ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


หลังจากชนะเออซ่าในสงคราม จากชัยชนะอย่างท่วมท้นที่เกิดขึ้นทำให้ยศของเซียวอวี๋เลื่อนขั้นขึ้นอีกครั้ง เขาสามารถเลื่อนระดับของฐานทัพทั้งสามขึ้นเป็นระดับสาม

ครั้งนี้เป็นการเลื่อนระดับฐานทัพออร์ค เมื่อมาถึงระดับสาม ฐานทัพออร์คก็สามารถอัญเชิญเผ่าทัวเรนออกมา

ความเก่งกาจของนักรบแห่งเผ่าพันธุ์ทัวเรนนั้นไม่มีสิ่งใดสงสัย แต่เมื่อได้เห็นพวกเขาด้วยสายตาตนเอง เซียวอวี๋ก็ต้องตกตะลึง ทัวเรนแต่ละตัวมีร่างกายสูงมากกว่าสามเมตร ในมือถือเสาโทเทมเป็นอาวุธ การทุบฟาดพื้นดินด้วยสิ่งนี้จะเป็นการสร้างคลื่นกระแทกรอบตัว

เมื่อเลื่อนขั้น เซียวอวี๋ก็สามารถควบคุมจำนวนยูนิตเพิ่มได้อีกหนึ่งหมื่นห้าพันยูนิต ซึ่งเซียวอวี๋ก็ไม่ขบคิดให้มากความ เขาจัดการทุ่มโควตาทั้งหมดไปที่นักรบทัวเรน

นักรบทัวเรนแต่ละตัวนั้นจะมีค่าเท่ากับห้ายูนิต ดังนั้นโควตาหนึ่งหมื่นห้าพันยูนิตจึงเป็นการอัญเชิญนักรบทัวเรนออกมาสามพันตัว

เมื่ออัญเชิญออกมาแล้ว เซียวอวี๋ก็ทำการทดลองความสามารถของนักรบชุดใหม่ทันที ผลปรากฏว่า อัศวินชั้นยอดจำนวนสามหมื่นนายจากภาคีหัตถ์เงินถูกบดขยี้โดยพวกนักรบทัวเรนสามพันตัวใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ

เผ่าพันธุ์ทัวเรนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นการปะทะกับทัพม้า พวกเขาก็ไม่หวาดหวั่นแต่อย่างใด ยามที่เหล่าทหารม้าพุ่งทะยานเข้าหา พวกนักรบทัวเรนก็ยกเสาโทเทมขึ้นก่อนจะกวาดฟาดไปทั้งคนทั้งม้า

สุดท้ายเซียวอวี๋จึงลองจับพวกนักรบทัวเรนไปสู้กับพกวอสูรโคโด และก็พบว่า พวกนักรบทัวเรนถึงกับแข็งแกร่งกว่าพวกอสูรโคโดเสียอีก

“ยอดเยี่ยม ทัวเรนพวกนี้คุ้มค่าที่เป็นหน่วยบุกทะลวงเบอร์หนึ่งของฉันจริงๆ”

เซียวอวี๋ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เมื่อมีนักรบทัวเรนเหล่านี้อยู่ พวกออร์คของกูดาลยังจะน่ากลัวอีกหรือ? นักรบทัวเรนจำนวนสามพันที่สามารถบยขยี้ศัตรูที่มากกว่านับสิบเท่าได้นั้นแทบจะเรียกได้ว่าแข็งแกร่งไรเทียมทานแล้ว

เมื่อจับคู่รบร่วมกับกองพลรถถัง ยังจะมีศัตรูหน้าไหนหยุดยั้งการจับคู่นี้ได้อีก?

และพวกทัวเรนก็ยังมีระดับเพียงหนึ่งเท่านั้น ยามใดที่พวกมันเลื่อนไปถึงระดับสิบ ยามนั้นคงถึงคราววิบัติของศัตรู

เมื่อถึงระดับที่สิบ ทัวเรนจะมีทักษะแยกทลาย ทะกษะนี้จะสามารถบดขยี้ชุดเกราะของศัตรูได้ราวกับกระดาษ เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพเกราะหนักของศัตรู เซียวอวี๋ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด

จากนั้นก็ถึงเวลาอัญเชิญฮีโร่ออกมา ซึ่งเขาเลือกจะอัญเชิญฮีโร่คนสุดท้ายจากเผ่าพันธุ์ออร์ค ชาโดว์ฮันเตอร์

ทักษะที่น่าจับตามองมากที่สุดของชาโดว์ฮันเตอร์คงจะเป็นทักษะ คลื่นรักษา สาป และเสางูพิษ

เซียวอวี๋สั่งให้พวกเขาเร่งเพิ่มระดับของตนเองโดยเร็วที่สุดเพื่อให้พร้อมในการเข้าร่วมสงคราม

จากการต่อสู้ในครั้งล่าสุด จ้าวอัคคีสามารถเลื่อนระดับจนมีพลังเทียบเท่าตัวตนขั้นที่หกแล้ว ทางด้านของราชันย์แห่งขุนเขาเองก็มาถึงระดับสุดยอดของขั้นที่ห้า การเข้าร่วมสงครามทำให้อีโร่ทั้งสองยกระดับตัวเองได้เร็วมาก

โดยเฉพาะจ้าวอัคคีที่ไม่ได้มีกายเนื้อ ฮีโร่ผู้นี้สามารถต่อสู้ได้โดยม่จำเป็นต้องหยุดพักเลย ตราบใดที่ยังมีพลังมานาเหลืออยู่ เขาก็พร้อมจะต่อสู้ตลอดเวลา เวลานี้ร่างกายของเขามีความสูงเกินสิบเมตรจนดุราวกับเป็นพายุเพลิงลูกใหญ่ที่ดูน่ายำเกรง

และโรงเตี๊ยมฮีโร่เองก็มีโควต้าให้อัญเชิญฮีโร่ได้อีกหนึ่งคน เซียวอวี๋จึงเลือก ก๊อบลินทิงเกอร์ ทิงเกอร์นั้นสามารถใช้การโจมตีเป็นวงกว้างอย่างเช่น การระเบิด ซึ่งเซียวอวี๋ก้ตั้งใจว่าจะให้เขาเป็นผู้นำเหล่าก๊อบลินในการจัดตั้งกองทัพจักรกล

เนื่องเพราะในเวลานี้การวิจัยของฮิกกิ้นนั้นก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง พวกก๊อบลินได้สร้างหุ่นยนต์และของชิ้นอื่นๆออกมาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการให้พวกมันขับหุ่นยนต์เข้าสู่สนามรบคงจะเป็นอะไรที่ตระการตาเป็นแน่

การดำรงอยู่ของเหล่าฮีโร่ทำให้สถานการณ์ของเซียวอวี๋ปลอดโปร่งไร้ซึ่งความกังวลใด

จะเกิดอะไรขึ้นหากว่า ‘สหายเก่า’ อย่างกูดาลมาถึงน่ะหรือ? ยามเมื่อผู้คนถือปืนไว้ในมือ พวกเขาจะรู้สึกอุ่นใจ หากแต่ที่เซียวอวี๋ถืออยู่นี้คือปืนใหญ่ เขายังจะต้องกังวลด้วยหรือ?

สถานการณ์ของทั่วทั้งทวีปยังคงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง สงครามเกิดขึ้นและจบลงนับครั้งไม่ถ้วน ยุคเก่ากำลังจะตายลงไป และยุคสมัยใหม่กำลังใกล้เข้ามา เซียวอวี๋ทราบกระจ่างดี ทุกคนเองก็รับรู้ถึงเรื่องนี้ ดังนั้นต่างคนจึงต่างพยายามสร้างอนาคตของตนเอง การปรับตัวให้เข้ากับยุคใหม่ที่กำลังจะมาถึงคือเรื่องสำคัญ และผู้ที่เตรียมตัวได้ดีที่สุดจะเป็นผู้ที่ได้หัวเราะในตอนสุดท้าย

เซียวอวี๋มุ่งหน้าไปยังชายแดนเพื่อดูสถานการณ์การร่วมมือกันของพันธมิตรระหว่างกูดาลและร็อบ พวกมันกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่? พวกมันคิดจะกลืนกินดินแดนของเขาเป็นการเริ่มต้นหรือ?

กล่าวได้ว่าดินแดนของเซียวอวี๋เวลานี้ไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่ผู้ใดจะรังแกได้อีกต่อไป ในบรรดาขุมใหญ่กำลังฝ่ายต่างๆ ดินแดนของเซียวอวี๋นั้นทรงพลังมากที่สุดแล้ว ด้วยกำลังทหารมากกว่าสิบล้านนาย เหล่ายอดฝีมืออีกคับคั่ง ยังจะมีฝ่ายใดกล้ามายั่วยุเขาง่ายๆอีกหรือ?

จะมีก็แต่ร็อบจากตระกูลเคเนดี้ผู้หุนหันที่เสนอแผนการนี้ขึ้นมา เขายังคงเจรจาอย่างต่อเนื่องกับกูดาลเกี่ยวกับการบุกโจมตีดินแดนไลอ้อน

ทว่ากูดาลนั้นเป็นสุนัขเฒ่าเจ้าเล่ห์ เขาเจนโลกยิ่ง และทราบว่าจะฉกฉวยผลประโยชน์จากความวุ่นวายได้อย่างไร

ดังนั้นกูดาลจึงปฏิเสธข้อเสนอแนะของร็อบอย่างเด็ดขาดและปฏิเสธที่จะโจมตีดินแดนไลอ้อนเป็นแห่งแรก อีกทั้งกูดาลยังได้ส่งทูตมาเจรจากับเซียวอวี๋ เป็นการแสดงออกมาว่าเขาต้องการจะสงบศึกกับเซียวอวี๋

“มารดามัน เจ้าจิ้งจอกเฒ่านี่”

แน่นอนว่าเซียวอวี๋เองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาตกลงที่จะเซ็นข้อตกลงนี้

หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว เซียวอวี๋เองก็เริ่มเตรียมตัว เขาสั่งเรียกระดมกำลังทหารทั้งหมด

หน้าที่หลักนี้เขาได้มอบหมายให้กับคนสองคน คนแรกคือเออซ่า อีกคนคือฉินเช่อ ประเมินจากสงครามการปิดล้อมเมืองครั้งล่าสุด เซียวอวี๋ทราบว่าเออซ่านั้นช่ำชองการบัญชาทัพ และการแต่งตั้งเออซ่าจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง

และฉินเช่อเองก็ได้พิสูจน์ความสามารถของเขาแล้ว ไม่มีผู้ใดคัดค้านในเรื่องนี้

เซียวอวี๋ได้ผลักภาระหน้าที่ทางด้านกองทัพไปให้กับแม่ทัพทั้งสอง ส่วนตัวเขาเองนั้นอยู่ว่าง และใช้ชีวิตไปอย่างเพลิดเพลินไร้กังวล

ส่วนเรื่องของนครแน็กแรมนั้น เวลานี้มันได้ลอยอยู่เหนือฐานทัพของอันเดด และอาร์ทัสก็ค่อยๆเข้าใจการเคลื่อนตัวของมัน

เรื่องนี้ทำให้เซียวอวี๋งุนงงเป็นอย่างมาก แต่ความจริงก็คือ อาร์ทัสสามารถควบคุมแน็กแรมได้จริงๆ

ยิ่งไปกว่านั้นอาร์ทัสยังสามารถสั่งเปิดแน็กแรมได้ด้วย เซียวอวี๋เลยขึ้นไปสำรวจด้วยตนเองพร้อมกับอาร์ทัส แต่ก็ไม่พบสิ่งใดภายในนั้น

แน็กแรมเวลานี้กลายเป็นนครที่ว่างเปล่า

เรื่องนี้ยิ่งทำให้เซียวอวี๋ตกตะลึงกว่าเดิม เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

สุดท้ายเขาก็จำต้องออกมามือเปล่าและให้อาร์ทัสคอยควบคุมแน็กแรมต่อไป และหากว่าจำเป็น เขาก็อนุญาตให้ใช้แน็กแรมในการต่อสู้

หลังจากนั้นไม่นาน อาร์ทัส ก็พลันพบว่าตนเองสามารถเชื่อมโยงแน็กแรมเข้ากับฐานทัพอันเดด เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกอันเดดก็สามารถย้ายไปอยุ่ภายในแน็กแรม และนี่จะทำให้การค้นหากองทัพอันเดดในอนาคตเป็นเรื่องยากสุดจะหยั่ง

เซียวอวี๋ที่เกิดความคิดแปลกๆก็ลองย้ายฐานทัพอันเดดเข้าไปอยู่ภายในแน็กแรม ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกอย่างก็ลงตัว เขาไม่ต้องคอยกังวลอีกแล้วว่าฐานทัพอันเดดจะถูกพบเจอ

หลังจากรื้อสิ่งก่อสร้างภายในฐานทัพเก่า เขาก็เริ่มทยอยสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆขึ้นใหม่ภายในนครแน็กแรม และทำให้มันกลายเป็นฐานทัพลอยฟ้า

“ท่านย่ามันเถอะ โครตเจ๋ง ฐานทัพที่สามารถไปได้ทุกที่!”

หลังจากย้ายพวกอันเดดไปอยู่ในแน็กแรม เซียวอวี๋ก็พบว่าพวกเผ่าพันธุ์อันเดดนั้นเกิดการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าสถานที่นี้เป็นที่ที่เหมาะสมในการพัฒนากองทัพอันเดด

ปัญหาเรื่องอันเดดเป็นอันว่าแก้ไขไปได้ชั่วคราว

ในเวลาต่อมา อูเธอร์ได้ร้องขออนุญาตจากเซียวอวี๋ในการนำกำลังไปปราบปรามพวกอันเดดภายในเทือกเขาอัลคาเกน แต่การเดินทางไปหลายครั้งของเขาก็ต้องพบเจอแต่ความว่างเปล่า

ช่วงเวลาหลังจากนั้น การปรับเปลี่ยนฐานรากของพวกอัศวินจากศาสนจักรก้เริ่มมีประสิทธิภาพ แนวคิดของพวกเขาค่อยๆถูกกล่อมเกลามาอยู่ในทางที่ถูกที่ควร

ในช่วงเวลานี้เซียวอวี๋ก็ทำเพียงเฝ้าสังเกตการเปลี่ยนแปลงในดินแเดนแห่งอื่นๆ เขายึดมั่นในหลัก ไม่เปลี่ยนแปลงเพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลง

หลังจากกูดาลทำสนธิสัญญาสันติภาพกับเซียวอวี๋ เขาก็หันไปเริ่มสงครามตีชิงดินแดนและขยายอาณาเขตของตัวเองอย่างรวดเร็ว

ซึ่งเซียวอวี๋เองก็ไม่ได้กังวลแต่อย่างใด เมื่อถึงเวลาที่กูดาลปะทะกับพวกทหารทมิฬ เขาก็จะได้ทราบว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่

แม้ว่าก่อนหน้านี้เซียวอวี่จะสงสัยว่ากูดาลและพวกกองทัพทมิฬนั้นเป็นกลุ่มเดียวกัน แต่มันก็มีข้อบ่งชี้มากมายที่บ่งบอกว่าทั้งสองกลุ่มไม่ใช่พวกเดียวกันอยู่

เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาก็จะปล่อยให้หมาป่าสองตัวนี้ต่อสู้กัน

เซียวอวี๋หัวเราะให้กับความคิดของตนเอง…..