ตอนที่ 1796 นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1796 นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง

ท่านปู่ของอำมาตย์เฉินหย่งคือไอ้โหดผู้เป็นตำนานที่สามารถต่อกรกับปรมาจารย์ขงได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ชื่อของเขาระบือลั่นตลอดระยะเวลาอันยาวนานของประวัติศาสตร์ เป็นบุคคลที่ไม่อาจมีใครอยู่เหนือกว่า

ทั้งสองเป็นนักปราชญ์โบราณเหมือนกัน แต่ก็มีสถานภาพที่เหลื่อมล้ำ เพราะตั้งแต่อายุยังน้อย อำมาตย์เฉินหย่งก็ได้รับการวางตัวให้เป็นอำมาตย์คนต่อไปของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นแล้ว

แต่ทั้งๆที่มีสถานภาพสูงส่งขนาดนั้น อำมาตย์เฉินหย่งก็ยังเรียกขานใครคนหนึ่งว่า ‘นายน้อย’?

เรื่องนี้เหลวไหลสิ้นดี!

ในโลกนี้ มีใครกันที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่ผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจจะเรียกขานเขาแบบนั้น?

“เขาคือคนรักของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ” อำมาตย์เฉินหย่งอธิบาย

“เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ?” ได้ยินชื่อนั้น นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินถึงกับตัวงอด้วยความหวาดกลัว

เหตุผลที่เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณมีพละกำลังสูงส่งในโลกนี้ก็เพราะการมีอยู่และการได้รับการปกป้องจากเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ การที่ชายหนุ่มเป็นถึงคนรักของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณก็แปลว่าเขาคือบุคคลที่มีสถานภาพสูงส่งมาก

เมื่อนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินหันมามองจางเซวียนอีกครั้งนัยน์ตาของเขาก็เปี่ยมด้วยความยำเกรง

ส่วนจางเซวียนก็ไม่ได้ใส่ใจการซุบซิบของคนทั้งสอง ทั้งหัวใจและจิตวิญญาณของเขาทุ่มเทให้กับการซึมซับอำนาจของแม่เหล็กในสินแร่แม่เหล็กก้อนนั้น

การสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 4 ชั่วกัลปาวสานหมายถึงกายเนื้อและจิตวิญญาณที่ไม่อาจถูกทำลายได้ ซึ่งการจะสำเร็จวรยุทธขั้นนั้นต้องอาศัยทั้งการฝึกฝนและบ่มเพาะเป็นระยะเวลาหลายปี แต่ด้วยการขัดเกลาร่างกายของเขาโดยใช้อำนาจของสินแร่แม่เหล็ก เขาจะสามารถเข้าใกล้วรยุทธระดับนั้นได้ทีละน้อย

ครู่หนึ่งหลังจากนั้น จางเซวียนก็ฝ่าด่านคอขวดได้สำเร็จ กล้ามเนื้อและจิตวิญญาณของเขาแผ่รังสีเจิดจ้าออกมา เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสวรรค์ที่ไม่อาจถูกทำลายได้

วรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน!

จางเซวียนเคยคิดว่าเขาคงต้องใช้เวลานานกว่าจะสำเร็จวรยุทธขั้นนี้ แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะทำให้อำนาจของแม่เหล็กยอมจำนนได้รวดเร็วอย่างที่เห็น?

หลังจากฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ จางเซวียนก็ยังไม่หยุดพัก เขากลืนกินลำแสงเจิดจ้าที่โอบล้อม ร่างของตัวเองต่อไป

ในเมื่อสินแร่แม่เหล็กสามารถเล่นงานได้แม้แต่นักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด ก็ไม่ต้องตั้งคำถามถึงพลังงานมหาศาลที่บรรจุอยู่ในตัวมัน ขณะที่พลังงานพวยพุ่งเข้าสู่ร่างของจางเซวียน วรยุทธของเขาก็พุ่งพรวด

ชั่วกัลปาวสาน ขั้นต้น!

ชั่วกัลปาวสาน ขั้นกลาง!

ภายใน 1 ชั่วโมง จางเซวียนก็สำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก

ฟิ้ววววว!

พลังงานปริมาณมหาศาลพลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกายของเขา แต่เพราะมาถึงด่านคอขวดอีกครั้ง จางเซวียนจึงไม่อาจซึมซับพลังงานได้มากกว่าเดิม เขาลืมตาขึ้นช้าๆ

ในที่สุดเขาก็สำเร็จวรยุทธระดับเดียวกันกับบรรดาลูกศิษย์และท่านพ่อท่านแม่ของเขาแล้ว

การฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นชั่วกัลปาวสานได้เพิ่มพละกำลังให้จางเซวียนอีกมาก เมื่อมีหอกสวรรค์กระดูกมังกรอยู่ในมือ ต่อให้ไม่มีกระบี่เปลวเพลิงสีดำคอยช่วยเหลือ จางเซวียนก็รู้สึกว่าตัวเองน่าจะมีประสิทธิภาพการต่อสู้เทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณขั้น 1 การสืบสายเลือด หากต้องต่อสู้กันจริงๆ

แน่นอนว่าความแข็งแกร่งสูงสุดของนักปราชญ์โบราณอยู่ที่ความเข้าใจในกฎเกณฑ์ธรรมชาติของพวกเขา เช่นเดียวกับความเข้าใจทั้งหมดที่มีต่อโลก ส่วนพละกำลังมีบทบาทเพียงเล็กน้อยเท่านั้นต่อประสิทธิภาพการต่อสู้โดยรวม

จางเซวียนรู้ดีว่าเขายังคงห่างไกลจากการจะเล่นงานนักปราชญ์โบราณสักคนหนึ่ง

ขอแค่เราได้แรงบันดาลใจเหมาะๆ ก็คงจะฝ่าด่านวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณได้เร็วๆนี้! จางเซวียนคิด

เป้าหมายสูงสุดของเขาในตอนนี้คือการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

เขาบรรลุเงื่อนไขเรื่องระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณแล้ว ทั้งยังได้ครอบครองนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณด้วย ขอแค่สามารถทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ต่างๆจนถึงระดับที่อยู่เหนือสวรรค์ ก็จะสามารถฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้

มีแต่การได้เป็นนักปราชญ์โบราณเท่านั้นที่จะทำให้เขาเป็นผู้มีพละกำลังสูงสุดของโลก สามารถรับมือกับข้าศึกที่ขวางทาง และตามหาตัวหลัวลั่วชิงได้

รู้ดีว่ายังคงต้องใช้เวลาขัดเกลาวรยุทธอีกระยะหนึ่ง จางเซวียนจึงหยุดการยกระดับวรยุทธไว้ก่อน เขาโบกมือ แล้วลำแสงเจิดจ้าที่อยู่รอบตัวก็ถูกดูดกลับเข้าสู่สินแร่เหล็กก้อนนั้น แต่คราวนี้ ขนาดของมันหดเล็กลงจนเหลือประมาณครึ่งหนึ่ง

จางเซวียนฝึกฝนวรยุทธอีกกว่า 1 ชั่วโมงในหอสมุดเทียบฟ้า แต่เวลาในโลกแห่งความเป็นจริงผ่านไปราว 8 นาทีเท่านั้น

“ระดับวรยุทธของคุณ…” เมื่อลำแสงจางไป หวู่เฉินรู้สึกได้ทันทีถึงพละกำลังของจางเซวียนที่ต่างไปจากเดิม เขาอ้าปากค้าง

ฝ่าด่านวรยุทธอีกแล้ว?

เขาเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณไม่ใช่หรือ?

ในตอนนั้น หวู่เฉินรู้สึกถึงความพ่ายแพ้อย่างรุนแรง เขาใช้เวลาตลอดหลายปีที่ผ่านมาทุ่มเทให้กับการยกระดับวรยุทธ แต่ก็เทียบไม่ได้กับความพยายามเพียงไม่กี่นาทีของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า

ขณะที่คนอื่นๆทุ่มเททั้งกายและใจเพื่อหวังว่าจะสามารถยกระดับวรยุทธได้ แต่ก็กลับไม่ต่างอะไรกับเด็กเล่นขายของสำหรับชายหนุ่มคนนี้

ช่างอยุติธรรมเหลือเกิน!

นักรบคนอื่นๆจะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไรหากได้รับรู้ความอยุติธรรมข้อนี้?

จางเซวียนไม่ใส่ใจทั้งคู่ เขาหันไปพูดกับนักปราชญ์เฮ่าฉวิน “ผมแก้ไขความบอบช้ำของคุณและกำจัดเจตจำนงที่อยู่ภายในสินแร่แม่เหล็กแล้ว คุณสามารถใช้มันได้เหมือนกับของล้ำค่าชิ้นอื่นๆ แต่จะดีที่สุดหากคุณจะไม่พยายามซึมซับมัน ไม่อย่างนั้น สถานการณ์แบบเดิมจะหวนกลับมาอีก”

หลังจากพูดจบ เขาก็โยนสินแร่แม่เหล็กให้นักปราชญ์เฮ่าฉวิน

การบ่มเพาะยาวนาน 3 พันปีจากนักปราชญ์เฮ่าฉวินทำให้มันมีพละกำลังมหาศาล ซึ่งในเมื่อจางเซวียนได้รับประโยชน์มากมายไปแล้ว ก็คงไม่เหมาะสมหากเขาพยายามจะเก็บสินแร่เหล็กก้อนนี้ไว้กับตัว

“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผม!” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะรับสินแร่เหล็กมา จากนั้นก็หันไปตั้งคำถามกับอำมาตย์เฉินหย่ง “ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณมีแผนการอย่างไร? ผมจะทำตามคำสั่งของคุณ!”

ในเมื่อเขาได้ให้สัญญากับทั้งคู่แล้วว่าจะช่วย ก็ไม่ควรคืนคำ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รู้ว่าชายหนุ่มเป็นถึงคนรักของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ

“อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงมีนักปราชญ์โบราณเป็นพรรคพวกถึง 8 คน” อำมาตย์เฉินหย่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ตอนนี้เรายังอ่อนแอเกินกว่าที่จะรับมือกับพวกเขา ผมจึงตั้งใจจะไปเยี่ยมเยียนนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงเพื่อขอความช่วยเหลือ”

“นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง?” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินขมวดคิ้ว “คุณหมายถึงบรรพบุรุษเก่าแก่ของเผ่าพันธุ์อสูรใช่ไหม? ถ้าผมจำไม่ผิด คุณทะเลาะกับเขาเมื่อครั้งที่เข้าโจมตีเผ่าพันธุ์ของเขาเมื่อหลายปีก่อน หากเขาเจอคุณในสภาพนี้ล่ะก็ เขาฆ่าคุณแน่!”

นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญของเผ่าพันธุ์ปีศาจแต่เป็นบรรพบุรุษเก่าแก่ของเผ่าพันธุ์อสูรที่อาศัยอยู่ในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ

ในแง่ของพละกำลัง นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงนั้นเรียกได้ว่าแข็งแกร่งกว่านักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินเสียอีก

แต่ทั้งนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงกับอำมาตย์เฉินหย่งมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันตั้งแต่เกิดสงครามเมื่อหลายปีก่อน พวกเขาไม่น่าจะหว่านล้อมนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงให้ยอมช่วยเหลือได้กลับตรงกันข้าม อีกฝ่ายอาจราดน้ำมันลงบนกองไฟให้ทุกอย่างเลวร้ายกว่าเดิม!

“มีนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดอยู่มากมายในโลกนี้ ถ้าผมไม่ขอความช่วยเหลือจากเขา เราก็ไม่มีทางเอาชนะสงครามครั้งนี้ได้” อำมาตย์เฉินหย่งส่ายหน้าอย่างหมดหวัง

เขามั่นใจว่าสามารถรับมือกับนักปราชญ์โบราณทั้ง 8 คนได้ แต่สำหรับอำมาตย์เฉินหลิงและอำมาตย์เฉินชิง ทั้งสองแข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาจะเอาชนะได้ในสภาพแบบนี้ เขาต้องการความช่วยเหลือจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่มีวรยุทธระดับเดียวกันเพื่อรับมือกับทั้งคู่

หากเขาขอความช่วยเหลือจากนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธอ่อนด้อยกว่าก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะคนเหล่านั้นไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้นอกจากเป็นเหยื่อโอชะในสายตาของสองอำมาตย์ เขาจึงต้องขอความช่วยเหลือนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธระดับเดียวกัน

“นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงมาจากเผ่าพันธุ์อสูรใช่ไหม?” จางเซวียนถามด้วยความอยากรู้

“รูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขาคือยักษ์ใหญ่เปลวเพลิง ในแง่ของพละกำลัง เขาไม่ได้อ่อนด้อยกว่าผมมากนัก ในครั้งนั้น เพราะเขาเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อเผ่าพันธุ์ปีศาจ ผมจึงโจมตีเขากับเหล่าสมาชิกเผ่าพันธุ์อสูรเพื่อขับไล่ออกไป จึงเกิดเป็นความขัดแย้งระหว่างเราทั้งคู่” หวู่เฉินพูด

ถ้าเขามีทางเลือกอื่น ก็คงไม่เลือกทำอะไรแบบนี้ เพราะจากเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างพวกเขา มีความเป็นไปได้สูงที่ความขัดแย้งครั้งเก่าจะคุกรุ่นขึ้นอีก

“นายน้อย ถ้าผมจำไม่ผิด คุณมีความสามารถพิเศษในการทำให้อสูรยอมจำนนใช่ไหม? เป็นไปได้หรือเปล่าถ้าคุณจะ…” หวู่เฉินมองจางเซวียนด้วยสายตาคาดหวัง

เมื่อครั้งที่นายน้อยของเขายังเป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ ก็ยังสามารถทำให้อสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกยอมจำนนได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าอสูรขั้นชั่วกัลปาวสานไม่อาจเทียบชั้นได้กับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงผู้ทรงพลัง แต่ในเมื่อเป็นนายน้อยของเขา ทุกอย่างก็ยังพอมีหวัง

แทนที่จะตอบคำถามตามตรงๆ จางเซวียนถามหวู่เฉินกลับพร้อมกับขมวดคิ้ว “ความขัดแย้งระหว่างคุณกับเขารุนแรงแค่ไหน?”

ถ้าความขัดแย้งระหว่างหวู่เฉินกับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงอยู่ในระดับที่ไม่อาจไกล่เกลี่ยได้ ตัวเขาก็แก้ไขสถานการณ์ไม่ได้เช่นกัน

“มันเป็นความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์” หวู่เฉินพูดขณะเกาหัว “เขาจงใจนำเผ่าพันธุ์ของเขาเข้ายึดครองดินแดนแห่งหนึ่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ซึ่งไม่มีทางที่ผมจะยอมรับการกระทำแบบนั้นได้ ผมจึงใช้พละกำลังของผมเล่นงานเขาและขับไล่เขากับคนของเขาออกไปไกลออกจากที่นี่ไปหลายล้านลี้!”

ด้วยความที่อายุยังน้อยและหุนหันพลันแล่น ในตอนนั้นเขาไม่ได้ยั้งมือในการเล่นงานนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงเลย ไม่เพียงแต่จะขับไล่อีกฝ่ายกับเผ่าพันธุ์ของเขาออกไป ยังทำให้พวกนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย

“คุณขับไล่พวกนั้นออกไปหลายล้านลี้? ทั้งเผ่าพันธุ์เลยหรือ?”

แค่ได้ยินคำอธิบาย จางเซวียนก็รู้แล้วว่ามันคือความขัดแย้งที่ฝังรากลึกซึ่งแทบจะหมดหนทางแก้ไข เขาส่ายหน้าอย่างจนปัญญา“ผมเกรงว่าผมจะช่วยอะไรเรื่องนี้ไม่ได้หรอก!”

“เอ่อ…” เมื่อได้ยินว่าแม้แต่นายน้อยของเขาก็ไม่อาจช่วยคลี่คลายสถานการณ์ หวู่เฉินกัดฟันกรอดขณะพูดว่า “ถ้าถึงขนาดนี้ ผมก็คงต้องขอร้องให้เขายกโทษให้ ทันทีที่อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงถูกสังหาร ผมจะยอมรับใช้เขา และปล่อยให้เขาทำอะไรกับผมก็ได้ตามแต่เขาต้องการ!”