ตอนที่ 371 ลงโทษ โดย Ink Stone_Fantasy
“เถ้าแก่หวา พี่เหวิน นี่พวกคุณมีอะไรหรือครับ?”
พอเปิดประตู เยี่ยเทียนก็พบหวาเซิ่งและเหวินหลวนสงยืนอยู่นอกประตู ที่ไม่ห่างไปนักยังมีรถของบริษัทจอดอยู่สองคันด้วย เยี่ยเทียนมองผ่านกระจกหน้าต่างเข้าไปแล้วเห็นชายร่างบึกบึนนั่งอยู่ในรถหลายคน
“คุณเยี่ย เพราะผมสั่งสอนคนไม่เข้มงวดเอง ถึงได้ทำให้คุณต้องลำบาก”
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนยังไม่เชิญพวกเขาเข้าไปข้างใน หวาเซิ่งก็พูดขึ้นอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ไอ้คนนอกคอกจางจือซวนนั่นน่ะผมพามาด้วยแล้ว เชิญคุณเยี่ยลงโทษได้เลยครับ!”
ก่อนหน้านี้ที่เยี่ยเทียนประสบเหตุถูกมือปืนตามฆ่านั้น ทำให้ถังเหวินหย่วนโกรธเกรี้ยวมาก และทำให้สั่นสะเทือนไปทั้งแวดวงคนเชื้อสายจีน สุดท้ายเมื่อสืบรู้ว่าที่แท้ตัวการกลับเป็นผู้กำกับคนหนึ่งในสังกัดของหวาเซิ่ง ก็ทำให้เถ้าแก่หวารู้สึกเสียหน้าขึ้นมาทันที คอหดจนเหมือนตัวเองเตี้ยลงไปหนึ่งช่วงศีรษะเลยทีเดียว
ดังนั้นหลังจากที่คนในสมาคมหงเหมินที่ต่างประเทศควบคุมตัวจางจือซวนไว้ได้แล้ว หวาเซิ่งก็รีบเดินทางไปออสเตรเลียด้วยตนเอง เพื่อพาจางจือซวนกลับมาที่ฮ่องกง และก็กำลังรอให้เยี่ยเทียนมาลงโทษอยู่พอดีเลย
เยี่ยเทียนเหลือบตามองเข้าไปในรถแวบหนึ่ง แล้วตอบอย่างใจเย็น “เถ้าแก่หวา ผมน่ะเป็นคนสุจริต จางจือซวนคนนี้ทำผิดกฎเกณฑ์ข้อไหนไปบ้าง คุณก็จัดการไปตามเห็นสมควรแล้วกัน เรื่องนี้ไม่ต้องถามผมแล้วก็ได้มั้งครับ?”
ถ้าให้เยี่ยเทียนไปจัดการลงโทษคนประเภทที่ใจบาปหยาบช้า ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากละก็ เยี่ยเทียนย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน แต่จางจือซวนนี่เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เขาจึงทำใจอำหิตลงมือด้วยไม่ได้จริงๆ ถ้ายกให้หวาเซิ่งไปจัดการเองน่าจะเหมาะสมกว่า
‘แกเนี่ยนะสุจริต?’
พอเยี่ยเทียนพูดออกมาอย่างนั้น หวาเซิ่งและเหวินหลวนสงก็ตาเป็นประกายวาวขึ้นมาทันที พวกเขาต่างก็เคยเห็นคนพูดตอแหลกันมาแล้ว แต่คนที่พูดจาได้หน้าตาเฉยขนาดนี้ เขาทั้งสองก็เพิ่งจะเคยพบเคยเห็นนี่แหละ
เรื่องที่เยี่ยเทียนสังหารมือปืนระดับสูงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยี่สิบสองคนในคืนฝนตกที่ไต้หวันนั้น ได้แพร่ออกไปตามแต่ละช่องทางแล้ว หวาเซิ่งนั้นแม้กระทั่งรูปถ่ายสภาพการตายอันอเนจอนาถของมือปืนเหล่านั้นก็เคยเห็นมาหมดแล้ว ตอนนั้นถึงขั้นผะอืดผะอมจนกินข้าวไม่ลงไปสองวันเลย
ส่วนผู้ที่เป็นคนก่อคดีสยองครั้งนี้ ตอนนี้กลับมาพูดว่าตัวเองเป็นคนดีอย่างหน้าซื่อๆ หวาเซิ่งจึงอดทอดถอนใจไม่ได้ ‘แบบนี้น่ะมันเรียกว่าทำเป็นหยิ่ง ถือตัว เทียบกับเยี่ยเทียนแล้ว เรานี่สิถึงจะเรียกว่าคนสุจริตที่แท้จริง’
“เถ้าแก่หวา พี่เหวิน วันนี้ก็ค่ำแล้ว คงไม่เชิญพวกคุณสองคนเข้ามานั่งข้างในแล้วนะครับ”
หลังจากรู้จุดประสงค์การมาของหวาเซิ่งแล้ว เยี่ยเทียนก็พูดส่งแขกทันที หลังจากที่ได้เห็นงานเลี้ยงของ เหวินหลวนสงแล้ว เขาก็ไม่เหลือความรู้สึกดีๆ กับคนผู้นี้เหลืออยู่อีกเลยแม้แต่นิดเดียว
“ได้ครับ อย่างนั้นก็ไม่รบกวนคุณเยี่ยพักผ่อนละนะ”
หวาเซิ่งก็อ่านคนเก่งเหมือนกัน เขาหยิบบัตรธนาคารใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าทันที แล้วพูดว่า “คราวนี้คนของบริษัทผมเป็นฝ่ายทำผิดก่อน ทำให้คุณเยี่ยต้องเสียขวัญ นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากผม หวังว่าคุณเยี่ยจะรับไว้นะครับ”
“ก็ได้ครับ อย่างนั้นผมก็จะรับไว้แล้วกัน ไปดีๆ นะครับคุณทั้งสอง”
เยี่ยเทียนคิดดู แล้วรับบัตรธนาคารใบนั้นมา ที่เขามาฮ่องกงครั้งนี้ นอกจากได้บ้านมาหนึ่งหลังแล้ว ก็กลับไม่มีเงินสดอยู่เลยสักแดงเดียว ถึงอย่างไรเงินของหวาเซิ่งก็ได้มาอย่างสกปรกอยู่แล้ว รับหรือไม่รับก็เหมือนกัน
แน่นอนว่า ถ้าเยี่ยเทียนยอมเอาบ้านที่กงเสี่ยวเสี่ยวกำนัลให้เขามาไปปล่อยขายละก็ เขาจะต้องกลายเป็นมหาเศรษฐีในชั่วข้ามคืนอย่างแน่นอน เพราะคฤหาสน์ที่ซื้อมาได้ในราคาหนึ่งร้อยล้านกว่าๆ นั้น ตอนนี้ก็คงจะขึ้นราคาไปจนถึงสามร้อยล้านแล้ว
“ศิษย์พี่รอง นี่พี่จะกลับไปแล้วหรือครับ?” เมื่อหันหลังเดินกลับไปที่ห้องรับแขก เยี่ยเทียนก็เห็นโก่วซินเจียกำลังเดินออกไปข้างนอกกับจั่วเจียจวิ้น จึงนิ่งอึ้งไป
จั่วเจียจวิ้นหัวเราะ “ศิษย์พี่ใหญ่อยากจะดูง้าวของนายเล่มนั้นน่ะ นี่พี่ก็เลยจะไปเอาที่บ้านมาให้ดู”
“เยี่ยเทียน ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เห็นได้ยินนายพูดถึงเลยล่ะ?” โก่วซินเจียถามขึ้นอย่างไม่ได้ถือสาอะไร ของขลังชนิดที่เป็นอาวุธนั้นมีเงื่อนไขในการปลุกเสกสูงมาก ที่กระจายอยู่ในโลกนี้จึงมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แม้แต่โก่วซินเจียเองก็ยังไม่เคยเจอมาก่อน
“ศิษย์พี่ ผมน่ะมีของดีอยู่เยอะแยะเลยนา”
เยี่ยเทียนหัวเราะแฮะๆ แล้วพูดกับจั่วเจียจวิ้นว่า “ศิษย์พี่จั่ว พาเหมาโถวมาด้วยเลยดีกว่าครับ เจ้านั่นไม่ได้เจอผมมาหลายวันแล้ว ป่านนี้อาจจะอาละวาดใหญ่แล้วก็ได้”
เยี่ยเทียนรู้สึกว่า ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของเขาในการไปไต้หวันครั้งนี้ ก็คือการที่ไม่ได้พาเหมาโถวไปด้วยนั่นเอง ไม่อย่างนั้นในค่ำคืนที่ฝนตกคืนนั้นเขาก็คงไม่ต้องลำบากขนาดนั้น ลำพังแค่เหมาโถวตัวเดียวก็คงจัดการพวกทีมมือปืนไปได้ครึ่งค่อนทีมแล้ว
“ได้ พี่จะรีบไปรีบกลับ ที่บ้านมีเหล้าดีที่บ่มมาห้าสิบปีอยู่หลายขวดพอดีเลย!”
จั่วเจียจวิ้นพยักหน้าตอบตกลง และเขาก็เดินทางไปกลับอย่างรวดเร็วจริงๆ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เงาร่างสีขาวร่างหนึ่งก็กระโจนเข้าบ้านมาแล้ว
“เฮ้ย นี่ๆ อย่าดึงผมสิ ปัดโธ่ แกนี่เหม็นคาวปลาไปทั้งตัวเลยนะ กินปลาไปกี่ตัวแล้วเนี่ยหา?”
วิธีการแสดงความโกรธของเหมาโถวก็คือช่วยหวีผมให้เยี่ยเทียน นี่พอเห็นหน้ามันก็โดดขึ้นไปอยู่บนไหล่เยี่ยเทียนทันที อุ้งเท้าเล็กๆ ทั้งสองข้างตะกุยผมของเยี่ยเทียนจนยุ่งเป็นรังนก
“จี……จี!”
เหมาโถวหยุดมือลงกะทันหัน แล้วดมที่ไหล่ของเยี่ยเทียน จากนั้นขนของมันก็ลุกชันขึ้นมาทันที และร้องเสียงแหลมขึ้นมา เพราะมันได้กลิ่นคาวเลือดจากแผลของเยี่ยเทียน
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าตัวน้อยที่นายเลี้ยงไว้นี่มีความคิดจิตใจเหมือนคนเลยนะเนี่ย”
เมื่อเห็นเหมาโถวกรีดร้องออกมาเพราะเยี่ยเทียนบาดเจ็บ โก่วซินเจียก็ตาเป็นประกายขึ้นมา แล้วพูดต่อไปว่า “สมัยโน้นตอนที่พี่ติดตามอาจารย์อยู่ ก็เคยเจอลิงขาวที่ภูเขาง้อไบ๊ตัวหนึ่งเหมือนคนทุกอย่างเลย ยกเว้นอย่างเดียวคือพูดจาไม่ได้เท่านั้น พี่ว่าเจ้าเฟอร์เรตตัวนี้ก็สูสีกับลิงขาวตัวนั้นเลยละ”
“เอาละ ไม่ต้องร้อง ไม่เป็นไรแล้ว”
เยี่ยเทียนปลอบใจเหมาโถวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปถามโก่วซินเจียว่า “ศิษย์พี่ครับ ศิษย์พี่พบเห็นอะไรมาเยอะแล้ว ผมอยากขอถามหน่อยว่า ในโลกนี้มีสัตว์ที่มีญาณวิเศษอยู่จริงๆ รึเปล่าครับ?”
ในศาสตร์ที่เยี่ยเทียนได้รับมาในสมองนั้น มีบันทึกเกี่ยวกับชนเผ่าพ่อมดหมอผีโบราณที่เลี้ยงสัตว์ที่มีญาณวิเศษไว้ โดยบันทึกว่าสามารถเลี้ยงพวกลิงไว้เป็นทาสรับใช้ และเลี้ยงพวกนกไว้เป็นเพื่อนเล่นได้ โดยที่สติปัญญาของพวกมันไม่ได้ด้อยไปกว่ามนุษย์เลย
เยี่ยเทียนเห็นบันทึกส่วนนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าขานมาตลอด แต่เมื่อได้พบกับเหมาโถว เขาก็เริ่มจะไม่แน่ใจขึ้นมา เพราะเจ้าตัวนี้มีท่าทางการแสดงออกแทบจะไม่ต่างอะไรกับพวกสัตว์ที่มีญาณวิเศษในตำนานนั่นเลย
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนถาม โก่วซินเจียก็คิดดูแล้วตอบว่า “สรรพสิ่งในฟ้าดินล้วนมีวิญญาณ ของแบบนั้นก็ต้องมีอยู่แล้วละ แต่ปัจจุบันนี้พลังชี่ในธรรมชาติค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ ถ้าสิ่งมีชีวิตพวกนี้อยากจะบรรลุเกิดญาณขึ้นมา ก็คงไม่ง่ายอย่างแต่ก่อนแล้วละ”
“เจ้าเหมาโถวของเยี่ยเทียนนี่น่ะต้องเป็นสัตว์ที่มีญาณวิเศษแน่ๆ ละ แถวละแวกบ้านฉันน่ะ ไม่ว่าปลาเอยนกเอยที่แต่ละบ้านเขาเลี้ยงไว้ ก็โดนเจ้านี่จับกินไปจนเกลี้ยงเลย”
โก่วซินเจียพูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงของจั่วเจียจวิ้นก็พูดขึ้นมาบ้าง เขามาถึงช้ากว่าเหมาโถวไปเล็กน้อย และพอเข้ามาก็เริ่มฟ้องทันที
“จี ๆ!” เหมาโถวยกสองมือขึ้นมาปิดตาไว้ ทำท่าทางเหมือนกับกำลังละอายใจ ทำให้ทุกคนหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมาดังลั่นทันที
ต่อมาพอได้เห็นง้าวเล่มนั้น โก่วซินเจียก็อุทานชื่นชมไม่หยุด และบอกว่าเยี่ยเทียนช่างมีบุญวาสนาสูงส่งเหลือเกิน
ควรทราบว่า เมื่อครั้งกระโน้นสมัยที่โก่วซินเจียติดตามหลี่ซั่นหยวนออกท่องยุทธภพนั้น เป็นช่วงที่วงการศาสตร์ลี้ลับยุคใหม่กำลังเฟื่องฟู แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เคยพบเห็นของขลังประเภทอาวุธแบบนี้เลย
……
เนื่องจากโก่วซินเจียต้องรอทำเอกสารยืนยันตัวตนให้เสร็จเสียก่อนถึงจะกลับแผ่นดินใหญ่ได้ จึงยังต้องอยู่ที่ฮ่องกงต่อไปอีกสามสี่วัน
ส่วนคฤหาสน์ที่กงเสี่ยวเสี่ยวยกให้เยี่ยเทียนไปนั้น ขั้นตอนการโอนกรรมสิทธิ์ก็ต้องใช้เวลาอีกเดือนสองเดือน เยี่ยเทียนคงรอนานขนาดนั้นไม่ไหวอยู่แล้ว จึงฝากเรื่องนี้ให้ถังเหวินหย่วนไปจัดการแทน
หลายวันต่อจากนั้น เยี่ยเทียนจดบันทึกเคล็ดวิชาโจมตีที่ได้รับถ่ายทอดมา แล้วให้ศิษย์พี่ทั้งสองนำไปฝึกฝน ส่วนตัวเขาเองก็ให้อาติงพาไปเที่ยวฮ่องกงจับจ่ายซื้อของอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
คราวนี้ออกเดินทางมาเป็นเวลานานไม่ใช่เล่น เพื่อบรรเทาโทสะของญาติๆ และแฟนสาว เยี่ยเทียนจึงใช้จ่ายไม่อั้นเลยทีเดียว รูดบัตรธนาคารที่หวาเซิ่งให้มาซึ่งมีเงินอยู่ห้าล้านนั้นจนไม่เหลือเลยสักแดงเดียว
นอกจากจะซื้อนาฬิกาข้อมือราคาหลายแสนให้พ่อ ลุงเขยกับอาเขยและพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องคนละเรือนแล้ว เยี่ยเทียนยังซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นหลากหลายยี่ห้อมาอีกนับไม่ถ้วน โดยไม่สนใจเลยว่าป้าๆ ทั้งสองที่บ้านจะใส่ออกจากบ้านได้ไหม
“เหล่าถังมารึ? อ้อ เอกสารทำเสร็จแล้วหรือ”
วันนี้พอเยี่ยเทียนกลับมาถึงบ้านหลังนั้น ก็เจอถังเหวินหย่วนกำลังสนทนาอยู่กับศิษย์พี่ทั้งสอง และมีบัตรประชาชนฮ่องกงใบหนึ่งและใบรับรองสถานภาพการเป็นนักพรตอีกหนึ่งชุดวางอยู่ตรงหน้าโก่วซินเจีย
“ทำเสร็จแล้ว เยี่ยเทียน พวกคุณจะไปกันเมื่อไหร่ล่ะ? ผมใช้เครื่องบินส่วนตัวไปส่งพวกคุณกลับปักกิ่งดีกว่านะ” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเดินเข้ามา ถังเหวินหย่วนก็ลุกขึ้นมาอย่างลืมตัว ราวกับว่าเยี่ยเทียนต่างหากถึงจะเป็นเจ้าของบ้านตัวจริง
แต่นี่ก็ไม่ใช่ความผิดของถังเหวินหย่วน เพราะไม่ว่าใครถ้าได้เห็นพวกคนที่ถูกเยี่ยเทียนฆ่าไปกับตาแล้ว ก็คงจะไม่มีทางวิสาสะกับเยี่ยเทียนเหมือนกับเขาเป็นคนธรรมดาๆ ได้หรอก
“พรุ่งนี้ก็จะไปแล้วละ ผมจากบ้านมาหนึ่งเดือนกว่าๆ ชักจะคิดถึงบ้านขึ้นมาแล้ว ส่วนศิษย์พี่ใหญ่ยิ่งไม่ได้กลับไปตั้งหลายสิบปีแล้ว” เยี่ยเทียนมองโก่วซินเจียแวบหนึ่ง แม้ว่าศิษย์พี่ใหญ่คนนี้จะมีสีหน้าสงบนิ่ง แต่เยี่ยเทียนก็ยังมองเห็นความสะทกสะท้อนที่ฉายอยู่ในดวงตาของเขาได้อยู่
“ได้ แล้วผมจะกลับไปจัดการเอง” ถังเหวินหย่วนพยักหน้า แล้วจู่ๆ ก็ลังเลขึ้นมา “เยี่ยเทียน มีอยู่เรื่องหนึ่งที่หวังว่าคุณจะยอมตกลงน่ะ”
“เรื่องอะไรรึ? ว่ามาสิ”
“เยี่ยเทียน อาติงอยู่กับผมมายี่สิบกว่าปีแล้ว คุณพอจะช่วยรักษาโรคน่าอายที่เขาเป็นอยู่ให้หน่อยได้ไหมล่ะ?”
พื้นฐานช่วงต้นชีวิตของถังเหวินหย่วนไม่ได้ดีเท่าไรนัก อย่างที่ภาษิตว่า ผู้เที่ยงธรรมมักเป็นชนชั้นชาติสุนัข เขาเองก็นับว่าเป็นอภิมหาเศรษฐีเชื้อสายจีนที่มีน้ำใจไมตรีผิดจากเศรษฐีคนอื่นๆ อยู่เหมือนกัน
“ได้สิ คราวนี้ให้อาติงตามผมไปอยู่ที่เรือนสี่ประสานนั่นสักหลายๆ วันก็แล้วกัน”
พอเยี่ยเทียนได้ยินว่าเป็นเรื่องนี้ ก็พยักหน้าตอบตกลงไปทันที ช่วงนี้อาติงคอยวิ่งวุ่นเป็นธุระให้เขาตลอด เยี่ยเทียนเองก็คิดอยู่แต่แรกแล้วว่าจะช่วยสลายพลังปราณพิฆาตในร่างให้อาติง
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนตอบเช่นนั้น ถังเหวินหย่วนก็มีสีหน้าอิจฉาเสียดายขึ้นมา ถ้าไม่ใช่เพราะที่ฮ่องกงมีธุระติดพันอยู่ ตาเฒ่าคนนี้ก็คงยอมจ่ายค่าเช่าวันละหนึ่งล้านเพื่อที่จะได้ไปอยู่บ้านเดียวกับเยี่ยเทียนแล้ว
“จริงสิ ยังมีอีกสองเรื่องขอบอกคุณเลยก็แล้วกัน” ถังเหวินหย่วนพลันนึกถึงเรื่องที่หวาเซิ่งฝากฝังไว้ขึ้นมาได้ จึงหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้เยี่ยเทียน
ตรงตำแหน่งที่สะดุดตาที่สุดบนหน้าหนังสือพิมพ์ฮ่องกงฉบับนั้น ได้พาดหัวข่าวไว้ดังนี้ “ผู้กำกับจีนชื่อดัง จางจือซวนถูกจี้กลางกรุง ขัดขืนโดนไปสามสิบแปดมีดเกินเยียวยาเสียชีวิต!”
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งนั้นก็คือ มาเฟียฮ่องกงและแก๊งจากเวียดนามเกิดการปะทะกันอีกครั้ง คนเวียดนามที่ทำธุรกิจลักลอบค้าขายผ่านทางฮ่องกงต่างก็ถูกขับไล่ออกไปหมดแล้ว คนเวียดนามหนึ่งในนั้นที่ชื่อหลวนเก้อหนานก็ได้ประสบเหตุเสียชีวิต
เยี่ยเทียนยิ้มพลางส่ายหน้า เขาเข้าใจความคิดของหวาเซิ่งดี สาเหตุที่ฟันแทงจางจือซวนจนตายกลางกรุงนั้น ก็เพื่อที่จะให้ข่าวกระจายมาถึงหูเขาได้นั่นเอง
ส่วนเรื่องที่คนเวียดนามถูกขับไล่ออกไปจากฮ่องกงนั้น ก็เป็นการชดเชยที่เขาถูกซุ่มทำร้ายที่ไต้หวันนั่นเอง วิธีการที่หวาเซิ่งจัดการกับเรื่องเหล่านี้ ทำให้เยี่ยเทียนค่อนข้างพึงพอใจอยู่เหมือนกัน
……….