วิบากวิญญาณทั้งสาม! โดย Ink Stone_Fantasy
หวังหลินกระโจนออกไปจากอารามแมงป่องและพุ่งเข้าหากลองในท้องฟ้า ดาบหยินในมือปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นเยียบราวกับสามารถแช่แข็งทุกอย่างได้
เสียงกลองดังระทึกและกึกก้องอยู่ในกระดูกของหวังหลิน ร่างเงาหลายร่างโผล่ออกมาจากระลอกคลื่นที่เกิดจากเสียงกลอง
ร่างเงาทุกตัวสวมเกราะสีแดงดุจทหารเทพโลหิต พวกมันปรากฏตัวนับพันและพุ่งเข้าหาหวังหลินด้วยจิตสังหารทรงพลัง
นี่คือวิบากแก่นแท้ภายในอันดับต่อมา วิบากเงาโลหิต!
ร่างเงาโลหิตที่เกิดขึ้นจากวิบากครั้งนี้ไม่อ่อนแอไปกว่าเซียนขั้นแก่นแท้ดับสูญและไม่มีวันตาย ถึงจะถูกทำลายก็นสามารถเกิดออกมาจากระลอกคลื่นได้อีกครั้ง วงจรไม่มีที่สิ้นสุดนี้กลายเป็นฝันร้ายสำหรับทุกคนที่กำลังผ่านด่านวิบาก!
สิ่งสำคัญที่สุดคือทุกครั้งที่มีร่างเงาตายไปหนึ่ง ความแข็งแกร่งของมันจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หากใช้เวลานานเกินไป การจะผ่านด่านวิบากครั้งนี้ยิ่งยากขึ้นไปอีก!
เดิมการที่จะมีเซียนเผชิญหน้ากับวิบากแก่นแท้ภายในติดต่อกันนับว่าหาได้ยากนัก คนส่วนใหญ่เมื่อผ่านวิบากแก่นแท้ภายในด่านแรกไปแล้วจะฝืนออกไป จากนั้นเมื่อเตรียมตัวได้แล้วก็จะเข้ามาลองวิบากเงาโลหิต!
ส่วนที่น่ากลัวของวิบากครั้งนี้คือมันไม่สามารถโดนทำลายได้ ดังนั้นจึงมีคนผ่านไปไม่มากนัก!
หวังหลินไม่รู้ว่าคนอื่นผ่านด่านวิบากเงาโลหิตไปได้อย่างไร แต่เขามีวิธีของตัวเอง ขณะที่ร่างเงาโลหิตนับพันกำลังใกล้เข้ามา หวังหลินลอยตัวอยู่ในท้องฟ้า แววตาเปล่งประกายสีทองแวววาว
ภายใต้แสงสีทองนี้ หวังหลินได้เปล่งพลังข่มเหงอันทรงพลัง พลังนี้มาจากเศษกระบี่ที่ชายชราชุดเขียวผสานเข้าไปในตาเขา แม้แต่วิญญาณแมงป่องยังถูกสายตานี้ข่มได้ คงไม่ต้องพูดถึงเหล่าเงาโลหิตพวกนี้เลย!
หวังหลินกวาดสายตาผ่านท้องฟ้า ร่างเงาโลหิตทั้งหมดที่โดนสายตานี้กวาดใส่ถึงกับร่างสั่นเทาและไม่กล้าเคลื่อนไหว พวกมันรู้สึกกลัวราวกับสวรรค์กำลังกดทับใส่พวกมันเอง แรงกดดันที่มองไม่เห็นนี้ทำให้พวกมันรู้สึกเหมือนหากก้าวเข้าไปเพียงครึ่งก้าวอาจจะโดนทำลายอย่างโหดเหี้ยม!
หลังจากหวังหลินกวาดสายตา จึงเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ไปซะ!”
น้ำเสียงไม่ได้ดังมากนัก แต่พอถึงร่างเงาโลหิตนับพัน ราวกับเป็นอำนาจแห่งสวรรค์ พวกมันสั่นสะท้านและถอยร่นโดยไม่รู้ตัว
พวกมันคือภาพมายาที่เกิดขึ้นจากด่านวิบากแก่นแท้ภายใน ดังนั้นจึงไม่มีสติปัญญามากนักแต่รู้สึกกลัวตามสัญชาตญาณ พวกมันถอยไปหลายพันฟุตและหายกลับเข้าไปในระลอกคลื่น
ผู้คนมากมายต่างใช้วิธีการหลายอย่างในการผ่านด่านวิบากนี้ แต่ไม่เคยมีใครที่ไม่ต้องทำอะไรทว่ายังให้พวกเงาโลหิตกลัวจนถึงจุดที่ไม่กล้าก้าวเข้ามาข้างหน้าได้เลย!
พอร่างเงาโลหิตหายไป หวังหลินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเข้าหากลองยักษ์ กลองนี้กำลังจะส่งเสียงเป็นครั้งที่สาม
หวังหลินเข้าประชิด ยกดาบหยินขึ้นมาฟันลงใส่กลองยักษ์!
ร่างเงาห้าธาตุและร่างเงาหลายร่างทับซ้อนขึ้นมา พวกมันยกแขนขวาและมีดาบหยินปรากฏ เป็นการโจมตีตามหลังหวังหลินติดต่อกันถึงสามครั้ง!
ยามที่ดาบหยินของหวังหลินกระแทกใส่กลอง เสียงครั้งที่สามดังออกมา แต่มันกลับถูกเสียงดาบและเสียงการปะทะกลบจนมิดจนไม่ได้ยินเลย
นาทีนี้ดาบสามเล่มจากร่างห้าธาตุของหวังหลินร่อนลงใส่กลอง
มองไกลๆ ราวกับคมมีดแยกสวรรค์สี่เล่มผ่าลงใส่กลองยักษ์ ส่งเสียงดังกึกก้องพร้อมกับเกิดรอยแตกร้าวบนหน้ากลองและแตกสลายในทันที!
กลองแตกสลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย กลายเป็นพายุอันทรงพลัง
วิบากแก่นแท้ภายในด่านที่สามไม่ได้โผล่ออกมาเพราะหวังหลินทำลายรากฐานของด่านวิบากแก่นแท้ภายใน!
หลังจากผ่านไปหกด่านวิบากแก่นแท้ หวังหลินมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นและไม่มีท่าทีสบายเหมือนก่อนหน้านี้ ด่านวิบากแก่นแท้ภายในทั้งสามด่านทรงพลังยิ่งกว่าสามด่านแรก หวังหลินยังต้องใช้สายตาข่มเหงและดาบหยินเพื่อผ่านด่าน!
จากการวิเคราะห์ของเขา สามด่านสุดท้ายคงจะทรงพลังยิ่งกว่าด่านวิบากภายในอีกหลายเท่า มันคือช่องว่างที่ขวางกั้นเซียนไม่ให้บรรลุขั้นวิบากดับสูญ!
หวังหลินร่อนลงบนหางแมงป่องและเก็บดาบหยินเข้าไปในแขน เขามองท้องฟ้าและรอคอยสามด่านสุดท้ายให้มาถึง
ชายชราชุดเขียวไม่เพียงแต่ให้สายตาข่มแหงและดาบหยินแก่หวังหลิน เขายังมอบเส้นชีพจรเทพที่สร้างจากเส้นผมของบรรพชนเทพอีกด้วย!
เส้นชีพจรนี้ทำให้หวังหลินสามารถผสานพลังเทพและพลังโบราณได้ในระดับหนึ่ง! เส้นผมที่มีพลังเทพหนาแน่นจะกลายเป็นสายโลหิตเทพของหวังหลิน!
แม้เส้นผมนี้ไม่สามารถทำให้หวังหลินผสานพลังทั้งสองแบบได้อย่างสมบูรณ์ แต่มันก็มีผลบางอย่าง อย่างน้อยๆ ก็สามารถทำให้พลังปราณสวรรค์อันบริสุทธิ์สามารถไหลเวียนผ่านเส้นผมเส้นนี้ได้!
พลังปราณสวรรค์ที่ว่าคือพลังเทพที่ทำให้หวังหลินสามารถใช้สมบัติและทำให้เขาเกือบไร้เทียมทานในโลกถ้ำ!
สมบัตินี้สามารถคุกคามเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นได้อย่างแท้จริง!
หวังหลินขบคิดพลางมองไปยังท้องฟ้าและยังคงไม่เคลื่อนไหว
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ก้อนเมฆกระจัดกระจายแต่วินาทีต่อมาพลันมีแสงน่ากลัวโผล่ออกมาจากท้องฟ้า แสงน่ากลัวนี้ให้ความรู้สึกแปลกประหลาด ไม่นานนักมันรวมตัวกันกลายเป็นผนึกขนาดยักษ์!
ผนึกมีรูปร่างน่ากลัวแต่เปล่งกลิ่นอายกฎแห่งโลก ราวกับมันเป็นส่วนหนึ่งในการควบคุมว่าโลกนี้จะดำเนินไปอย่างไร
หวังหลินจ้องมองผนึกพลางหรี่ตาแคบ ตอนที่ผนึกปรากฏมันทำให้เขารู้สึกวิกฤติบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าวิกฤตินี้จะเผยตัวออกมาเอง
‘นี่คือวิบากด่านที่เจ็ด…’ หวังหลินขมวดคิ้วและพ่นลมหายใจ เขากำลังจะสบัดแขนเพื่อสลายวิบากนี้แต่ทันใดนั้นสีหน้าเปลี่ยนไป รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในวิญญาณดั้งเดิม!
เดิมทีวิญญาณดั้งเดิมของเขาทรงพลังมากและนั่งอยู่ในร่าง แต่ตอนนี้มันกลับแสดงสัญญาณกำลังอ่อนกำลัง
วิญญาณดั้งเดิมกำลังเหี่ยวแห้งอย่างรวดเร็วภายในเวลาหนึ่งลมหายใจ ด้วยความเร็วระดับนี้คงใช้เวลาแค่เจ็ดลมหายใจ วิญญาณดั้งเดิมก็จะแตกสลายและทำให้เขาตาย!!
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้สั่นคลอนจิตใจหวังหลิน เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใจถึงความน่ากลัวของด่านวิบากแก่นแท้อย่างลึกซึ้ง!
หากต้องการชะลอวิญญาณดั้งเดิม เขาจะต้องกลืนกินพลังจำนวนมาก เวลาเป็นสิ่งสำคัญ หวังหลินดวงตาวูบวาบและอ้าปากสูดเข้าไป พลังในโลกหมุนรอบตัวเขาแต่ไม่สามารถกลืนกินมันได้
พื้นที่รอบบริเวณถูกพลังลึกลับจากวิบากแก่นแท้เข้าห่อหุ้ม อย่างอื่นไม่สามารถเข้ามาได้ แม้แต่พลังในโลกก็ไม่สามารถผ่านมาได้เช่นกัน!
ลมหายใจที่สองผ่านมาแล้ว วิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินเหี่ยวแห้งเร็วยิ่งขึ้น!
‘วิบากด่านที่เจ็ดช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!’ หวังหลินเงยศีรษะขึ้นและพุ่งเข้าหาผนึกในท้องฟ้า ยกแขนขวาขึ้นมาโยนกำปั้นเข้าใส่!
ร่างเงาบัญชาโบราณปรากฏขึ้นด้านหลังหวังหลินและโยนกำปั้นออกไปด้วยเช่นกัน ทว่ากำปั้นนี้ได้ทะลุผ่านผนึกและไม่สร้างความเสียหายเลย ผนึกดูเหมือนจะเป็นภาพมายา มันไม่สามารถสัมผัสได้!
จากการกระทำนี้ ลมหายใจที่สามมาถึงแล้ว วิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินอ่อนแอลงอีกครั้ง มันลดขนาดลงมาเกือบครึ่ง!
หวังหลินมีท่าทีมืดมนทันที
วิบากด่านที่เจ็ดนี้คือหนึ่งในสามวิบากวิญญาณ ซึ่งเรียกกันว่าวิบากวิญญาณสิบลมหายใจ! ตลอดหลายปีที่ผ่านมามีเซียนหลายคนตายในด่านนี้นับไม่ถ้วน วิญญาณดั้งเดิมจะเหี่ยวเฉาหลังจากผ่านไปถึงลมหายใจที่เจ็ด จากนั้นก็จะเข้าสู่ความตาย!
วิบากด่านนี้เป็นการสังหารอย่างเงียบงัน ซึ่งทำให้มันน่าหวาดกลัวยิ่ง! ผนึกในท้องฟ้าเป็นกุญแจสำคัญแต่ไม่สามารถโดนทำลายได้ มันจะอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งเซียนได้ตายไปแล้ว มันถึงจะหายไป!
หวังหลินจ้องมองผนึกในท้องฟ้า ความคิดหลายอย่างแล่นวาบอยู่ในหัว
‘ข้าประเมินวิบากแก่นแท้นี้ต่ำไป…ช่างน่าสนใจ…มันทำลายวิญญาณดั้งเดิมข้า พลังทั้งหมดในโลกถูกผนึกจนข้าไม่สามารถดูดซับมาเติมเต็มได้…เช่นนั้นก็มีหนทางเดียว!’
หวังหลินดวงตาเปล่งประกาย เขาไม่สามารถดูดซับพลังภายในบริเวณได้แต่มีพลังอีกแห่งอันบริสุทธิ์ยิ่งที่นี่ นั่นคือวิญญาณแมงป่อง!
พอลมหายใจที่สี่มาถึงหวังหลินจึงเคลื่อนไหวโดยไม่ลังเล ยกแขนขึ้นมาและประทับลงใส่อารามแมงป่อง
อารามแมงป่องสั่นเทา แขนทั้งสองของหวังหลินดูเหมือนจะมีพลังดึงดูดอันทรงพลัง เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากในอาราม
พอลมหายใจที่ห้าเข้ามาถึง หมอกวิญญาณกระจายออกมาจากอารามและพุ่งเข้าสู่แขนของหวังหลิน มันเปลี่ยนกลายเป็นพลังงานและถูกดูดซับเข้าไปในร่างกาย
วิญญาณแมงป่องถูกหวังหลินตัดออกเป็นหกส่วน เขาดูดซับไปสี่ส่วนเพื่อบรรลุขั้นแก่นแท้ดับสูญ อีกสองส่วนสุดท้ายถูกซ่อนไว้ในอารามแมงป่อง
ปกติแล้วหวังหลินคงจะตามหาได้ยาก แต่เพราะมีระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นและได้ดูดซับไปสี่ส่วนก่อนหน้านี้ เขาจึงเชื่อมต่อกับแมงป่อง ด้วยสายใยการเชื่อมต่อจึงค้นหาอีกสองส่วนที่เหลือได้ง่ายๆ และดึงมันออกมา