ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


หลังจากนั้นไม่นาน เออซ่า เซียวอวี๋ และคนอื่นๆก็เข้ามาในกระโจม และเริ่มการประชุม

“เจ้าเป็นคนรู้สถานการณ์” เซียวอวี๋ตบบ่าเออซ่าพลางยิ้มออกมา ท่าทางที่ปลอดโปร่งของเขาอาจทำให้มีคนเข้าใจผิดว่าพวกเขาเป็นสหายกัน

เออซ่ายิ้มอย่างขมขื่น หากแต่ไม่กล่าวสิ่งใด

“เออซ่า ไฉนเจ้าจู่ๆจึงยอมแพ้เล่า? แม้จะมีหลายคนจดจำอูเธอร์ได้ในตอนนั้น แต่การจะพลิกสถานการณ์ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” เซียวอวี๋ถามสิ่งที่ค้างคาใจออกมา

เออซ่ายกถ้วยชาขึ้นจิบก่อนจะกล่าวว่า “ข้าพลิกสถานการณ์ได้ชั่วคราว แล้วอย่างไรต่อ? ใจคนเปลี่ยนไปแล้ว ข้ายังจะทำอย่างไรได้? อีกอย่าง ไม่ว่าติดตามเจ้าหรือติดตามพระสันตะปาปา สำหรับข้าแล้วมันก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก แม้จะสักกัดศาสนจักร หากแต่ข้าก็ไม่มีความทะยานอยากใดๆ ข้าไม่ชอบแข่งขันกับผู้ใด ที่ข้าได้รับหน้าที่สำคัญในครั้งนี้ก็เป็นเพราะพระสันตะปาปาให้ความสำคัญกับความสามารถของข้า ท่านเองก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ก่อนที่ข้าจะมา ข้าได้ศึกษาทุกเรื่องเกี่ยวกับท่าน และข้าชื่นชมท่าน เข้าร่วมกับท่านก็คงไม่แย่นัก ดังนั้นข้าจึงยอมแพ้”

เออซ่ากล่าวด้วยอย่างสุขุมและเป็นธรรมชาติ แสดงให้เห็นว่าเขาคิดเช่นนี้จริงๆ

“ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นอูเธอร์หรือพระสันตะปาปา เจ้าล้วนไม่มีความศรัทธา?” ได้ฟังน้ำเสียงของเออซ่า เซียวอวี๋ก็ทราบว่าเออซ่าไม่มีความรู้สึกผูกพันต่อพระสันตะปาปาแต่อย่างใด

“ใช่ เมื่อมาถึงตำแหน่งระดับข้า มันคงน่าหัวเราะหากยึดถือตามสิ่งที่ศาสนจักรยัดใส่หัวพวกเราจริงๆอย่างเช่น ดัม” เออซ่าส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายใจ

“เจ้าเป็นคนฉลาด และยังเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถ เจ้าสุขุมจึงมองสิ่งต่างๆได้กระจ่างชัด อืม ในอนาคต กองทัพนี้จะยังคงให้เจ้าเป็นผู้นำต่อไป และเจ้าจะเป็นแม่ทัพในสังกัดของอูเธอร์” เซียวอวี๋ประกาศต่อเออซ่าอย่างเป็นทางการ

“นี่มัน….เจ้าไม่กังวลเกี่ยวกับข้าหรือ?” แม้จะเคยได้ยินชื่อเสียงของเซียวอวี๋ในด้านนี้มาบ้าง กระนั้นเออซ่าก็คิดไม่ถึงว่าเซียวอวี๋จะกล้าหาญถึงขั้นที่ให้เขาเป็นผู้นำทัพต่อไปเพียงแต่เปลี่ยนสังกัดไปอยู่ใต้อูเธอร์เท่านั้น

“อย่างที่เจ้าเพิ่งกล่าวมา เจ้าเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้ควบคุมกองกำลังนี้ นับแต่นี้ไป อัศวินสีชาดจะถูกควบรวมเข้ากับภาคีหัตถ์เงิน และเจ้าจะเป็นผู้นำแห่งภาคีหัตถ์เงิน อลอนโซ่จะเป็นผู้ช่วยของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะศรัทธาในอูเธอร์หรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ” เซียอวี๋กล่าวอย่างยินดี

เออซ่ายิ้มอย่างหมดหนทาง เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับการจัดการทุกเรื่องราวของเซียวอวี๋

การยอมแพ้ของเออซ่าและชัยชนะในสงครามได้นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ดินแดนไลอ้อนอย่างใหญ่หลวง เซียวอวี๋ใช้โอกาสนี้กรีธาทัพบุกชิงพื้นที่ที่ศาสนจักรควบคุมอยู่ในละแวกใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว ส่วนพื้นที่ที่อยู่ไกลออกไปเขาก็ไม่แตะต้อง เพราะทราบดีว่ามันยากจะควบคุม

สงครามย่อมเกิดขึ้นตามมา เหล่าดินแดนที่ถูกบุกโจมตีย่อมต้องตอบโต้

ส่วนดินแดนที่เซียวอวี๋เอื้อมมือไปไม่ถึงนั้น เขาก็ปล่อยให้ขุมกำลังอื่นๆจัดการไป

ตั้งแต่แรกเริ่ม สายตาทุกคู่ล้วนเฝ้ามองมายังศึกใหญ่ครั้งนี้ ทว่าเหตุพลิกผันที่จู่ๆก็เกิดขึ้นทำให้ทุกฝ่ายต่างก็ตั้งตัวกันไม่ทัน แต่เมื่อได้เห็นผู้แพ้ผู้ชนะ พวกเขาก็ย่อมไม่ลีรอที่จะไล่ตีสุนัขตกน้ำ

ด้วยเหตุนี้ อาณาเขตอันใหญ่โตของศาสนจักรจึงถูกรุมทึ้งและแตกย่อยเป็นดินแดนต่างๆมากมาย

เดิมทีประชาชนในดินแดนเหล่านั้นมีความเกลียดชังการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์และบังคับผู้คนให้เป็นสาวกของศาสจักรอยู่ก่อนแล้ว ครั้งนี้พวกเขาจึงลุกฮือล้างแค้น ขอเพียงพบเห็นสัญลักษณ์ของสาสนจักรบนตัวผู้ใด คนผู้นั้นจะถูกสังหารทันที เหล่าทหารของศาสนจักรจึงมีสภาพราวกับหนูในท่อระบายน้ำที่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัว

ศาสนจักรแห่งแสงที่ครั้งหนึ่งเคยควบคุมโลก เวลานี้ได้พังครืนลงจนตกอยู่ในสถานการณ์อันล่อแหลม

เซียวอวี๋ยังใช้ความพยายามอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงเหล่าอัศวินของศาสนจักร ทุกวันเขาจะให้อูเธอร์ไปเผยแพร่คำสอนใหม่ๆ อย่างเช่น การละเว้นการฆ่า อยู่ในศีลธรรม และให้อดทนอดกลั้นต่อผู้ไม่ศรัทธา ไม่บีบบังคับ….

อัศวินสีชาดถูกยุบโดยสมบูรณ์ และผู้คนเหล่านี้ในอนาคตจะถูกเปลี่ยนเป็นสมาชิกแห่งถาคีหัตถ์เงิน

เครื่องแบบของพวกเขาเองก็ถูกเปลี่ยนจากสีแดงสดเป็นสีขาวสะอาดตา สิ่งนี้จะเป็นข้อได้เปรียบในการแย่งชิงอำนาจของเซียวอวี๋ในอนาคต มิเช่นนั้นคงยากจะเอาชนะใจมวลชนที่เกลียดชังศาสนจักรอย่างลึกล้ำ เมื่อเซียวอวี๋ใช้งานกองกำลังขุมนี้ ผู้คนจะได้ลดความอคติลง

เซียวอวี๋ได้กลืนกินกองกำลังขุมนี้เข้าไปในคราวเดียว นั่นเป็นจำนวนผู้คนกว่าสิบล้านคน และหากจะนำมาใช้งาน เขาก็จำต้องย่อยกองกำลังขุมนี้เสียก่อน

ยามเมื่อย่อยกองกำลังนี้ได้โดยสมบูรณ์ พวกเขาย่อมต้องกลายเป็นกองกำลังที่มีพลังต่อสู้สูงล้ำ

ในขณะที่เซียวอวี๋ประสบโชคดีติดต่อกัน ทางฝั่งระดับสูงของศาสนจักรกลับเงียบเชียบ พระสันตะปาปาที่เป็นประมุขสูงสุดของศาสนจักรยังเงียบยิ่งกว่า

นี่เรียกได้ว่าเสียทั้งเบี้ยเสียทั้งขุน เดิมทีเขาหยิบยกชื่ออูเธอรืขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการล้างสมองผู้คน อย่างไรก้ตาม การล้างสมองที่ฝังลึกเกินไปกลับกลายเป็นผลเสีย สาวกเหล่านั้นล้วนคลั่งไคล้ในตัวอูเธอร์ ดังนั้นเมื่อได้พบเจอกับอูเธอร์เข้าจริงๆ ความรู้สึกที่ฝังแน่นอยู่แล้วจึงปะทุออกมาเป็นพลังศรัทธา

เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งตัวพระสันตะปาปาและอูเธอร์หุ่นเชิดถูกผู้คนมองข้ามไป

นี่ไม่ต่างอะไรกับการทุ่มหินใส่เท้าตัวเอง

แม้ว่าศาสนจักรจะยังมีขุมกำลังหลงเหลืออยู่ แต่การแปรพักต์ของเออซ่าก็ทำให้ผู้คนรู้สึกท้อแท้ใจ เวลานี้ขุมกำลังฝ่ายต่างๆทั่วทั้งทวีปกำลังเข้าฉีกทึ้งพื้นที่ในครอบครองของศาสนจักร และไม่นานคงถึงคราวศูนย์กลางการปกครองของพวกเขา

พระสันตะปาปากำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก

“จังหวะเวลาเองก็เป็นโชคชะตา” พระสันตะปาปานั่งอยู่บนบัลลังก์สูง ริ้วรอยบนใบหน้าดูจะกดลึกขึ้นกว่าปกติ

“เพียงปล่อยไปไม่ได้หรือ?” มีเสียงหนึ่งดังสะท้อนไปมาในห้องโถง

“หึ คนไร้ยางอายเยี่ยงนั้นน่ะรึ?”

“ถึงที่สุดแล้ว เขาก็จะเป็นผู้ที่ก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของโลก คงเป็นเรื่องน่าเสียดายหากจะฆ่าเขาเช่นนี้”

“อืม การเก็บเขาเอาไว้ก่อนอาจยังมีประโยชน์ แต่ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่? ช่วงเวลาเป็นตายของทวีป หากเจ้าเลือกที่จะยืนหยัดปกป้องทวีปอย่างเต็มกำลังความสามารถ เจ้าก็คงจะสามารถชดเชยให้กับเหล่าผู้ที่เจ้าสังหารอย่างไร้ปราณีเหล่านั้น”

มีเงาร่างสามร่างค่อยๆปรากฏขึ้นภายในห้องโถง ผู้ที่เพิ่งปรากฏกายก็คือ จ้าวมนตราทั้งสามเอง

“เฮ้อ…..” หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน พระสันตะปาปาก็ถอนหายใจ