บทที่ 489 เตรียมตัวเดินทางเข้าสำนักวิญญาณโลหิต

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 489 เตรียมตัวเดินทางเข้าสำนักวิญญาณโลหิต

เย่ชิงเฉิงมองไปที่ประตูอย่างเป็นกังวล ซึ่งด้านหลังประตูนั้นมีหลิงตู้ฉิงและหมิงยู่อยู่ด้านใน

อย่างไรก็ตาม เมื่อนางสัมผัสได้ว่าไม่มีความผัวผวนของพลังวิญญาณใด ๆ เกิดขึ้น นางก็รู้สึกโล่งใจเพราะมันหมายความว่าทั้งสองคนไม่ได้ร่วมเตียงกัน

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางรู้เป็นอย่างดีว่าหากเมื่อไหร่ที่หลิงตู้ฉิงบ่มเพาะแบบคู่เมื่อนั้นมันจะต้องมีปรากฎการณ์ความผัวผวนของพลังวิญญาณเกิดขึ้นทุกครั้ง ซึ่งพลังวิญญาณจำนวนมากเหล่านั้นจะไหลเข้าสู่ร่างกายของหลิงตู้ฉิงอย่างบ้าคลั่ง

แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางก็ยังคงรอด้วยอารมณ์ที่ขัดแย้ง จากนั้นเมื่อนางเห็นหลิงตู้ฉิงเปิดประตูและเดินออกจากห้อง นางก็รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง ทำไมเขาถึงออกมาโดยที่ไม่ได้ร่วมเตียงกับหมิงยู่? เมื่อพบกับความงามที่น่าตื่นตาขนาดนั้น เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นเหรอ?

“สามี…” เย่ชิงเฉิงอดไม่ได้ที่จะถาม

หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ไม่ต้องกังวล มันไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ตอนนี้ข้าต้องการคนมาช่วยข้า! พวกเจ้าคนไหนที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับสวรรค์สามัญหรือสูงกว่า ทุกคนจะต้องออกไปช่วยข้าหาอะไรบางอย่างและทำบางอย่างให้ข้า”

ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเสี่ยวเยว่เฟิงและหลงเฉิน เนื่องจากพวกเขาไม่คิดจะปฏิเสธอะไรอยู่แล้ว และที่ผ่านมาสองวันนี้พวกเขาก็ได้บรรลุระดับของตนเองไปถึงระดับหลุดพ้นสามัญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงไม่มีอะไรจะให้ทำในช่วงเวลาต่อจากนี้หากหลิงตู้ฉิงไม่สั่ง

ทางด้านของโม่เอ๋อก็ตอบรับอย่างมีความสุข ส่วนเย่หยูหลันที่ได้ยินเช่นนั้น นางก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็พยักหน้าและเห็นด้วยกับคำสั่งของหลิงตู้ฉิง เพราะก่อนหน้านี้นางยังคงเป็นหนี้บุญคุณเรื่องโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ หากเขาจะใช้นางไปทำอะไรให้มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอีกต่อไปแล้ว

หลังจากนั้น หลิงตู้ฉิงก็จดรายการที่เขาต้องการและสั่งให้คนทั้งสี่ออกไปซื้อของหลายอย่าง เช่น เหล่าโอสถหลายชนิด เป็นต้น

พวกเขาทั้งสี่คนเมื่อได้รับรายการคำสั่งซื้อมาต่างก็ไม่เข้าใจและสับสนเป็นอย่างมาก

เนื่องจากรายการแต่ละอย่างที่หลิงตู้ฉิงต้องการให้พวกเขาออกไปหาซื้อมานั้น มันมีข้อกำหนดรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ มากมาย ซึ่งบางรายละเอียดนั้นมันขัดกับความรู้ที่พวกเขาเคยได้อ่านหรือรู้มาโดยสิ้นเชิง ซึ่งบางรายการมันถึงขนาดทำให้พวกเขารู้สึกว่าสิ่งที่หลิงตู้ฉิงต้องการให้ซื้อมานั้นเป็นของที่ไร้สาระ

ส่วนมูลค่าของเหล่าสิ่งของจำนวนมหาศาลที่หลิงตู้ฉิงให้ทั้งสี่ไปซื้อนั้นมันมากจนเขาต้องให้ทั้งสี่นำสิ่งของที่อยู่ในแหวนมิติของหมิงยู่ทั้งหมดนำไปเทขาย และนำเงินที่ได้มาเอาไปแลกเปลี่ยนกับรายการของที่จะซื้อ รวมไปถึงแม้กระทั่งเขายังใช้เหรียญคริสตัลระดับจักรพรรดิของเย่ชิงเฉิง 50-60 เหรียญในการเติมเข้าไปมันถึงจะเพียงพอกับราคาของรายการสิ่งของทั้งหมดที่เขาต้องการ

“สามี นี่ท่านซื้อของมากมายขนาดนี้ท่านวางแผนจะทำอะไร?” เย่ชิงเฉิงถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง

เย่ชิงเฉิงมองไปที่กองภูเขาสิ่งของที่ทั้งสี่คนได้ซื้อมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมันให้ความรู้สึกสับสนอย่างสิ้นเชิง

หลิงตู้ฉิงยิ้ม “เจ้าจะรู้ว่าเมื่อถึงเวลา ไม่ต้องกังวลกับเหรียญคริสตัลระดับจักรพรรดิที่เจ้าลงทุนไป ในอนาคตเจ้าจะได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าแน่นอน”

เย่ชิงเฉิงยิ้มและพูดว่า “สามี ของของข้าก็คือของของท่าน ท่านสามารถใช้ทรัพย์สินของข้าได้ตามที่ท่านต้องการ”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “บอกคนอื่น ๆ ว่าในช่วงเวลานี้ห้ามรบกวนข้า ต่อจากนี้ข้าต้องใช้สมาธิกับของเหล่านี้อย่างจริงจัง”

จากนั้น หลิงตู้ฉิงก็เริ่มงานของเขาอย่างเคร่งเครียด เขาเริ่มเปลี่ยนบรรดาสมุนไพรที่ซื้อมาให้กลายเป็นอะไรบางอย่างที่ทุกคนไม่รู้จัก บางอย่างที่เขาทำขึ้นมันมีลักษณะเหนียวข้นเหมือนยาง บางอย่างก็มีกลิ่นเหม็นและบางอย่างก็มีพิษร้ายแรง… มันมีทุกรูปแบบและรสชาติ

นอกจากนี้มันยังมีพวกแร่อื่น ๆ ที่ซื้อมาเช่นกัน ซึ่งเขาก็เริ่มหล่อหลอมมันให้กลายเป็นรูปทรงต่าง ๆ ที่แปลกประหลาด

ทางด้านของเย่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงกับการกระทำของหลิงตู้ฉิง

ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งเดือน หลิงตู้ฉิงก็ยังคงไม่เสร็จสิ้นกับสิ่งที่เขาทำ

เนื่องจากทุก ๆ คนต่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ ดังนั้นทุกคนจึงแยกกันไปฝึกฝนต่อ แต่ก็ยังมีบางกลุ่มคนที่อยู่ในเมืองวิญญาณโลหิตไม่สามารถรอเวลาได้อีกต่อไป

“นายน้อย คราวนี้มีผู้คนจำนวนมากกำลังเตรียมออกเดินทางไปสำรวจสำนักวิญญาณโลหิต ซึ่งข้าคิดว่าพวกเราเองก็ควรตามพวกเขาไปที่สำนักวิญญาณโลหิตเพื่อค้นหาสมบัติที่อยู่ที่นั่น และนายน้อยเองก็ควรไปศึกษารอยกระบี่ที่เทพกระบี่ทิ้งเอาไว้เช่นกัน” คนรับใช้ของตงฟางจุนให้คำแนะนำแก่เขา

ตงฟางจุนส่ายหัวและพูดว่า “ข้าคิดว่าเราต้องรอสักหน่อย การเข้าไปก่อนนั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะได้รับผลประโยชน์อย่างที่ตั้งใจไว้ โชคชะตาเท่านั้นที่จะเป็นตัวกำหนดเรา ท่านลองคิดดูก็แล้วกันว่าเป็นเวลาเท่าไหร่แล้วที่ผู้คนมากมายต่างเข้าไปสำรวจในสำนักวิญญาณโลหิตแล้วพวกเขาได้รับผลประโยชน์ที่เป็นชิ้นเป็นอันอะไรมาบ้าง? ยังไงซะท่านจงเชื่อข้า เราจะรอพี่หลิงกันก่อนแล้วจากนั้นเราค่อยเข้าไปสำรวจสำนักวิญญาณโลหิตพร้อมกับเขา และอีกอย่างท่านอย่าลืมสิว่าข้าได้สัญญากับเขาไว้แล้วด้วยเช่นกัน หากข้าเข้าไปก่อนคนเดียวมันก็หมายความว่าข้าเป็นคนไม่รักษาสัจจะจริงไหม?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตงฟางไป๋อดไม่ได้ที่จะเตือนเขา “อาจุน เจ้าอย่าได้คิดถึงผู้หญิงคนนั้น นางเป็นคนจากตำหนักหอมรัญจวน ซึ่งเจ้าก็รู้ดีว่าผู้หญิงเหล่านั้นเป็นคนยังไง หากเจ้าดึงดันติดต่อกับนาง นางจะก่อภัยพิบัติให้กับเราไม่รู้จักจบจักสิ้น เจ้าเข้าใจไหม?”

ตงฟางไป๋เป็นปู่ของตงฟางจุน ซึ่งการออกมาคราวนี้เขาเป็นคนต้นคิดที่จะพาตงฟางจุนออกมาหาประสบการณ์

แต่เพราะการหว่านเสน่ห์ของหมิงยู่ มันเกือบทำให้พวกเขาต้องต่อสู้ครั้งใหญ่กับตระกูลหลิวของเมืองวิญญาณโลหิต

ต้องรู้ว่าตระกูลหลิว เป็นตระกูลใหญ่ในเมืองวิญญาณโลหิต ซึ่งตระกูลของพวกเขานั้นมีผู้เชี่ยวชาญระดับนภาครามเป็นเสาหลัก แล้วตอนนี้คนในตระกูลตงฟางกลับแยกร่างนายน้อยของพวกเขาออกเป็นสองส่วน ดังนั้นมันคงจะแปลกมากถ้าตระกูลหลิวไม่ตามคิดบัญชีกับพวกเขา

ซึ่งในท้ายที่สุดพวกเขาก็ถึงกับนำตราประจำตัวผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณกระบี่ออกมาระงับความขัดแย้ง จากนั้นจึงชดเชยตระกูลหลิวด้วยสมบัติล้ำค่าชุดใหญ่

ด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ที่เกิดขึ้น มันล้วนมีต้นเหตุมาจากหมิงยู่ ดังนั้นมันจึงไม่แปลกอะไรที่ตงฟางไป๋จะเกลียดขี้หน้าหมิงยู่

แล้วยิ่งตอนนี้ ตงฟางจุนกลับร้องขอให้พวกเขารอหลิงตู้ฉิง เพื่อออกไปสำรวจสำนักวิญญาณโลหิตด้วยกัน มันจึงทำให้ตงฟางไป๋สงสัยว่าหลานชายของเขาอาจจะมีเจตนาแอบแฝงอยากพบกับหมิงยู่ ดังนั้นเขาจึงต้องพูดขึ้นเตือนสติ

ตงฟางจุนยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ท่านปู่ ข้าไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นเลย หลานชายของท่านต้องทุกข์ทนกับนางมาแล้วครั้งหนึ่ง ข้าสัญญาว่ามันจะไม่มีครั้งต่อไปแน่นอน ท่านไม่ต้องกังวล แต่ท่านต้องเข้าใจว่าข้าได้รับปากกับพี่หลิงเอาไว้แล่วว่าข้าจะไปพร้อมกับเขา ดังนั้นข้าจะกลับคำของข้าไม่ได้ ท่านเข้าใจใช่ไหม?”

“ถ้างั้นเจ้าก็จงไปถามพวกเขาสักทีว่าเมื่อไหร่พวกเขาจะออกไป!” ตงฟางไป๋พูดอย่างจนใจ

ตงฟางจุนพยักหน้าและพูดว่า “รับทราบท่านปู่ ข้าจะไปถามพวกเขาเดี่ยวนี้!”

มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงไม่ใช่คนธรรรมดาอย่างที่ใคร ๆ คิด เขาคิดไปจนถึงกระทั่งว่าหลิงตู้ฉิงน่าจะเป็นเทพกระบี่ซะด้วยซ้ำ

ดังนั้นการได้ติดตามคนประเภทนี้เข้าไปที่สำนักวิญญาณโลหิตนั้นย่อมน่าเชื่อถือได้มากกว่าการติดตามคนอื่น ๆ เป็นไหน ๆ และนี่คือเหตุผลที่เขายืนกรานที่จะรอหลิงตู้ฉิงไปกับเขา

จากนั้นไม่นาน ตงฟางจุนก็ได้มาถึงหน้าประตูห้องของกลุ่มหลิงตู้ฉิง

ตงฟางจุนเคาะประตูและถามว่า “แม่นางเสี่ยว พี่หลิงฝึกฝนเสร็จแล้วหรือยัง?”

เสี่ยวเยว่เฟิงเปิดประตูออกและส่งยิ้มให้กับเขา “นายน้อยตงฟาง ท่านอาจจะต้องรอไปก่อน เนื่องจากตอนนี้นายท่านกำลังอยู่ในช่วงเวลาเก็บตัวบ่มเพาะ ซึ่งมันน่าจะอีกไม่นานนายท่านก็คงจะออกมา และเมื่อนายท่านออกมาเมื่อไหร่ ข้าจะไปส่งข่าวให้นายน้อยทราบอย่างแน่นอน”

ตงฟางจุนพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าหวังว่าพี่หลิงจะฝึกเสร็จโดยเร็ว ข้าได้ยินมาว่าบรรดาคนที่ออกจากเมืองไปก่อนหน้านี้ได้เข้าไปถึงในตำหนักใต้ดินของสำนักวิญญาณโลหิตแล้ว แถมยังได้รับของดี ๆ มากมาย”

เสี่ยวเยว่เฟิงยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องพวกนั้นหรอกนายน้อยตงฟาง เอาเป็นว่าท่านควรกลับไปก่อนแล้วเมื่อไหร่ที่นายท่านพร้อมแล้วข้าจะไปเรียกท่านอีกที!”

ตงฟางจุนพยักหน้าและจากไปอย่างจนใจ

3 วันต่อมา ในที่สุดหลิงตู้ฉิงก็ปรับแต่งส่วนผสมทั้งหมดเสร็จ และจากนั้นเขาก็เริ่มภารกิจต่อไปก็คือการปรับแต่งยันต์สั่งสวรรค์ที่ได้มาจากเย่ชิงเฉิงต่อ ซึ่งเขาใช้เวลาต่ออีกครึ่งเดือน จากนั้นทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้นในที่สุด

“เอาล่ะ เราสามารถไปที่สำนักวิญญาณโลหิตได้แล้ว!” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ

เสี่ยวเยว่เฟิงยิ้ม จากนั้นนางรายงานเรื่องที่ตงฟางจุนมาหาให้หลิงตู้ฉิงได้ทราบ ซึ่งหลิงตู้ฉิงก็ได้สั่งให้นางกลับไปแจ้งให้ตงฟางจุนเตรียมตัวออกเดินทาง!