ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 22 ใช่เอียงร่มให้ดั่งสหายเก่าหรือไม่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

มือของถังซานสือลิ่วยกขึ้นต่ำอย่างมาก ใบหน้าก็ก้มลงต่ำอย่างมาก กระทั่งเสียงของเขาก็ยังทุ้มต่ำอย่างมากเหลือเกิน

แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่ก็พอจะจินตนาการออกว่าสีหน้าของเขาในยามนี้นั้นกระอักกระอ่วนใจเพียงใด

กลุ่มผู้คนเบี่ยงตัวออกราวกับสายน้ำ แม้เขาจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจมากกว่านี้เพียงใด แต่ในฐานะที่เขาเป็นทั้งเพื่อนสนิทของเฉินฉางเซิง อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งผู้คุมกฎของสำนักฝึกหลวง แถมเวลานี้ทั้งซูม่ออวี๋และเซวียนหยวนผ้อต่างก็ยืนหยัดอย่างยิ่งว่าจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น สิ่งเดียวที่เขาทำได้ในยามนี้คือเดินหน้าเข้าไปยังเบื้องหน้าใต้เท้าสังฆราช

เหมาชิวอวี่สีหน้าไม่สู้ดีนัก กำลังพยายามข่มใจตนเองอย่างยิ่งไม่ให้กล่าวคำตำหนิออกมา

ต่างจากใต้เท้าสังฆราชที่ยื่นไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์วางลงบนฝ่ามือของถังซานสือลิ่วด้วยท่าทางสงบนิ่ง

ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หนักอย่างที่ทุกคนจินตนาการเอาไว้ ทว่าถังซานสือลิ่วกลับรู้สึกว่ามันหนักอึ้งราวขุนเขาจนตัวเขาแทบทนแบกรับไม่ไหว พลันคุกเข่าลงเพื่อแสดงความเคารพแทนเฉินฉางเซิง

ถังซานสือลิ่วที่ก้มหน้าทำความเคารพอยู่สัมผัสได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายจากทั่วสารทิศที่มองมายังตัวเขา บ้างตกตะลึง บ้างเหยียดหยาม บ้างปลื้มปีติยินดี ทว่ามีสายตาแสดงความเป็นปฏิปักษ์คอยทิ่มแทงราวคมกระบี่เสียเป็นส่วนใหญ่

ถังซานสือลิ่วรู้สึกว่าตัวเองช่างน่าสงสารเหลือเกิน เขาได้แต่กล่าวคำขอบคุณตามที่เหมาชิวอวี่บอกด้วยความโมโห แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยคำผรุสวาทต่างๆ นานา

และแน่นอนว่าเขากำลังด่าคำผรุสวาทเหล่านั้นให้เฉินฉางเซิงที่ไม่รู้ว่าหายตัวไปอยู่ที่ใดฟัง

……

……

หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ตามตรอกซอกซอยร้างผู้คนตั้งนานแล้ว แสงไฟในตรอกถูกจุดให้แสงสว่างทีละดวงๆ

เฉินฉางเซิงยืนรออยู่ที่ถนนฝูสุยเป็นเวลานานมากแล้ว เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วได้แต่ถอนใจ

เมฆหิมะบดบังแสงอาทิตย์จนทำให้บรรยากาศในจิงตูขมุกขมัว แสงแดดรำไรทำให้คาดคะเนได้ว่าดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนตัวไปยังทิศตะวันตกและกำลังจะลับขอบฟ้าในไม่ช้า

ในจดหมายเขียนเอาไว้ว่ายามสายัณห์ตะวันรอน เพียงแต่คำว่ายามสายัณห์ตะวันรอนนั้นความหมายช่างคลุมเครือเหลือเกิน ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วยามกว่าพระอาทิตย์จะตกดินจนลับขอบฟ้า ถ้าเช่นนั้น ตอนนี้ยังนับว่าเป็นยามสายัณห์ตะวันรอนอยู่หรือไม่

เป็นเพราะเขามาถึงเร็วเกินไปอย่างนั้นหรือ หรือนางจะไม่มาจริงๆ

เฉินฉางเซิงตัดสินใจแล้วว่าหากฟ้ามืดสนิทแล้วนางยังไม่ปรากฏกายเขาก็จะกลับ

ทันใดนั้น เสียงอึกทึกครึกโครมพลันดังมาแต่ไกล ดูท่าทางแล้วน่าจะดังมาจากทางพระราชวังหลี เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและไม่มีทางคิดด้วยซ้ำว่ามันเกี่ยวข้องกับตนเอง เขาถูฝ่ามือท่ามกลางพายุหิมะพลางหันไปมองทางพระราชวังทีหนึ่ง มองไปทางจวนขุนพลเทพตงอวี้ทีหนึ่ง

ชีพจรของเขามีปัญหา สามารถปลดปล่อยปราณแท้ออกมาได้ไม่เพียงพอ ทว่าภายในกายนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังปราณแท้จึงไม่มีทางที่เขาจะกลัวหนาว ที่เห็นเขาถูฝ่ามือไม่หยุดรวมทั้งย่ำเท้าเป็นบางครั้งนั้นล้วนเป็นเพราะสภาพจิตใจทั้งสิ้น

สีของท้องฟ้าค่อยๆ เข้มขึ้น ใกล้จะมืดแล้วจริงๆ เขาเองก็ทิ้งความหวังทั้งหมดไปเช่น

ทันใดนั้น เสียงสายหนึ่งพลันเอ่ยดังขึ้นมาแต่ไกลจากทางด้านหลังของเขา

“ทำไมเจ้ามายืนอยู่ตรงนี้”

เขาได้ยินเสียงนั้นแล้วถึงกับตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย พลันหมุนตัวหันมองไปตามเสียงนั้น เห็นเพียงคนคนหนึ่งถือร่มท่ามกลางหิมะและกำลังเยื้องย่างออกมาจากตรอกเล็กๆ ที่อยู่ทางด้านหลังอย่างช้าๆ

ร่มคันนั้นค่อนข้างเก่าแถมยังดูแปลกตาอยู่บ้าง เส้นแสงยามโพล้เพล้ถูกร่มคันนี้เข้าบดบัง ยากที่จะมองเห็นผู้ที่อยู่ใต้ร่มนั้นได้ชัด แม้แต่คนทั่วไปก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็น

แต่เฉินฉางเซิงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะเขาคุ้นเคยกับร่มคันนี้เป็นอย่างดี เพราะร่มคันนี้แต่เดิมเขาก็เป็นเจ้าของมัน แน่นอนว่าร่มคันนี้ก็คือร่มกระดาษทองนั่นเอง

ร่มกระดาษทองค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินฉางเซิงราวใบไม้ที่ค่อยๆ ร่วงหล่นลงกลางหิมะ จากนั้นร่มก็ค่อยๆ เอียงเอนไปทางด้านหลังจนเผยให้เห็นใบหน้าของสวีโหย่วหรง

ใบหน้านั้นยากที่จะหาคำมาพรรณนาเปรียบเปรยได้ บรรยายได้เพียงคำเรียบง่ายสามคำอย่างคำว่า ‘ไร้ที่ติ’

เฉินฉางเซิงจ้องมองใบหน้าอันแสนงดงามแต่กลับรู้สึกแปลกหน้า พลันรู้สึกประหม่าจนเผลอใจลอยไปชั่วขณะ

เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของสวีโหย่วหรงค้นหาความสงบที่เขาคุ้นเคยจนเจอ อาการประหม่าเมื่อครู่จึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง

เขาคุ้นเคยกับเสียงของนาง และคุ้นเคยกับดวงตาคู่นั้นของนาง เพียงตาสบประสาน ความรู้สึกไม่คุ้นเคยพลันจางหายไปทันควัน ราวกับทั้งสองได้หวนกลับไปยังสวนโจวอีกครั้ง

วันเวลาที่เขาและนางร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมทุกข์ร่วมสุข พูดคุยทุกเรื่องราว สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่  รู้ใจแม้เพียงแรกพบ รักกันจนแก่เฒ่า

เพียงเอียงร่ม ก็ราวกับได้พบสหายเก่า

แล้วเหตุใดจึงนึกไปถึงเรื่องแก่เฒ่าด้วยเล่า

เฉินฉางเซิงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูกที่อยู่ดีๆ ตนก็นึกถึงถ้อยคำเหล่านั้นขึ้นมา

หารู้ไม่ว่าในพระราชวังหลีขณะนี้ยังมีคนอีกคนที่กำลังกระอักกระอ่วนใจมากกว่าเขาหลายเท่านัก

“ทำไมเจ้ามายืนอยู่ตรงนี้ เรานัดกันแล้วว่าจะไปกินเต้าหู้น้ำแดงผัดเนื้อปลามิใช่รึ”

สวีโหย่วหรงนั้นแตกต่างจากเฉินฉางเซิงที่รู้สึกประหม่าอย่างสิ้นเชิง นางรู้ดีเสมอว่าเขาก็คือเขา ระยะเวลานับสิบวันที่ล่วงผ่านมานานมากพอที่จะช่วยให้จิตใจของนางสงบลง นอกจากนี้ เขาและนางก็ใช้เวลาในสวนโจวด้วยกันนานมาก นานมากเสียจนนางไม่รู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าเมื่อได้พบเขาอีกครั้ง และยิ่งไม่มีทางแสดงความรู้สึกห่างเหินออกมาให้เห็นอย่างแน่นอน

“…ข้าเดินหาร้านขายเต้าหู้น้ำแดงผัดเนื้อปลาในตรอกนั้นสองรอบแล้วแต่ไม่เจอร้านที่เจ้าบอก” เฉินฉางเซิงรีบชี้แจง

สวีโหย่วหรงนิ่งงันไปชั่วครู่แล้วหันมองไปยังตรอกที่ว่านั่นพลางเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกเสียดาย “ไม่ได้มาที่นี่แค่สามปี ร้านถูกปิดไปแล้วหรือ ปลาร้านนั้นอร่อยมากจริงๆ นะ”

“ทำไมเจ้า…เดินออกมาจากทางนั้นล่ะ” เฉินฉางเซิงถามพลางชี้ไปยังปากตรอกที่สวีโหย่วหรงเพิ่งเดินออกมา

ตรอกนั่นไม่ใช่ทางผ่านที่เชื่อมกับพระราชวังหรือจวนขุนพลเทพตงอวี้ เขาจึงไม่ทันได้สังเกต

“ข้าไปรอม่ออวี่ที่สวนส้มจี๊ดอยู่สักพัก แต่นาง…ไม่ได้กลับมา ข้าถึงได้มาที่นี่ช้าไปหน่อย”

ขณะพูดประโยคนี้ สวีโหย่วหรงกะพริบตาเบาๆ สายตาทอดมองลงต่ำ แก้มทั้งสองแดงระเรื่อ

นางเพิ่งนึกขึ้นได้ก่อนถึงเวลานัดหมายเพียงเล็กน้อย หากไม่นับการนัดพบกันตอนอยู่ที่สวนโจว นี่ถือเป็นการนัดพบเฉินฉางเซิงเป็นครั้งแรก…ตามลำพัง พลันรู้สึกกระดากอายขึ้นมาเสียดื้อๆ ยิ่งนึกถึงเรื่องที่ตนเองเป็นฝ่ายขอนัดพบเขาตรงสะพานหน่ายเหอด้วยแล้วยิ่งไม่อยากให้เขารู้สึกแปลกๆ นางจึงคิดที่จะพาม่ออวี่มาเป็นเพื่อนด้วยกันในเวลาจวนตัวเช่นนี้

แต่ใครจะไปรู้เล่าว่าม่ออวี่กลับไม่อยู่เสียนี่

ตอนนี้สวีโหย่วหรงไม่แน่ใจเสียแล้วว่าตนเองควรดีใจหรือเสียใจดี

สำหรับสวีโหย่วหรงแล้ว เรื่องพวกนี้สลับซับซ้อนและเข้าใจยากยิ่งกว่าการอ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เสียอีก

เพราะฟ้ามืดเกินไปจึงทำให้เฉินฉางเซิงไม่เห็นสีหน้าเขินอายของสวีโหย่วหรงในยามนี้ ความที่เป็นคนความรู้สึกช้าในเรื่องนี้จึงทำให้เขาไม่รู้ว่าเหตุใดสวีโหย่วหรงจึงต้องไปหาม่ออวี่ที่สวนส้มจี๊ด เขาคิดเพียงแค่ว่าจุดประสงค์ในการนัดพบกันในวันนี้ก็เพื่อรับประทานอาหารร่วมกันเท่านั้น เขาจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก “ถ้าเช่นนั้น เราจะเข้าไปหาอะไรกินในตรอกนั่น หรือว่า…ไปที่อื่นแทน”

“กินที่นี่นั่นแหละ”

สวีโหย่วหรงยื่นด้ามจับร่มส่งให้เฉินฉางเซิง

ส่วนเฉินฉางเซิงรับร่มคันนั้นมาถือไว้อย่างเป็นธรรมชาติ

ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดๆ หรือแม้แต่ส่งสายตาให้กัน กิริยาท่าทางการส่งร่มและรับร่มดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติราวทั้งสองทำสิ่งนี้ด้วยกันจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

เพราะตอนอยู่ที่สวนโจวนั้นทั้งสองรับส่งร่มแก่กันนับครั้งไม่ถ้วนจริง…ในทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล ยามเมื่อทั้งสองต้องพบเจอกับอสูรปีศาจหรือยามที่ต้องเร่งการเดินทาง ส่วนใหญ่เฉินฉางเซิงจะให้สวีโหย่วหรงขี่หลังของเขาโดยนางเป็นผู้ถือร่มเอาไว้ ยามเมื่อนางเมื่อยล้านางจะส่งร่มให้เขา

เฉินฉางเซิงถือร่มเดินฝ่าหิมะเคียงคู่สวีโหย่วหรงเข้าไปในตรอกเล็กๆ นั่น

แม้ความเร็วในเปลี่ยนแปลงไปตามกาลของสรรพสิ่งบนโลกอาจไม่รวดเร็วดั่งสายน้ำไหล แต่การจะเปลี่ยนร้านอาหารในตรอกซอยเดียวนั้นง่ายดายเป็นอย่างมาก

มาบัดนี้ อาหารขึ้นชื่อที่สุดบนถนนฝูสุยไม่ใช่เต้าหู้น้ำแดงผัดเนื้อปลาอีกแล้ว หากแต่เป็นซี่โครงตุ๋นกระทะเหล็กแทน

ในตรอกเล็กๆ แห่งนี้มีร้านขายซี่โครงตุ๋นกระทะเหล็กมากถึงห้าร้าน ป้ายหน้าร้านต่างเขียนโฆษณาว่าเป็นสูตรต้นตำรับเมืองฉีจนไม่รู้ว่าร้านไหนเป็นของแท้และดั้งเดิมกันแน่

ไอร้อนจากกระทะเหล็กพวยพุ่งออกมาจากร้านอาหารเหล่านั้น ไอร้อนที่มาพร้อมกลิ่นเนื้อตุ๋นหอมๆ ลอยอยู่ในอากาศอันหนาวเหน็บช่างยั่วน้ำลายเสียเหลือเกิน

เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงไม่กลัวความหนาว ทั้งสองกลับชอบบรรยากาศแบบนี้เสียด้วยซ้ำ สองหนุ่มสาวเลือกเดินเข้าร้านร้านหนึ่งที่ดูค่อนข้างสะอาดสะอ้าน

ซี่โครงตุ๋นกระทะเหล็กถูกปรุงในกระทะเหล็กก้นลึก เมื่อเปิดผ้าม่านประตูผืนหนาออกสามารถสัมผัสถึงไอความร้อนที่ลอยวนอยู่กลางอากาศได้ทันที

ร้านอาหารที่ปกติจะเต็มไปด้วยลูกค้าที่มารับประทานอาหาร มาวันนี้ร้านค่อนข้างเงียบเหงาเพราะมีลูกค้านั่งรับประทานอาหารอยู่เพียงโต๊ะเดียวเท่านั้น ลูกค้าที่มารับประทานอาหารในสภาพดินฟ้าอากาศเช่นนี้ถือเป็นนักกินตัวยงของแท้ เพราะสมาธิทั้งหมดของพวกเขาจดจ่ออยู่ที่ซี่โครงตุ๋นอันหอมหวนและสุราเลิศรสเท่านั้น ไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเพิ่งเดินเข้ามาในร้าน

เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงเดินเข้าไปด้านในสุดของร้าน ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้นั่งลงบนเก้าอี้ก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันอย่างดุเดือดลอยมาเข้าหูเสียก่อน

ลูกค้าคนแรกกระแทกจอกเหล้าลงบนโต๊ะพร้อมตะโกนเสียงดัง “คุณหนูโหย่วหรงปราบไอ้หนุ่มที่ชื่อเฉินฉางเซิงเสียกระเจิงอย่างกับลูกสุนัข แล้วนางจะแพ้ได้อย่างไรกัน!”

ลูกค้าอีกคนหัวเราะเยาะ “แล้วเหตุใดคุณหนูโหย่วหรงถึงยอมแพ้เล่า”

ลูกค้าคนแรกอดกลั้นจนหน้าแดงก่ำ สุดท้ายทนไม่ไหวหลุดออกมาว่า “…นั่นเป็นเพราะนางยังไม่ลืมรักครั้งเก่า นางคิดว่าเฉินฉางเซิงเคยเป็นอดีตว่าที่สามีถึงได้ออมมือให้หรอก”

เถ้าแก่ได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งจึงรีบออกมาจากท้ายครัวเพื่อไกล่เกลี่ยสถานการณ์ กว่าจะจัดการให้ลูกค้าทั้งสองสงบสติลงได้ก็เล่นเอาเสียเหนื่อย พอหันกลับมาเห็นใต้แสงสลัวตรงมุมร้านมีลูกค้าเข้ามาใหม่อีกสองท่าน ลูกค้าหนุ่มสาวทั้งสองยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางลำบากใจพิกลจนเถ้าแก่รู้สึกฉงนว่าคนอื่นทะเลาะกันแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเขาด้วย