ราชันเร้นลับ 704 : ต้นกำเนิด

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 704 : ต้นกำเนิด โดย Ink Stone_Fantasy

ท่ามกลางระลอกคลื่นทะเล ภายในเรือใบซอมซ่อที่บรรยากาศมืดมน

อัลเจอร์วิลสันกำลังยืนข้างหน้าต่าง ครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องระวังเมื่อกลับไปถึงเกาะปาซู ทันใดนั้น ทัศนวิสัยของมันพลันถูกปกคลุมด้วยสายหมอกสีเทาและชายผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งดูราวกับอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง

ถัดมา มันเห็นแสงสีแดงปกคลุมท่วมท้น เห็นร่างอันพร่ามัวของคนที่น่าจะเป็นเดอะเวิร์ล ได้ยินน้ำเสียงอันเยือกเย็นและไร้อารมณ์ของอีกฝ่ายดังกังวาน

หลังจากฟังจนจบ ดวงตาอัลเจอร์เบิกกว้างเล็กน้อย ภายในใจเกิดความยินดีปรีดาที่ยากจะเก็บซ่อน ความประหลาดใจเป็นล้นพ้นกำลังเอ่อล้นร่างกาย

มันยังจำได้แม่น ในการชุมนุมทาโรต์ครั้งล่าสุด เดอะเวิร์ลเพียงสัญญากับเดอะซันน้อยว่า จะหาสูตรโอสถผู้รับรองให้ภายในสามวัน มิได้เอ่ยถึงโอสถผู้ขับขานสมุทรเลยสักนิด แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน สุภาพบุรุษคนดังกล่าวกลับครอบครองสูตรโอสถลำดับ 5 แสนหายาก แถมยังได้รับวัตถุดิบหลักติดมือมาด้วย!

“เขาทำได้ยังไง…” อัลเจอร์พึมพำ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพลักษณ์อันเย็นชาและแข็งกระด้างของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ภายในใจทวีความรู้สึกว่า ตนมิอาจกะเกณฑ์ก้นบึ้งของอีกฝ่ายได้เลย

นี่คือสิทธิพิเศษของข้ารับใช้? อา… เราเพิ่งได้รับข่าวมาเมื่อวาน เกอร์มัน·สแปร์โรว์เริ่มโดยสาร ‘อนาคตกาล’ ที่ท่าเรือนาสเมื่อสัปดาห์ก่อน เป็นเครื่องยืนยันว่าพลเรือเอกดวงดาวคือมาดามเฮอร์มิท ในทางกลับกัน เหตุการณ์ดังกล่าวก็แสดงให้เห็นว่า ราวหนึ่งสัปดาห์ก่อน เดอะเวิร์ลแอบกระทำบางสิ่งที่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น การแอบเข้าไปในเขตน่านน้ำอันตรายทางสุดขอบตะวันออกเพื่อครอบครองบางอย่าง และนั่นจำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากมาดามเฮอร์มิท… หรือว่าผลลัพธ์ของเหตุการณ์ดังกล่าวก็คือ เขากลายเป็นผู้วิเศษลำดับ 5 สุดแข็งแกร่ง?

เรื่องนี้ช่วยตอบคำถามที่ว่า ทำไมเขาถึงครอบครองสูตรโอสถและวัตถุดิบหลักของผู้ขับขานสมุทรได้ในเวลาแค่ไม่กี่วัน… แต่ว่า เขาทำอะไรลงไป? คงไม่ใช่การฆ่าสมาชิกระดับสูงของโบสถ์หรอกใช่ไหม… อัลเจอร์อดขมวดคิ้วไม่ได้

แต่เพียงไม่นานก็สงบใจลง เปลี่ยนมาครุ่นคิดประเด็นอื่น

แม้การครอบครองวัตถุดิบหลักและสูตรโอสถผู้ขับขานสมุทรจะทำให้อัลเจอร์ตื่นเต้นเป็นล้นพ้น และสำนึกจากก้นบึ้งว่า การได้เป็นสมาชิกของชุมนุมทาโรต์คือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของชีวิต แต่มันก็ต้องไม่ลืมเช่นกัน อีกฝ่ายมิได้มอบทุกสิ่งให้ฟรี ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสม!

เรามีอะไรไปแลกเปลี่ยนกับเดอะเวิร์ลบ้าง… หลังจากดำดิ่งในห้วงความคิดเป็นเวลานาน น่าเสียดายที่อัลเจอร์ไม่มีสิ่งของหรือเงินมากพอจะแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่าย

มันเริ่มเดินอย่างกระวนกระวาย สลับกับการมองออกไปนอกหน้าต่าง

เหนือสายหมอกสีเทา หลังจากเดอะเวิร์ลที่งานยุ่งเป็นพิเศษอันตรธานหายไป ไคลน์ชำเลืองไปทาง ‘การเดินทางของกรอซาย’ ที่ถูกนำขึ้นมายังมิติเหนือสายหมอก

หนังสือที่เกิดจากการเย็บหนังสัตว์เข้าด้วยกันเล็มนี้กำลังนอนแน่นิ่งบนโต๊ะทองแดงยาว ไม่สำแดงความพิสดารใดออกมา ดูธรรมดาเสียจนไม่น่าจะมีใครหันมาสนใจนอกจากนักศึกษาภาควิชาประวัติศาสตร์

ไคลน์เสกปากกาและกระดาษ เขียนประโยคทำนายหลังจากครุ่นคิด

“สิ่งนี้คือ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางผู้ชม”

สิ่งที่มันกังวลมากที่สุดก็คือ ในเมื่อตนมิอาจใช้พลังของมิติหมอกเพื่อผนึกหนังสือ ย่อมไม่มีสิ่งใดรับประกันความปลอดภัย หากไคลน์พกหนังสือติดตัวในอนาคต อาจทำให้ถูกดูดกลืนเข้าไปอีก และนั่นคงจะเป็นปัญหาใหญ่ตามมา

หลังจากปลดลูกตุ้มจากข้อมือซ้าย ไคลน์สงบจิตใจและลองทำนาย

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง จี้บุษราคัมกำลังหมุนทวนเข็มนาฬิกา

การทำนายให้ผลปฏิเสธ

ดูเหมือนว่า หนังสือพิสดารเล่มนี้จะไม่ใช่ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางผู้ชม… ถ้าอย่างนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกินเหตุ… ไคลน์ครุ่นคิดสองสามวินาที จากนั้นก็พยายามทำนายยืนยันว่า บันทึกการเดินทางของกรอซายมีความเกี่ยวข้องกับลำดับ 1 หรือ 2 ของเส้นทางผู้ชมหรือไม่ แต่น่าเสียดายที่ผลการทำนายออกมาล้มเหลวทั้งหมด

หลังจากใคร่ครวญเป็นเวลานาน ชายหนุ่มเขียนประโยคทำนายใหม่

“ต้นกำเนิดของมัน”

สาเหตุที่ไคลน์กล้าทำนายอุกอาจเช่นนี้ เพราะทราบดีว่าลำดับ 0 ของเส้นทางผู้ชมร่วงหล่นไปนานแล้ว และมีโอกาสสูงที่ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางผู้ชมจะอยู่กับสภานักสิทธิ์สนธยา โอกาสเผชิญหน้ากับ ‘เทพ’ จึงค่อนข้างต่ำ

วางปากกาลง ถือกระดาษทำนายและหนังสือ ไคลน์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางพึมพำประโยคทำนาย เข้าฌานและสะกดจิตตัวเองให้หลับ

โลกสีเทาอันพร่ามัวพลันแปรเปลี่ยน ภาพตัดไปยังท้องฟ้าสีหม่นที่ดูคล้ายกับปกคลุมไปด้วยเมฆทึบและสายลมกระโชก

ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอึมครึม จุดแสงโผล่ขึ้นบนเส้นขอบฟ้าและขยายขนาดอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ทวีปลอยฟ้า!

ทวีปที่สามารถรองรับเมืองขนาดปรกติได้เป็นจำนวนมาก!

เส้นรอบวงของทวีปเป็นสีขาวนวล ทิวแถวหินยักษ์เรียงตัวกันเป็นเค้าโครง และเหนือขึ้นไปด้านบน เสาหินสูงหลายสิบหลายร้อยเมตรจำนวนมากวางเรียงรายจนเต็มพื้นที่ บ้างสูงโดดเด่น บ้างยื่นออกจากมหาราชวังโบราณที่หรูหราอลังการ

มังกรขนาดมหึมาไม่ว่าจะเป็นสีเทาอ่อน สีทองเหลือง สีแดงเข้ม หรือสีผลึกน้ำแข็ง กำลังบินว่อนอยู่บนทวีป ลอยเหนือเมืองพิสดารด้านล่าง บางตัวร่อนลงบนเสาหินเพื่อพักเหนื่อยและก้มมองผืนดิน บางตัวเข้าไปในมหาราชวังสูงตระหง่านและโอ่อ่า หายลับไปจากการมองเห็นของไคลน์

ในหมู่พวกมัน ขนาดเล็กที่สุดก็ยังเท่ากับมังกรน้ำแข็งยูลิเซี่ยน ขณะที่ขนาดใหญ่ที่สุดสูงกว่าหนึ่งร้อยเมตร

ฉากความฝันเริ่มขยายเข้า ทัศนียภาพของมหาราชวังที่มีความสูงไม่ต่ำกว่าสองร้อยเมตรกำลังปรากฏในสายตาไคลน์

สำหรับสถาปัตยกรรมด้านใน เสาหินถูกวางเรียงเป็นทิวแถวท่ามกลางเพดานโดม พื้นที่ด้านในกว้างขวางพอจะให้มังกรบินได้อย่างอิสระ

‘กล้อง’ ยังคงขยับเข้าไปด้านใน เพียงไม่นานก็ช่วยให้ไคลน์มองเห็นหนังสือที่เย็บจากกระดาษหนังสีเหลืองอมน้ำตาล หน้าปกว่างเปล่า กำลังลอยอยู่กลางอากาศ ขนาดของมันดูเล็กมากเมื่อเทียบกับสภาพแวดล้อมรอบตัว

ด้านหลังหนังสือเย็บ เงาดำขนาดมหึมาเริ่มปรากฏกาย

ในวินาทีที่เงาคมชัด ความคิดในสมองไคลน์พลันระเบิดออก!

ดวงตาชายหนุ่มหลุดออกจากเบ้าพร้อมกับโลหิตแดงฉานที่สาดกระเซ็น นอกจากนั้น บริเวณสองเบ้าตา สองรูหู หนึ่งปาก และสองรูจมูกพลันกลายเป็นหลุมดำที่มืดสนิท ของเหลวสีขาวคล้ายนมผสมกับของเหลวสีแดงสว่าง กำลังพรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่อง

ห้วงมิติลึกลับเหนือสายหมอกสีเทากำลังสั่นสะเทือนแผ่วเบา คล้ายกับพยายามระงับความโกรธเกรี้ยวของบางสิ่ง แต่เพียงไม่นาน หลังจากร่างกายกลับสู่ภาวะปรกติ ไคลน์ยกแขนขึ้นลูบศีรษะพลางขบกราม

“เจ็บฉิบ! เจ็บฉิบหาย!”

ไม่ด้อยไปกว่าเมื่อครั้งสุริยันเจิดจรัส… นอกจากนั้น เรายังไม่ทันได้เห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน จึงอดได้รับความรู้ที่เกี่ยวข้อง…

นั่นคือ ‘มังกรจินตภาพ’ แอนเคอร์เวล? จากข้อมูลของเดอะซันน้อย มังกรจินตภาพร่วงหล่นหลังจากจบยุคสมัยที่สอง… ทั้งที่ผ่านมาสองแล้วสามยุคสมัย หรือราวสองสามพันปี เพียงเราแอบมองก็ต้องตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชทันที หากไม่ใช่เพราะมีพลังของมิติหมอกช่วยปิดกั้น คงไม่แคล้วได้ตายคาที่… แบบนี้ไม่ทรงพลังเกินไปหน่อยหรือ?

ไม่สิ การเปรียบเทียบกับสุริยันเจิดจรัสคงไม่เหมาะสมนัก เพราะถึงความเสียหายจากแอนเคอร์เวลจะน้อยกว่า แต่มังกรจินตภาพได้ตายไปนานแล้ว ส่วนอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่… เข้าใจแล้วว่าทำไม ผู้คนจำนวนมากจึงเชื่อว่าเทพบรรพกาลแข็งแกร่งกว่าเทพยุคปัจจุบัน…

หลังจากใช้เวลาเกือบหนึ่งนาทีในการหลุดพ้นจากความเจ็บปวด ไคลน์หันเหความสนใจกลับมายัง ‘การเดินทางของกรอซาย’ อีกครั้งพลางใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะทองแดงยาว ปากพึมพำเสียงแผ่ว

‘ผู้แต่ง’ หนังสือเล่มนี้คือ ‘มังกรจินตภาพ’ แอนเคอร์เวล?

เขียนโดยเทพบรรพกาล และดำเนินเรื่องราวได้เองจนถึงตอนจบ?

จุดประสงค์คืออะไรกันแน่… ในตอนที่หนังสือเล่มนี้ถือกำเนิด มังกรจินตภาพน่าจะยังไม่เคยปะทะกับเทพสุริยันบรรพกาล ไม่ถูกคุกคามด้วยภัยอันตรายใด… นอกจากนั้น คงใช้เวลาพอสมควรกว่าหนังสือจะเดินทางจาก ‘เมืองแห่งปาฏิหาริย์’ มายัง ‘วังราชาคนยักษ์’ และก่อนที่กรอซายจะถูกหนังสือดูดเข้าไป ราชาคนยักษ์ยังมีชีวิตอยู่แน่นอน…

แค่เล่นสนุก? เกิดเบื่อหน่ายก็เลยหาอะไรทำฆ่าเวลา? หรือว่ามังกรจินตภาพที่เป็นเทพบรรพกาลจะมองเห็นอนาคตบางอย่าง จึงจงใจสร้างหนังสือเล่มนี้เป็นแผนสำรองในการกอบกู้เผ่าพันธุ์มังกรหรือตัวท่านเองในยามมีภัย? แต่เนื่องจากประเมินพลังของเทพสุริยันบรรพกาลต่ำไป แอนเคอร์เวลจึงร่วงหล่นโดยสมบูรณ์ชนิดที่หมดสิทธิ์ใช้งานหนังสือ? ปล่อยหนังสือให้อยู่อย่างเปล่าประโยชน์นานหลายพันปี ทำได้เพียงดูดกลืนตัวละครเข้าไปเพื่อสร้างเรื่องราว?

ไคลน์ลองคาดเดา แต่ไม่สามารถหาข้อสรุป ทำได้แค่วางแผนเข้าไปในหนังสืออีกครั้งและค่อยๆ สืบหาความจริง

ในอนาคต หากเป็นบนมิติสายหมอก เราสามารถเข้าไปในหนังสือได้ด้วยร่างวิญญาณ และสามารถกลับออกมาได้ทันทีในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน… ดีล่ะ… ไว้ค่อยทดสอบหลังจากบอกลาเอ็ดวิน่ากับแอนเดอร์สัน เรายังไม่ควรประมาท… ไคลน์พยักหน้า พยายามทำนายว่า ‘การเดินทางของกรอซาย’ จะนำพาการเปลี่ยนแปลงในด้านลบมาสู่มิติหมอกสีเทาหรือไม่ แต่การทำนายประสบความล้มเหลว

ชายหนุ่มพอจะเข้าใจเหตุผล โลกหนังสือมีระดับตัวตนสูงกว่าโลกวิญญาณ ส่งผลให้เทคนิคการทำนายที่ต้องพึ่งพาโลกวิญญาณประสบความล้มเหลว

ไว้ค่อยขึ้นมาสำรวจมิติหมอกบ่อยๆ ก็แล้วกัน… ไคลน์โยน ‘การเดินทางของกรอซาย’ ลงในกองขยะ โบกมือเสกแก้วไวน์ทองคำที่ถูกบี้แบนไปบางส่วน

แก้วไวน์สลักเสลาด้วยลวดลายประณีต มีการเขียนถ้อยคำ ‘ภัยธรรมชาติ’ และ ‘โคฮีเน็ม’ เป็นภาษาเอลฟ์ แต่นอกจากนั้น ไม่มีสิ่งใดพิเศษเกี่ยวกับตัวแก้ว

ไคลน์ถือไว้ในมือพลางลูบไล้แผ่วเบา

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

ไคลน์เคาะประตูห้องกัปตันอย่างสุภาพ

“มีอะไรหรือ” เอ็ดวิน่าที่กำลังปล่อยผม จ้องหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้านนอก

ไคลน์ส่งแก้วไวน์ทองคำของราชินีเอลฟ์และกล่าว

“ใส่ไว้ในหลุมศพเซียธาส”

“…ตกลง” เอ็ดวิน่าเงียบงันสองสามวินาที จึงค่อยพยักหน้า

หญิงสาวสำรวจประโยคและสักลักษณ์บนแก้วไวน์ตามความเคยชิน ก่อนจะรู้สึกตัวและรีบเบือนหน้าหนี มองออกไปนอกหน้าต่างพลางกล่าว

“พวกเขากำลังจะจัดงานเลี้ยงรอบกองไฟ คุณอยากร่วมวงไหม”

“ไม่” ไคลน์ส่ายหน้า

“ฉันเข้าใจ ฉันเองก็ไม่ไป มนุษย์ทุกคนมิได้เป็นเหมือนแอนเดอร์สันที่สามารถขจัดความโศกเศร้าได้รวดเร็ว” เอ็ดวิน่าเม้มริมฝีปาก

อันที่จริง คนแบบนั้นก็น่าอิจฉาอยู่ไม่น้อย… ไคลน์หมดคำจะกล่าวไปชั่วขณะ เช่นเดียวกันกับเอ็ดวิน่าที่ถนัดเพียงการสอน แต่ไม่เก่งการชวนคุย บรรยากาศภายในห้องจึงเงียบสงัด

ราวสิบวินาทีถัดมา ไคลน์สูดลมหายใจ พูดทำลายความเงียบงัน

“กุญแจของคนยักษ์… คุณยังอยากขายอยู่ไหม”

“ขาย” เอ็ดวิน่าครุ่นคิดสักพัก ชำเลืองไปยังห้องเก็บของ

“ฉันให้คุณยืมไปตรวจสอบก่อนได้ จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ก่อนจะลงจากเรือ”