก่ไมตรีในวันวาน ท่านมิอาจเห็นคนตายมิช่วยเหลือได้นะ”
หย่งคังโหวมองทั้งสองด้วยความว่างเปล่า พักต่อมาก็กัดฟันกล่าว “ข้าจะลองไปขอร้องฝ่าบาท ดูว่าพระองค์พอจะเมตตาได้หรือไม่ หากฝ่าบาทมิทรงเมตตา ข้าก็หมดหนทางแล้วเช่นกัน มากสุดคงช่วยส่งจดหมายไปบอกไท่เฟยที่วังหลวงแทนพวกท่าน”
“ขอบคุณท่านโหวมาก บุญคุณของท่าน เราต้องตอบแทนแน่นอน” ทั้งสองรีบคว้าฟางช่วยชีวิตเอาไว้
หย่งคังโหวกล่าวอย่างมีความหวัง “มิต้องให้ทั้งสองท่านตอบแทนหรอก ข้ายังอยากรักษาศีรษะของตนให้มั่น ใช้ชีวิตในวัยชราอย่างสงบสุข ทั้งสองท่านอย่าปากโป้งทำร้ายข้าอีกก็พอแล้ว” พูดจบก็หมุนตัวรีบเดินออกไป
องค์ชายสามกับองค์ชายห้ารอจนหย่งคังโหวออกไปก็ทรุดตัวลงกับพื้นอย่างห่อเ**่ยว
ระหว่างที่หย่งคังโหวเดินไปยังตำหนักที่ฉินอวี้ประทับก็ครุ่นคิดพลาง คิดว่าจะขอความเมตตาให้องค์ชายสามกับองค์ชายห้าอย่างไรดี
เขาเพิ่งเดินไปได้มิไกล พลันมีคนเดินออกมาหัวโค้ง ทำเอาเขาตกใจแทบแย่ ตะโกนขึ้น “ใครน่ะ”
“ข้าเอง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายตอบ
หย่งคังโหวถอนหายใจโล่งอก “โธ่ เสนาบดีฝ่ายซ้ายนี่เอง ข้าตกใจแทบแย่ นึกว่าเป็นใครเสียอีก”
“องค์ชายสามกับองค์ชายห้าขอความช่วยเหลือจากท่านหรือ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายมองเขา ก่อนถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
หย่งคังโหวได้ยินแล้วก็ปวดหัวขึ้นมา “จะมิใช่ได้อย่างไร กุมจุดอ่อนของข้าดั่งบีบซี่โครง ตอนนั้นมิน่า…”
“มิน่าไม่เข้าข้างระบบสืบทอดราชวงศ์ที่ถูกต้อง ดันไกล่เกลี่ยมั่วซั่ว ไม่เป็นผลดีทั้งสองฝ่าย” เสนาบดีฝ่ายซ้ายแค่นเสียงในลำคอ เอ่ยขัดคำพูดเขา
หย่งคังโหวอึ้ง มองเสนาบดีฝ่ายซ้ายพลางจนใจกล่าว “ท่านเสนาบดี ท่านอย่าเยาะเย้ยข้าเลย สถานการณ์ในจวนหย่งคังโหวของข้านั้นท่านเองก็ทราบดี พึ่งพาร่มเงาบารมีของบรรพบุรุษตลอดมา หากไม่ไหลตามน้ำในราชสำนักมีหรือจะยืนอย่างมั่นคง ตอนยังหนุ่มข้าเองก็อยากสร้างความชอบไว้เช่นกัน ต่อมามิใช่ว่าถูกขัดขวางจนสิ้นปณิธานหรือ ความทุกข์ของข้าปิดบังใครได้บ้าง”
เสนาบดีฝ่ายได้ยินเช่นนั้น เดิมอยากเยาะย้ายหย่งคังโหวอีกสองประโยค ทว่าก็เปลี่ยนคำพูด “ตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่ามิให้ท่านไปสร้างความชอบในกองทัพเพื่อถืออำนาจการทหาร นับว่าพิจารณาถี่ถ้วนแล้ว กลัวว่าจวนหย่งคังโหวจะเปลี่ยนไปเป็นเหมือนจวนจงหย่งโหวที่ราชสำนักหวาดระแวงเป็นอันดับสอง มีบรรดาศักดิ์สืบทอดต่อกันแล้ว หากมีความชอบด้านการทหารเพิ่มอีก ฮ่องเต้มีหรือจะยอมให้กดดันอำนาจจักรพรรดิ”
“ตอนหนุ่มยังไม่เข้าใจ ต่อมาก็กระจ่างแจ้งแล้วเช่นกัน ฮ่องเต้พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ ตระกูลสร้างผลงานเลื่องชื่อสืบทอดกันอย่างเราจำต้องหาวิธีการอยู่รอด ลูกหลานมิอาจโดดเด่นเกินหน้าเกินตา หากโดดเด่นขึ้นมาก็จะถูกราชสำนักหวาดระแวง หลายปีก่อนองค์ชายแย่งตำแหน่งรัชทายาท หากข้ามิตามน้ำไปอดีตฮ่องเต้คงมิปล่อยจวนหย่งคังโหวไปแล้ว” หย่งคังโหวพยักหน้า
“อืม นับว่าท่านอ่านสถานการณ์ออก ที่ผ่านมาอดีตฮ่องเต้จึงสนับสนุนจวนหย่งคังโหวตลอดมา” เสนาบดีฝ่ายซ้ายพยักหน้ารับ
“แต่ยามนี้ สาเหตุในตอนนั้นทำให้กลายเป็นการกระทำในหนหลัง กลายเป็นผลลัพธ์ในวันนี้ องค์ชายสองพระองค์จึงกุมจุดอ่อนข้าไว้ได้” หย่งคังโหวขอร้องเสนาบดีฝ่ายซ้าย “ท่านเสนาบดี โปรดชี้แนะหน่อยเถิด ช่วยข้าสักครั้ง”
“ท่านอยากให้ข้าชี้แนะจริงหรือ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเหลือบมอง
“ข้ามิกล้าไปกระตุ้นโทสะฮ่องเต้ในยามนี้ ฮ่องเต้ไม่เหมือนกับอดีตฮ่องเต้ เดิมจวนหย่งคังโหวก็มิได้เป็นที่โปรดปรานของพระองค์” หย่งคังโหวพยักหน้า
เสนาบดีฝ่ายซ้ายขยับเข้าใกล้ “เห็นแก่ที่เราเป็นขุนนางในราชสำนักร่วมกันมานาน แม้ก่อนหน้านี้ท่านไม่เคยขอพึ่งพาอาศัยรัชทายาท แต่ก็มิเคยพึ่งพาสองพระสนมเช่นกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมามิเคยสร้างความลำบากให้ฮ่องเต้ ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางแม้คอยถ่วงความเจริญข้าตลอดเวลา แต่ถึงอย่างไรข้าก็เกิดมาในตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง เสวี่ยเหยียนผู้เป็นหลานสาวแม้มิได้ออกเรือนกับลูกชายท่าน แต่ไมตรีของเรายังคงอยู่ ข้าจะชี้ทางสว่างให้แล้วกัน”
“ขอบคุณมาก” หย่งคังโหวดีใจใหญ่ รีบกล่าวขอบคุณ
“ท่านอย่าเพิ่งรีบขอบคุณเร็วไปเลย” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเข้าใกล้เขา กระซิบกล่าวข้างหู “ท่านหญิงน้อยของท่านกับคุณหนูฟางหวามีไมตรีจิตต่อกัน ฮูหยินของเจ้าก็ได้วิชาแพทย์ของคุณหนูฟางหวาช่วยชีวิตไว้ ตั้งแต่คุณหนูฟางหวากลับเมืองมาพร้อมรัชทายาทก็อยู่แต่ในวังตลอดเวลา พิธีฝังพระบรมศพอดีตฮ่องเต้ก็นั่งราชรถหยกด้วยกัน นางมีที่ยืนในพระราชหฤทัยฮ่องเต้ของเรา มิต้องให้ข้าบอก ท่านก็น่าจะเข้าใจแล้วกระมัง”
หย่งคังโหวชะงัก “ความหมายคือให้ข้าไปขอร้อง…”
เสนาบดีฝ่ายซ้ายพยักหน้า “หากท่านอยากช่วยสององค์ชายจากใจจริง มีเพียงหนทางนี้เท่านั้น ถ้าคุณหนูฟางหวายอมรับ ฝ่าบาทก็ต้องคล้อยตามด้วย”
“ข้าไหนเลยจะอยากช่วยสองคนนั้นจากใจจริง เพียงถูกบังคับอย่างไม่มีทางเลือกเท่านั้นเอง แค่มิอยากให้พวกเขาพูดจาเหลวไหลก็เท่านั้น” หย่งคังโหวกล่าวอย่างจนใจ “หากเรื่องในตอนนั้นแดงขึ้นมาในยามนี้ จะส่งผลดีอันใดต่อข้า ข้ายังอยากใช้ชีวิตวัยชราอย่างสงบสุขนะ”
“ไม่ว่าท่านจะอยากช่วยหรือไม่ แต่หากอยากปกป้องตัวเอง การไปหานางคือทางเลือกที่ดีที่สุด” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าว