หวงฝู่อี้เซวียนไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในห้องหนังสือ เขาเดินกลับห้องตัวเองด้วยความดีใจ แล้วเดินย่องไปที่ข้างเตียง เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวหลับสนิทอยู่ ก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ครั้นยื่นมือไปที่กระดุมเสื้อกำลังจะถอดออก ก็นึกขึ้นได้ว่าเสื้อนอกเป็นเสื้อวิวาห์ เขาถอดทิ้งไปในเกี้ยวตั้งแต่ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวอาเจียนใส่เขาจนเลอะไปทั้งตัวแล้ว
เมื่อกวาดตามองเสื้อผ้าที่ตนใส่จนมั่นใจว่าไม่มีตรงไหนที่ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สบายตัวแล้วก็ขึ้นเตียงอย่างคล่องแคล่วทันที จากนั้นเขาก็กอดเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในอ้อมกอดตนด้วยความอ่อนโยน
เมื่อสัมผัสแผงหน้าอกกว้างของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวที่เหนื่อยจนลืมตาไม่ไหวก็แนบตัวลงไปในอ้อมกอดของเขาตามสัญชาติญาณ เมื่อขยับจนได้ท่าที่สบายแล้ว นางก็หลับต่อไป
หวงฝู่อี้เซวียนไม่กล้าขยับตัว เขาเอื้อมมือไปจับมือนางไว้ แล้วหลับตาลงอย่างสบายใจ ผ่านไปไม่นานก็ผล็อยหลับไป
คิดได้ว่าเมื่อคืนเขาตื่นเต้นเพราะงานแต่งงานวันนี้จนนอนไม่หลับ หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้สึกเหนื่อย ตื่นมาอีกทีก็พลบค่ำแล้ว
เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนลืมตาขึ้น ก็เห็นดวงตาสดใสของเมิ่งเชี่ยนโยว หัวใจสั่นรัว ถามอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อครู่นี้เอง เห็นเจ้าหลับสบายอยู่ ก็เลยไม่กล้าปลุกเจ้า” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ
“มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า”
นางเอื้อมแขนไปกอดคอเขา พูดออดอ้อนว่า “ไม่มีเลย แต่ข้ารู้สึกหิว อยากกินข้าวต้มที่ท่านแม่ทำ”
เมิ่งชื่อต้มข้าวต้มเผื่อไว้ตั้งแต่ตอนที่ทำครั้งที่แล้ว และสั่งคนอุ่นไว้บนเตา พูดว่า “คนตั้งครรภ์น่ะ ไม่รู้ว่าจะหิวเมื่อไหร่บ้าง ข้าวต้มนี้อุ่นไว้บนเตานะ หากโยวเอ๋อร์อยากกินเจ้าค่อยตักให้นาง”
เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนก็จูบลงบนหน้าผากนางเบาๆ แล้วรีบลุกขึ้นทันที เขาไปตักข้าวต้มในครัวและยกมาให้นาง ค่อยๆ ป้อนนางจนหมดไปหนึ่งถ้วย
หลังจากทานข้าวต้มไปหนึ่งถ้วยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกอิ่ม ส่ายหน้าปฏิเสธทานอีกถ้วยหนึ่ง ถามขึ้นว่า “ท่านแม่ล่ะ แม่บอกว่าจะอยู่จวนอ๋องไม่ใช่หรือ ทำไมไม่เห็นแม่เลย”
หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม แล้วเล่าเรื่องที่เขาขอร้องให้เมิ่งเสียนช่วยให้นางฟัง
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้น “เจ้ายังอุตส่าห์คิดได้ที่ให้พี่ใหญ่ช่วยนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนก็หัวเราะ “ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ ข้าไม่อยากขัดใจทั้งแม่และเสด็จแม่ ก็เลยให้พี่ใหญ่ช่วย”
“ดีนะที่เป็นพี่ใหญ่ หากเป็นพี่รอง เขาไม่ช่วยเจ้าแน่ ซ้ำมีแต่จะยุยงให้ท่านแม่อยู่จวนอ๋อง”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเห็นด้วย “ก็นั่นแหละ ข้าก็เลยไม่กล้าไปหาพี่รอง”
พลบค่ำแล้ว แขกที่มาร่วมแสดงความยินดีก็ทยอยกลับไป จวนอ๋องที่ครึกครื้นมาตลอดทั้งวันก็เงียบสงบลง นอกจากเสียงที่คนดูแลจวนสั่งให้เก็บโต๊ะเก็บเก้าอี้ และทำความสะอากเรือนแล้ว ก็ไม่มีเสียงเอะอะอื่นใดอีก
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ หวงฝู่อี้เซวียนก็รีบเดินก้าวยาวออกไปทันที แต่ก็ยังช้าไป เสียงของหวงฝู่อวี้เจ้าคนโง่ที่ถูกชิงหลวนห้ามอยู่ก็ดังขึ้นจากลานบ้าน “พี่ใหญ่ ข้าได้ยินว่าแม่นางเมิ่งท้องแล้ว เป็นจริงหรือขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกมาถึงลานบ้าน
เมื่อเห็นเขาออกมา ดวงตาหวงฝู่อวี้พลันลุกวาว “พี่ใหญ่ จริงหรือขอรับ ข้าจะเป็นคุณอาแล้วหรือ”
วันนี้หวงฝู่อวี้ถูกสั่งให้อยู่บ้านกับฉู่เหวินเจี๋ยเพื่อคอยต้อนรับแขก ไม่ได้ออกไปส่งตัวกับคนอื่น เขาจึงไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างส่งตัวเจ้าสาว คนที่มาแสดงความยินดีก็ไม่กล้าซุบซิบเรื่องเมิ่งเชี่ยนโยวตั้งครรภ์เลยแม้แต่คำเดียว จนเมื่อส่งทุกคนกลับไปแล้ว หวงฝู่อวี้ที่เตรียมจะกลับห้องไปอาบน้ำอาบท่าก็ได้ยินเรื่องนี้จากปากคนใช้ จึงรีบวิ่งมาถามด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจทันที
เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนออกมา ชิงหลวนก็ปล่อยหวงฝู่อวี้ออก
หวงฝู่อวี้เดินก้าวขึ้นไปเพียงสองก้าวก็ถึงหน้าหวงฝู่อี้เซวียน ถามอย่างใจร้อนว่า “พี่ใหญ่ เรื่องจริงหรือขอรับ ข้าจะเป็นคุณอาแล้วใช่ไหม”
หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับอืมเบาๆ
หวงฝู่อวี้ดีใจจนกระโดดโลดเต้น พูดอย่างตื่นเต้นว่า “พี่ใหญ่ พี่กล้าหาญมากเลย แต่งงานวันแรกก็เป็นพ่อคนเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนหน้าดำคร่ำเครียดทันที
หวงฝู่อวี้ไม่ได้สังเกต รีบผลักหวงฝู่อี้เซวียนออกไป แล้วบุกเข้าไปในห้อง
หวงฝู่อี้เซวียนเพิ่งตั้งสติได้ ครั้นอยากจะดึงรั้งแขนเสื้อเขาไว้ ก็ไม่ทันเสียแล้ว
เขาเดินหน้าดำคร่ำเครียดเข้ามาในห้อง หวงฝู่อวี้กำลังถามไถ่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หยุดหย่อนว่า “แม่นางเมิ่ง เจ้าท้องแล้วหรือ ทำไมท้องยังเล็กขนาดนี้ล่ะ ให้หมอหลวงมาดูหรือยัง เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง…”
“ซ้อใหญ่!” หวงฝู่อี้เซวียนพูดขัดเขาด้วยเสียงทุ้มต่ำ
หวงฝู่อวี้ไม่เข้าใจ มองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ “พี่ใหญ่ พี่ดีใจจนบ้าไปแล้วหรือ เรียกใครว่าซ้อใหญ่อยู่น่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้ความพยายามอย่างสูงเพื่อฝืนตนเองไม่ให้หลุดหัวเราะออกมา
สีหน้าหัวฝู่อี้เซวียนยิ่งดำคร่ำเครียดไปใหญ่ ดำจนเหมือนก้นหม้อ กัดฟันพูดทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรว่า “ข้าบอกให้เจ้าเรียกนางว่าซ้อใหญ่”
หวงฝู่อวี้ชะงัก แล้วตั้งสติได้ “อ้อ ใช่ วันนี้พี่กับแม่นางเมิ่งแต่งงานกันแล้ว ข้าต้องเรียกว่าซ้อใหญ่แล้วสินะ”
แล้วจึงมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว เรียกอย่างไม่ลังเลว่า “ซ้อใหญ่”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่เอนพิงบนพนักเตียงยิ้มให้ทีหนึ่ง
สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนค่อยผ่อนคลายลง
หวงฝู่อวี้เจ้าคนโง่ยื่นมือออกไป ทำท่าทางบนท้องเมิ่งเชี่ยนโยว “ซ้อใหญ่ หลานชายหรือหลานสาวของข้าอยู่ในนี้ใช่ไหมขอรับ”
สีหน้าที่เพิ่งผ่อนคลายลงของหวงฝู่อี้เซวียนคร่ำเครียดขึ้นกว่าเดิม เงื้อมมือออกไปจับปกเสื้อหวงฝู่อวี้ลากไปจนถึงประตู และโยนเขาออกไป “ชิงหลวง สิบเดือนนี้ห้ามคุณชายรองเข้าใกล้เรือนข้าเด็ดขาด”
หวงฝู่อวี้ที่ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกถูกโยนออกมา จนล้มลงบนพื้นดังตึง ชิงหลวนขานรับทันที “เจ้าค่ะ ซื่อจื่อ”
หวงฝู่อวี้ไม่ยอม เด้งตัวลุกขึ้นยืน ร้องอย่างไม่พอใจว่า “ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ลูกในท้องของซ้อใหญ่ไม่ใช่ของพี่คนเดียวเสียหน่อย ข้าก็มีส่วนเหมือนกัน”
เขาต้องการบอกว่า ข้าเป็นคุณอาของลูก มีสายเลือดเดียวกัน ไม่ใช่คนนอกแต่อย่างใด แต่เขาพูดกำกวม ทำให้อ๋องฉีและพระชายาฉีที่เพิ่งตั้งชื่อลูกเสร็จและกำลังเดินมาได้ยินเข้า ฝีเท้าทั้งสองพลันหยุดกึก แล้วรีบเร่งเท้าเข้ามาในเรือนทันที
สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนไม่สามารถใช้คำว่าหน้าดำคร่ำเครียดมาเปรียบเปรยได้อีกแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไป นางหลุดหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะใส่แจ๋วดังออกมาถึงลานบ้าน
หวงฝู่อวี้ยิ่งได้ใจใหญ่ “พี่ดูสิ ขนาดซ้อใหญ่ยังไม่คัดค้านเลย”
“อวี้เอ๋อร์ หุบปาก” อ๋องฉีที่หน้าดำคร่ำเครียดเช่นกันก็ทำเสียงดุใส่เขา
หวงฝู่อวี้ขานเรียกอย่างน้อยเนื้อต่ำใจและฟ้องว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ พี่ใหญ่ห้ามไม่ให้ข้าเข้าใกล้เรือนนี้ขอรับ”
“จากคำพูดที่เจ้าพูดเมื่อครู่ อย่าว่าแต่ไม่ให้เข้าใกล้เรือนนี้เลย จะให้ไล่เจ้าออกจากจวนอ๋องไปก็ไม่มีใครว่าพี่ใหญ่เจ้าหรอก” อ๋องฉีพูดเสียงต่ำ
หวงฝู่อวี้ยังคงไม่รู้ว่าตนทำอะไรผิด พูดคัดค้านเสียงเบาอย่างไม่พอใจว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย จริงๆ แล้วลูกไม่ใช่ของเขาเพียงผู้เดียวเสียหน่อย ข้าก็มีส่วน”
ทันใดนั้นหวงฝู่อี้เซวียนเข้าประชิดตัวเขาอย่างรวดเร็ว ยื่นมือไปจับตัวเขาและโยนออกไปนอกเรือนโดยไม่เหลียวมองแม้แต่น้อย “ไสหัวกลับเรือนเจ้าไปซะ ก่อนที่ข้าจะบีบคอเจ้า”
เขาเคลื่อนไหวเร็วเกินไป หวงฝู่อวี้ตั้งสติไม่ทัน ครั้งนี้เขาจึงล้มรุนแรงกว่าเดิม แม้แต่เมิ่งเชี่ยนโยวยังได้ยินเสียงเขาล้มดัง ตึง บนพื้น
จากนั้นเสียงร้องร่ำไห้ของหวงฝู่อวี้ก็ดังไปทั่วทั้งจวนอ๋อง “โอ้ย เจ็บจังเลย” แล้วตะโกนว่า “พี่ใหญ่ พี่จะทำแบบนี้ไม่ได้ พี่มีลูกแล้วจะไม่เอาน้องชายคนนี้แล้วไม่ได้นะ”
หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง สั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ทหาร คุณชายรองเมาแล้ว ช่วยทำให้เขาสร่างเมาหน่อย”
โจวอันขานรับ รีบเดินมุ่งไปที่บ่อน้ำในจวนทันที
หวงฝู่อวี้ดื่มเหล้าไปจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ดื่มเยอะ เมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่เป็นมิตรของหวงฝู่อี้เซวียนและเห็นว่าโจวอันเดินไปที่บ่อน้ำ ก็รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรทันที เขาจึงรีบลุกขึ้นยืน ไม่ร้องโวยวายอีก และเหินกลับเรือนของตัวเองทันที ขณะที่เหินไปก็ร้องไปว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ช่วยด้วยขอรับ”
อ๋องฉีสีหน้าเคร่งขรึม พระชายาฉีกลับหัวเราะและด่าว่า “เจ้าอวี้เอ๋อร์ เมื่อไหร่จะรู้จักโตนะ”
ในที่สุดก็เงียบสงบลง สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนก็กลับสู่สภาพปกติ หลีกทางให้พระชายาฉีเดินนำเข้าไปในห้อง อ๋องฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินตามเข้าไป
เมิ่งเชี่ยนโยวนอนพิงอยู่บนเตียง เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง พระชายาฉี”
“วันนี้ข้าก็คิดอยู่ว่ามีตรงไหนแปลกๆ คิดอยู่นานถึงคิดได้ว่า เจ้าเรียกไม่ถูก แม้เจ้ากับเซวียนเอ๋อร์ไม่ได้ไหว้ฟ้าดิน แต่เจ้าสองคนแต่งงานกันแล้ว เจ้าควรเรียกตามเขาว่า ‘เสด็จพ่อ’ ‘เสด็จแม่’ นะ” พระชายาฉีกล่าว
ตามธรรมเนียมแล้ว การเปลี่ยนคำเรียกขานจะเปลี่ยนหลังจากยกน้ำชาให้พ่อตาแม่ยายดื่มในเช้าวันที่สองหลังจากแต่งงาน เพราะว่าหลังจากเจ้าสาวไหว้ฟ้าดิน เข้าเรือนหอแล้ว จะได้ออกมาพบปะผู้คนในวันที่สอง แต่สถาณการณ์ของเมิ่งเชี่ยนโยวพิเศษ อีกทั้งพระชายาฉีเองก็ไม่ได้ต้องการให้นางตื่นมายกน้ำชาให้แต่เช้า จึงบอกนางอย่างตรงไปตรงมา
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ชักช้า ยิ้มแล้วเรียก “เสด็จพ่อ เสด็จแม่”
อ๋องฉีตอบ อืม เบาๆ พระชายาฉีกลับดีใจจนตอบกลับเสียงดังว่า “จริงๆ แล้วข้าจะมอบอำนาจผู้ดูแลบ้านให้เจ้าเป็นของขวัญ แต่ดูท่าแล้วข้าคงต้องดูแลเองต่ออีกสักหนึ่งปี รอหลังจากที่เจ้าคลอดลูกแล้ว ค่อยมอบให้เจ้านะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ลำบากเสด็จแม่เลยเจ้าค่ะ”
“เสด็จแม่ไม่ลำบากหรอก ปกติแล้วเซวียนเอ๋อร์จะช่วยแม่บ้าง แต่เจ้าน่ะ ตั้งครรภ์ลูกแฝด ต้องลำบากกว่าคนอื่นเขาแน่ๆ เพราะฉะนั้นช่วงนี้ต้องดูแลตัวเองให้ดี หากเจ้าอยากทานอะไร อยากดื่มอะไร บอกแม่ได้เลยนะ แม่จะทำให้เจ้าเอง”
“เจ้าค่ะ หม่อมฉันรู้แล้ว ขอบคุณเสด็จแม่เจ้าค่ะ”
“กับแม่ไม่ต้องเกรงใจกันหรอก อย่าลืมว่าเจ้าเป็นวีรสตรีของจวนอ๋องเราเลยนะ มีครรภ์ทีเดียวสองคน คนมีบุญอย่างเจ้าทั้งเมืองนี้คงมีน้อยนัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงระเรื่อ
อ๋องฉีไอกระแอมทีหนึ่ง
พระชายาฉีเพิ่งรู้ตัวว่าพูดจาไม่น่าฟัง นางจึงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ดูสิ แม่ดีใจจนบ้าไปแล้ว พูดจาสะเปะสะปะไปเสียหมด”
หวงฝู่อี้เซวียนเดินขึ้นไปช่วยแก้ต่างให้นาง “เสด็จแม่ขอรับ หมอหลวงเจียงสั่งไว้แล้ว โยวเอ๋อร์ต้องพักผ่อนให้มาก ท่านกับเสด็จพ่อกลับไปพักเถอะ ให้ข้าดูแลโยวเอ๋อร์เอง”