ตอนที่ 675 นัดหมาย

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 675

นัดหมาย

“ท่าน…..ไป๋จูล่งสินะขอรับ”เหล่าจักรพรรดิทั้ง 6 พระองค์รวมถึงจักรพรรดิอาณาจักรซ้งที่พึ่งเดินทางมาถึงต่างนั่งร่วมโต๊ะโดยมีไป๋จูล่งและหลินเฟยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แน่นอนว่าภายในเต็นท์ย่อมมีเหล่ายอดฝีมือและแม่ทัพใหญ่ของแต่ละอาณาจักรนั่งอยู่ด้วย แต่พวกมันกลับไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะทำอะไรได้

“ถูกต้องแล้วขอรับ”ไป๋จูล่งตอบพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีร่าเริง ส่วนที่ไหล่ของจูล่งยังมีพี่ตงฟางในร่างจิ๋วทำตาแป๋วมองเหล่าองค์จักรพรรดิอยู่อีกต่างหาก ถึงในร่างนี้จะน่ารักน่าชังแค่ไหนแต่ไม่มีใครลืมตอนที่ตงฟางกระทืบร่างของอสูรปักษาเพลิงของหวังกุ้ยฉินหรอก

“ท่าน..ต้องการอะไรกันแน่ถึงได้โจมตีพวกเรา”ไม่ต้องอ้อมค้อม จักรพรรดิซานที่สนิทสนมกับหลินเฟยที่สุดโดนเลือกขึ้นมาเป็นคนถามคำถาม และคำถามของท่านก็เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากถามเช่นกัน

“เรื่องนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันขอรับ ข้าเองก็ต้องขออภัยด้วย”ไป๋จูล่งตอบพลางก้มหัวลงต่อหน้าองค์จักรพรรดิทั้ง 6 พลังของต้นตระกูลซาราแข็งแกร่งไม่น้อยเลย บางทีหากไม่พบหลินเฟยเข้าจูล่งอาจจะช่วยเจ้าอีกาขาวจนยึดแผ่นดินทางใต้ได้ทั้งหมดเลยก็เป็นได้

“เพราะเรื่องเข้าใจผิดนั้นท่านก็เลยยึดอาณาจักรซ้งเลยหรือขอรับ”จักรพรรดิเซินถามพลางกลืนน้ำลายลงคอ แม้ไป๋จูล่งจะไม่ได้ฆ่าใครเลย เพราะทันทีที่ยิงกระสุนอัสนีขึ้นฟ้าอาณาจักรซ้งก็ยอมยกธงขาวและทำตามแต่โดยดี แต่การยึดอาณาจักรซ้งก็เป็นความจริง

“เรื่องมันละเอียดอ่อนขอรับ ข้าเองก็พึ่งได้ปรับความเข้าใจเมื่อเจอหลานชายในทัพอีกฝ่ายพอดี ข้าก็เลยจัดการเหล่าซาราให้กับพวกท่านเพื่อเป็นการไถ่โทษ”จูล่งตอบพลางเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ จริงๆแล้วจูล่งจับซาราเอาไว้ในมิติแมงมุมเพื่อทำให้พี่ตงฟางได้สติเท่านั้น แต่หลินเฟยไม่ทราบจะอธิบายเรื่องซาราให้อาณาจักรที่ไม่ทราบแม้แต่เรื่องอสูรให้เข้าใจได้อย่างไร ก็เลยแต่งเรื่องว่าท่านน้าโดนพวกซาราหลอกลวงขึ้นมาแทน

“แน่นอนว่าแค่นั้นคงไม่พอ ข้าจะมอบเงินทำขวัญให้พวกท่านเป็นคำขอโทษด้วย”ไป๋จูล่งว่าพลางนำกระเป๋าเงินของตนเองออกมา ในนั้นมีตั๋วเงินหลายพันล้านเหรียญทองบรรจุอยู่ แต่เพราะอาณาจักรทางใต้ไม่ได้ใช้ตั๋วเงินทำให้เหล่าคนรอบๆต่างมองหน้ากันด้วยท่าทีงุนงงว่ากระเป๋าใบเล็กแค่นั้นจะพอชดใช้ได้หรือ

“ท่านจูล่ง ท่านทราบหรือเปล่าว่าการเรียกรวมพล….”จักรพรรดิอาณาจักรซุยกำลังจะบอกเรื่องความเสียหายให้จูล่งฟัง เพียงแต่ยังพูดไม่ทันจบหลินเฟยก็สะกิดไป๋จูล่งเสียก่อน

“ท่านน้า ที่นี่ไม่ใช้ตั๋วเงินนะขอรับ เอาเหรียญทองออกมาดีกว่า”หลินเฟยเห็นเช่นนั้นก็รีบบอกน้าของตนทันที

“งั้นหรือ….”จูล่งได้ยินก็เก็บกระเป๋าเงินก่อนจะนำเหรียญทองออกมาจากมิติของตนเอง เงินจากการทำธุรกิจของไป๋จูล่งนั้นมีมากมายมหาศาล แถมยังพึ่งขายบริษัทหลายๆแห่งไปอีกต่างหาก แค่เลี้ยงอาณาจักรทางใต้สัก 10 หรือ 20 อาณาจักรไป๋จูล่งทำได้สบายอยู่แล้ว

“ข้าอยากจะชดใช้ให้พวกท่านอาณาจักรละหนึ่งพันล้านเหรียญทอง ส่วนอาณาจักรซ้งข้าจะเพิ่มเป็นสองพันล้านเหรียญทอง พวกท่านคิดว่าอย่างไรขอรับ”ไป๋จูล่งนำเหรียญทองออกมากองเอาไว้ภายในเต็นท์แต่น่าเสียดายที่เต็นท์แคบเกินไปเลยเอาเงินออกมาวางได้ไม่หมด

“……………”เหล่าองค์จักรพรรดิมองเงินตรงหน้าด้วยท่าทีอึ้งๆ ไม่ใช่พวกมันไม่เคยเห็นเงินจำนวนนี้ แต่ก็ไม่เคยเห็นใครเอาเงินมากขนาดนี้มาเป็นค่าชดเชยเลย การเรียกรวมทัพครั้งนี้อย่างมากก็เสียเงินไม่เกิน 10 ล้านเหรียญทองหรอก แต่จูล่งกลับมอบให้ทั้ง 6 อาณาจักรรวม 7,000 ล้านเหรียญทอง นับเป็นรายได้ก้อนใหญ่ของแต่ละอาณาจักรชนิดปฏิเสธไม่ได้เลย

“อะแฮ่ม….เรื่องเข้าใจผิดก็ให้มันแล้วไปเถอะ ลำพังกองทัพซาราพวกเราก็ไม่ทราบจะรับมือได้หรือไม่ คิดว่าได้ท่านไป๋จูล่งมาช่วยครั้งนี้นับเป็นบุญของพวกเราแล้ว”จักรพรรดิซุยที่กำลังจะร่ายรายจ่ายของการรวมทัพให้จูล่งฟังรีบเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว เงินจำนวนนี้ทำให้อาณาจักรของพวกมันสบายขึ้นได้หลายปี ไม่รับก็คงผิดต่อประชาชนแล้ว

เมื่อนี้ค่าชดเชย การเจรจาต่างๆก็ง่ายขึ้น ทุกอย่างจบลงแค่ว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด และแต่เดิมต่อให้อยากเอาผิดไป๋จูล่งคนทั้ง 6 อาณาจักรก็คงทำอะไรไม่ได้ การที่จูล่งเลือกทางรับผิดชอบและประนีประนอมนั้นนับว่าใจดีกับทั้ง 6 อาณาจักรมากแล้วจริงๆ

“หลินเฟย ผู้ชายคนนั้นเป็นน้าของเจ้าจริงๆงั้นหรือ”หลังจบการประชุม จักรพรรดิซานก็แอบเข้าไปหาหลินเฟยเพื่อถามเรื่องค้างคาใจ

“ขอรับ ท่านเป็นน้องชายของมารดาข้า ก็ต้องเป็นท่านน้าสิขอรับ”หลินเฟยตอบพลางพยักหน้าช้าๆ

“งั้นหรือ…จริงสิ งานวิจารณ์กระบี่ครั้งหน้าเจ้าสนใจจะมานั่งข้างๆข้าหรือเปล่า”ได้ยินเช่นนั้นจักรพรรดิซานก็รีบประจบประแจงหลินเฟยทันที หากได้จูล่งมาเป็นพวกละก็อาณาจักรของมันต้องแข็งแกร่งไร้เทียมทานเป็นแน่

“อย่าหวังเลยขอรับ ท่านน้าเดี๋ยวก็ต้องกลับไปที่บ้านเกิดแล้ว ไม่อยู่ให้ท่านใช้ประโยชน์หรอก”หลินเฟยหัวเราะพลางมองจักรพรรดิซานอย่างรู้ทัน

“แค่เจ้าก็พอ เจ้ารับการโจมตีของม้าตัวนั้นได้นี่นา แสดงว่าเจ้าเองก็เก่งมากใช่ไหมล่ะ”จักรพรรดิซานว่าพลางตามตื๊อหลินเฟยอยู่พักใหญ่ แต่เพราะหลินเฟยยังต้องอยู่ที่อาณาจักรซานไปอีกนานแถมยังเหลือคำขอไร้เงื่อนไขอีก 1 ครั้งด้วย หลินเฟยก็ได้แต่รับปากองค์จักรพรรดิไปเท่านั้น

“หลินเฟย แขนของท่านเป็นอะไรหรือเปล่า”ต่อจากองค์จักรพรรดิกลับกลายเป็นหวังกุ้ยฉินเสียอย่างนั้นที่เข้ามาหาหลินเฟย นางดูมีท่าทีอ่อนลงมากเมื่อเข้ามาหาหลินเฟย เกรงว่านางเองก็สังเกตเห็นเหมือนกันว่าหลินเฟยรับมือตงฟางได้

“ขอบคุณท่านหวังกุ้ยฉินที่เป็นห่วง มีอะไรหรือขอรับ”หลินเฟยถามพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทียินดี หวังกุ้ยฉินไม่มองมันด้วยสายตารังเกียจอีกแล้ว เผลอๆจะมองมันด้วยสายตาชื่นชมมากกว่าตอนได้ทราบว่าตัวมันรับศิษย์หญิงเสียอีก

“ก็….เรื่องที่ท่านบอกว่ามีคนอยากพบข้า”หวังกุ้ยฉินตอบพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา นางยังจำได้ว่าก่อนศัตรูจะบุกมา หลินเฟยขอร้องว่าจะพาศิษย์คนหนึ่งมาพบตนเองไม่ใช่หรือ

“นั่นสินะขอรับ ศิษย์ของข้าเซี่ยจินเย่อยากพบท่านมากๆ นางไม่บอกเหตุผลข้าเหมือนกัน แต่หากท่านยินดีข้าจะพานางมาพบท่านได้หรือไม่”หลินเฟยถามพลางยิ้มเจื่อนๆออกมาเช่นกัน การอธิบายไม่ได้ว่าทำไมศิษย์ของตนถึงอยากพบหวังกุ้ยฉินนั้นทำเอาหลินเฟยลำบากใจไม่น้อย

“ไม่ต้องหรอก ตอนนี้นางอยู่ที่จุดพักของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายสินะเจ้าคะ เช่นนั้นให้ข้าไปหานางเองก็ได้”หวังกุ้ยฉินตอบพลางอาสาไปหาเซี่ยจินเย่ด้วยตนเอง

“นางต้องดีใจแน่ๆขอรับ”หลินเฟยได้ยินก็มีท่าทียินดีอย่างยิ่ง เซี่ยจินเย่อยากพบนางมากถึงขนาดขอร้องตนเอง ได้พบกันทันทีเช่นนี้เซี่ยจินเย่คงยินดีไม่น้อยเลย

“จริงสิ….ตอนนั้นท่านบอกข้าว่าพลังของข้าไม่ได้ผลกับศัตรู ทำไมท่านถึงทราบเรื่องนั้นหรือเจ้าคะ”หวังกุ้ยฉินถามพลางมองไปทางหลินเฟยด้วยท่าทีสงสัย

“เรื่องนั้นเพราะซาราไม่ได้รับผลจากพลังดึงดูดเหล่าอสูรนะสิขอรับ พวกมัน…”

“ข้าหมายถึง ทำไมท่านถึงได้ทราบว่าพลังของข้าทำงานอย่างไรเจ้าค่ะ”หลินเฟยยังอธิบายไม่จบ หวังกุ้ยฉินก็ชิงถามหลินเฟยเสียก่อน

“เพราะข้าเองก็มีพลังแบบเดียวกับเจ้า ข้าถึงได้ทราบไงล่ะว่ามันไม่ได้ผล”หลินเฟยตอบพลางนำไม้หอมเก็บเข้ามิติตนเองไป ไม่นานพอกลิ่นหายอสูรปักษาที่อยู่บนไหล่ของหวังกุ้ยฉินก็มีปฏิกิริยาทันที ก่อนที่มันจะหันไปซุบซิบกับหวังกุ้ยฉินด้วยท่าทีตกใจ

“หรือว่าท่านจะเป็นคนตระกูลหวังเหมือนกัน”หวังกุ้ยฉินถามด้วยท่าทีตกใจ พลังเช่นนี้เท่าที่นางทราบมีแต่คนตระกูลหวังเท่านั้นที่ใช้ได้นี่นา

“ถูกแล้วขอรับ ดูเหมือนท่านทวดของข้าจะเป็นคนตระกูลหวัง จะเรียกว่าพวกเราเป็นญาติกันก็คงไม่ผิดขอรับ”หลินเฟยตอบอย่างมั่นใจ

“ญาติกันหรือเจ้าคะ….”หวังกุ้ยฉินมองหลินเฟยด้วยท่าทีอึ้งๆ ไม่นึกเลยว่ายังมีญาติที่อื่นอีก แต่นับว่าเป็นเรื่องดีที่ญาติของนางเป็นคนอย่างหลินเฟย นอกจากมันจะยอมรับศิษย์สตรีแล้วยังเป็นคนที่แข็งแกร่งมากอีกด้วย แบบนี้นางควรกลับไปเล่าให้พวกท่านตาท่านยายฟังสินะ

“ท่านหลินเฟย หลังจากนี้ท่านพอจะมีเวลาว่างหรือเปล่าเจ้าคะ”หวังกุ้ยฉินถามพลางมองหลินเฟยด้วยท่าทีคาดหวัง

“เรื่องเวลาว่างคงรับปากไม่ได้หรอกขอรับ แต่หากท่านหวังกุ้ยฉินต้องการคงหาเวลาได้”หลินเฟยตอบด้วยท่าทีงุนงง ทำไมหวังกุ้ยฉินถึงได้ถามหาเวลาว่างของตนกัน

“ครอบครัวของข้าซ่อนตัวอยู่ในเขตอสูรของอาณาจักรซินเจ้าค่ะ ถ้าพวกท่านรู้ว่ายังมีครอบครัวของเราที่อื่นอีกต้องดีใจมากแน่ๆ”หวังกุ้ยฉินว่าพลางมองหลินเฟยด้วยท่าทีขอร้อง

“เรื่องนั้น….ช่วยเล่าให้ละเอียดได้หรือเปล่าขอรับ”คนที่ถามคำถามนี้ออกมาไม่ใช่หลินเฟยแต่อย่างไร เพียงแต่เป็นไป๋จูล่งที่บังเอิญมาได้ยินเข้าต่างหาก

“ท่าน….”หวังกุ้ยฉินเห็นไป๋จูล่งเข้าก็ถอยออกห่างทันทีตามสัญชาตญาณ ช่วยไม่ได้นี่นาก่อนหน้านี้ไป๋จูล่งทำเอานางผวาไปเลยนี่

“ข้ากำลังตามหาคนตระกูลหวังอยู่พอดี จริงๆแล้วข้ามาที่นี่ก็เพื่อตามหาพ่อของเซี่ยจินเย่ด้วย”ไป๋จูล่งว่าพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีดีใจ ครอบครัวตระกูลหวังงั้นหรือ นั่นมันสิ่งที่จูล่งกำลังตามหาอยู่เลยไม่ใช่หรือไง

“พ่อของเซี่ยจินเย่ ทำไมท่านน้าต้องมาตามหาพ่อของเซี่ยจินเย่ด้วยล่ะขอรับ”หลินเฟยได้ยินก็ยิ่งงงหนักเข้าไปกว่าเดิมอีก

“เจ้าไม่รู้หรือ เด็กคนนั้นมีพลังดึงดูดเหล่าอสูรเหมือนกัน คิดว่าบิดาที่ไม่ทราบว่าเป็นใครของนางจะเป็นคนตระกูลหวังนะสิ”จูล่งตอบออกมาตามตรง ไม่คิดเลยว่าหลินเฟยจะยังไม่ทราบเรื่องนี้

“เซี่ยจินเย่เนี่ยนะขอรับ”หลินเฟยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นี่เซี่ยจินเย่ปิดบังเรื่องนี้ไม่ยอมบอกตนเองงั้นหรือ หรือมันเป็นอาจารย์ที่ไม่ได้เรื่องกัน เซี่ยจินเย่ถึงไม่ไว้ใจที่จะบอกความลับนี้กับตนเอง แต่การที่ท่านน้ารู้ก็หมายความว่าเซี่ยจินเย่บอกคนตระกูลไป๋ไป่แล้ว หรือว่าตอนที่นางหนีไปหาชิวซุยนั่นจะเป็นเพราะต้องการไปพบคนตระกูลไป๋ และการที่นางต้องการพบหวังกุ้ยฉินก็เพราะนางเป็นเบาะแสไปหาพ่อของเซี่ยจินเย่กัน….