อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 737 เวินเส้าหยีถูกจับ
กู้ชูหน่วนปริยิ้มขึ้น นั่งที่หัวเตียงของเขา “ทำไม ท่านซ่อนสาวงามไว้ในบ้านหรือไง กลัวว่าข้าจะมารบกวนเรื่องดีๆของพวกท่าน”

“ยังเด็กโง่ พูดเลอะเทอะอะไรน่ะ เสี่ยวมู่ ชงชาดอกเหมยให้อาหน่วนแก้วหนึ่ง จำไว้ว่าความหอมสามระดับก็พอ เข้มเกินไปอาหน่วนไม่ชอบ”

“ขอรับ” ชายรับใช้ตอบรับคำหนึ่ง ไปชงชาด้วยความนอบน้อม

กู้ชูหน่วนเห็นทุกอย่างในสายตา แต่กลับไม่ได้เปิดโปง

ที่ผ่านมาไม่ว่านางจะอยากกินอะไรดื่มอะไร ล้วนเป็นอี้เฉินเฟยที่ลงมือทำให้นางกินด้วยตัวเอง เขาเป็นคนที่จะไหว้วานคนอื่นเมื่อไหร่กัน

ป่วยหนักเพียงใดกันแน่ ที่ทำให้เขาทำไม่ได้แม้แต่จะเสแสร้ง

“ขอโทษ ข้า……ไม่สามารถหลอมรวมมุกมังกรได้ ประเดี๋ยวข้าจะไปเชิญสุดยอดผู้อาวุโสด้วยตัวเอง ให้เวลาข้าอีกหน่อย ข้าจะต้องหลอมรวมมุกมังกรได้แน่”

“อย่าฝืนเกินไปนักเลย หลอมรวมไม่ได้ก็หลอมรวมไม่ได้เถอะ พันปีร้อยปีเผ่าหยกก็ผ่านมาได้แล้ว แค่พลาดไปช่วงเวลาเดียว แม้ว่าจะไม่มีทางสำเร็จได้ ก็ไม่เป็นไร ไม่มีผู้ใดโทษเจ้า”

ทุกคำพูดของอี้เฉินเฟย ราวกับต้องใช้แรงกำลังทั้งหมด

เขากำลังฝืนอยู่ตลอด แม้แต่รอยยิ้มก็ฝืนเค้นออกมา

กู้ชูหน่วนเบ้าตาแดง ซบบนตัวของเขา ฟังเสียงการเต้นของหัวใจที่อ่อนแอของเขา

“พี่เฉินเฟย ทำไมท่านถึงใจดีกับข้าขนาดนี้……หากไม่ใช่เพราะข้า ตอนนี้ท่านก็คงไม่ต้องนอนทนทุกข์ทรมานมากขนาดนี้อยู่ที่นี่……”

“ยังเด็กโง่ พี่เฉินเฟยไม่ทำดีต่อเจ้า แล้วควรจะทำกับใคร? ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นความเต็มใจของข้าเอง เจ้าอย่าได้โทษตัวเองเลยนะ”

“ข้ามันใช้ไม่ได้ ใช้เวลาไปนานขนาดนั้น ก็ไม่สามารถหลอมรวมมุกมังกรได้”

วิธีที่สามารถลองได้ นางก็ลองทั้งหมดแล้ว แต่นางก็ยังไม่สามารถหลอมรวมได้

ผ่านไปอีกห้าวันก็จะเป็นคืนวันที่สิบห้าพระจันทร์เต็มดวงแล้ว

แม้ว่าจะสามารถหลอมรวมสำเร็จ ก็จำเป็นต้องใช้เวลาเจ็ดวัน……

นางกลัวมาก….

นางกลัวว่าคืนวันที่สิบห้าพระจันทร์เต็มดวงนี้ก็จะไม่มีทางหลอมรวมมุกมังกรได้

แม้ว่าอี้เฉินเฟยจะมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งเพียงใด ไม่ว่าเขาจะฝืนทนอีกยังไง เขาก็ไม่สามารถทนการกำเริบของคำสาปโลหิตในคืนจันทร์เต็มดวงวันที่สิบห้าได้

ยังมีเย่จิ่งหาน รวมทั้งเหล่าประชาชนผู้บริสุทธิ์มากมายขนาดนั้นในเผ่าอีก…..

“เจ้าพยายามมากแล้ว สาวน้อย เจ้ารู้ไหมว่าความปรารถนาสูงสุดในชีวิตของพี่เฉินเฟยคืออะไร?”

“ปรารถนาให้ข้ามีความสุข มีชีวิตอย่างไร้ความกังวล”

“ใช่แล้ว ไม่เพียงแค่ข้า คนทั้งเผ่าก็มีความคิดเช่นนี้ เรื่องของมุกมังกรปล่อยไปตามโชคชะตาเถอะ หลังจากรวบรวมมุกมังกรได้เจ็ดเม็ด จะสามารถถอนคำสาปโลหิตได้ก็เป็นเพียงคำพูดที่บรรพบุรุษทิ้งไว้เท่านั้น ผ่านไปร้อยปีพันปีแล้ว เป็นความจริงหรือไม่กันแน่ ก็ไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้”

อี้เฉินเฟยยิ่งพูดเสียงยิ่งเบา เบาจนกู้ชูหน่วนที่แทบจะซบไปที่ข้างหูของเขาเพื่อที่จะให้ได้ยินอย่างชัดเจน

แต่ความรักความเอ็นดูและความทะนุถนอมในแววตาของเขากลับเห็นได้อย่างชัดเจน

อี้เฉินเฟยพูดแบบนี้เพื่อปลอบโยนนางไม่ผิด

แต่เขาก็ได้เปิดเผยข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง หากว่าบรรพบุรุษผิดไปแล้วล่ะ?

หรือว่าที่ถ่ายทอดกันมาเป็นร้อยปีพันปี ถ่ายทอดมาผิดล่ะ?

ยิ่งไปกว่านั้น หากคำพูดที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ เป็นเพียงแค่กำลังใจเพื่อจะทำให้คนในเผ่ามีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี มีเป้าหมายอย่างหนึ่งอย่างน้อยก็มีความหวัง

แต่……หลังจากที่รวมมุกมังกรครบเจ็ดเม็ด ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถถอนคำสาปโลหิตได้จริง

คิดถึงตรงนี้ กู้ชูหน่วนสันหลังเย็นวาบ

นางคิดไม่ตกจริงๆว่า นางไปรวบรวมมุกมังกรตามคำบอกกล่าวของบรรพบุรุษแล้ว ทำไมจึงไม่สามารถหลอมรวมได้

หรือว่า…..

ต้องการให้นางอุทิศเลือดทั้งตัวเพื่อบูชา?

“พี่เฉินเฟย ท่านพักผ่อนให้ดีๆก่อน ไว้ค่ำหน่อยข้าจะมาเยี่ยมท่านอีก”

เมื่อเห็นว่าอี้เฉินเฟยไร้เรี่ยวแรงจนแทบจะลืมตาไม่ไหวแล้ว กู้ชูหน่วนช่วยห่มผ้า แล้วเดินจากไป เพื่อเลี่ยงไม่ให้อี้เฉินเฟยไม่ได้พักผ่อนหากว่านางอยู่ที่นี่

หลังจากออกจากบ้านไม้ไผ่ จอมมารก็เข้ามาทันที

“พี่สาว อี้เฉินเฟยก็พูดแล้วว่า เรื่องของมุกมังกรให้เป็นไปตามโชคชะตา ท่านก็อย่าได้เก็บมาใส่ใจมากไปนักเลย”

“เขาสงสารข้า ก็เป็นธรรมดาที่จะพูดแบบนั้น”

“ข้าก็สงสารพี่สาวเหมือนกัน ดูสิท่านกรีดข้อมือจนเป็นแบบนี้แล้ว จะต้องเจ็บมากเป็นแน่สินะ”

“ไม่เจ็บ”

กู้ชูหน่วนปัดมือของจอมมารออก เดินไปทางห้องประชุมของเผ่าหยกทีละก้าว

ลูกศิษย์คนหนึ่งเข้ามารายงานด้วยความรีบร้อน

“หัวหน้าเผ่า ผู้อาวุโสใหญ่กลับมาแล้วขอรับ

“ผู้อาวุโสใหญ่กลับมาแล้ว? เขาอยู่ที่ไหน?”

“อยู่ที่โถงยาขอรับ ผู้อาวุโสใหญ่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก ผู้อาวุโสไป๋เฉ่าเพิ่งจะช่วยทำการรักษาให้เขาเสร็จขอรับ”

“ไป รีบพาข้าไปที่โถงยา”

คิดจะไปที่โถงยาจำเป็นต้องผ่านสนามประลอง

เผ่าหยกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือสถานที่ที่ประชาชนของเผ่าหยกอยู่อาศัย โดยพื้นฐานแล้วที่นี่มีเพียงประชาชนธรรมดาที่ใช้ชีวิตโดยปราศจากการแย่งชิงต่อโลก ไม่แตกต่างไปจากประชาชนเผ่าอื่นๆ

ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เป็นสถานที่ที่ลูกศิษย์ของเผ่าหยกอยู่อาศัย ผู้คนที่นี่ได้รับการคัดสรรมาอย่างละเอียดถี่ถ้วนจากคนนับพันหมื่นของเผ่าหยก ก็เพื่อที่จะปกป้องเผ่าหยกสืบไปจากรุ่นสู่รุ่น และซื่อสัตย์ภักดีต่อหัวหน้าเผ่า

และสนามประลองที่พวกเขาผ่านคือศูนย์กลางของหมู่บ้านที่ประชาชนอาศัยอยู่

ในวันปกติเมื่อผู้อาวุโสต้องการจะประกาศเรื่องสำคัญ ก็จะประกาศที่สนามประลองแห่งนี้

หากไม่ได้ประกาศเรื่องอะไร โดยปกติเหล่าประชาชนก็จะไม่รวมตัวกันที่นี่

วันนี้ ตรงนี้ทั้งสามชั้นนอกและสามชั้นในล้วนรายล้อมไปด้วยผู้คน

เหล่าประชาชนแต่ละคนล้วนมีสีหน้าท่าทางตื่นเต้นตึงเครียด ขว้างปาข้าวของต่างๆไปบนสนามประลองอย่างต่อเนื่อง แต่ละคนแสยะปากด่าทอ

ฝีเท้าของกู้ชูหน่วนหยุดลง “เกิดอะไรขึ้น? ทุกคนมารวมตัวทำอะไรกันตรงนี้?”

“หัวหน้าเผ่า ดูสิข้าตื่นเต้นซะจนแทบจะลืมบอกท่านไปแล้ว พวกเราจับตัวหัวหน้าเผ่าน้อยของเผ่าเทียนเฟิ่นมาได้ ตอนนี้เขาถูกมัดไว้บนแท่นทำโทษของสนามประลอง”

“จับเวินเส้าหยี? ไป๋จิ่นจับมาหรือ?”

“ว่ากันว่าเป็นผู้ทูตศักดิ์สิทธิ์ท่านหนึ่งของเผ่าน้ำแข็ง น่าจะเป็นแม่นางไป๋จิ่นที่หัวหน้าเผ่าพูดถึงขอรับ”

กู้ชูหน่วนเบียดไปทางฝูงชนด้วยความรวดเร็ว

จอมมารก็ตามติดเบียดเข้าไปด้วย

อยู่ในระยะไกลก็สามารถได้ยินคำด่าทอด้วยความโกรธเคืองของเหล่าประชาชนแต่ละคนได้

“ตี ตีเขาให้ตาย คนประเภทนี้ไม่มีอะไรให้น่าเห็นใจ”

“ถูกต้อง เผ่าเทียนเฟิ่นของพวกเขาทำร้ายพวกเราจนน่าอนาถขนาดนี้ พวกเราก็ควรทำให้เขาได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าตายทั้งเป็นซะบ้าง”

“หึ ดูท่าทางเคร่งขรึมภูมิฐาน ท่าทางสุภาพเรียบร้อยอ่อนโยน ในใจไม่รู้ว่าสกปรกมากแค่ไหนกัน”

“เฉียวเกอ ทำไมเจ้าไม่ตีแล้วล่ะ? รีบตีสิ”

“ก็ไม่ใช่ว่าข้าก็ตีจนปวดมือไปหมดแล้วหรอกหรือ?”

“เอามาให้ข้า พ่อแม่ของข้าเสียชีวิตอย่างน่าอนาถด้วยคำสาปโลหิต พี่ใหญ่พี่รองของข้าก็ถูกคนเผ่าเทียนเฟิ่นของพวกเขาฆ่า แค้นนี้ไม่ชำระไม่ได้ ข้าแทบอยากจะต่อยเขาให้ตายไปทั้งเป็น”

ด้วยอารมณ์ความเดือดดาลของฝูงชน กู้ชูหน่วนเบียดเข้ามา เหล่าประชาชนก็มองไม่เห็นกู้ชูหน่วน

เป็นเวลานานกว่ากู้ชูหน่วนจะเบียดเข้ามาได้

เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า ก็แทบจะเป็นลม

นั่นเป็นภาพสถานการณ์อย่างไร

มือสองข้างของเวินเส้าหยีถูกมัดห้อยไว้บนแท่นทำโทษ บนเสื้อผ้าสีขาวระเกะระกะไปด้วยรอยแส้ที่พาดกันไปมา เลือดหยดติ๋งๆไหลลงมาจากบนตัวของเขา

บนร่างของเขา บนเส้นผมสีหมึก บนใบหน้า ก็เต็มไปด้วยไข่เน่าและผัก แทบจะมองลักษณะท่าทางไม่ออก

หลายที่ล้วนถูกทุบกระแทกจนเป็นรูเลือดทีละรู

นั่นเพราะถูกขว้างปาด้วยก้อนหิน

และตอนนี้ เหล่าประชาชนก็ยังคงหยิบไข่ไก่และก้อนหินและสิ่งอื่นๆขว้างปาเข้าไปอย่างรุนแรง

มีหินบางก้อนหนักถึงหลายกิโลกรัมอีกด้วย ทุกครั้งที่ขว้างปาเข้าไปล้วนทำให้ร่างกายของเขามีเลือดไหลออกมา

นอกจากสิ่งเหล่านี้ ยังมีประชาชนที่ร่างกายแข็งแรงกำยำหยิบแส้และไม้ทุบตีเข้าไปบนร่างของเขาอย่างรุนแรงโดยไร้ความเมตตาปรานีครั้งแล้วครั้งเล่าอีก ซึ่งไม่ได้สนใจเลยว่าบนร่างกายของเขาจะมีเลือดไหลมากมายเพียงใด

“หยุด……”