หลังจากเดินไปส่งองค์ชายสิบสามและชายชราทั้งสองคนให้กลับไปยังพระราชวังของตนเวลาก็ล่วงเลยไปถึงช่วงบ่าย ชิงสุ่ยจึงได้ใช้เวลาที่เหลือในการฝึกฝนภายในดินแดนยกยุพราชอมตะ
ทั้งที่เขาเห็นเตากลั่นอสูรเขาก็นึกถึงเจ้าอสรพิษทองคำครามทั้ง 2 ตัว และเมื่อเขาเห็นมันใบหน้าของเขาก็เป็นประกายไปด้วยรอยยิ้ม แม้จะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม แต่เขาก็จำเป็นต้องหาเจ้าของใหม่ให้กับพวกมัน
ความแข็งแกร่งของอีเย่เจี้ยนเก้อในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างน่ากลัวและเหมาะสมชิงสุ่ยยังช่วยเพิ่มพูนพลังให้กับถานท่ายหลิงเยียนและฉินชิง อย่างน้อยเมื่อพวกเธอร่วมมือกับสัตว์อสูร พลังของพวกเธอก็จะไม่ด้อยไปกว่าพลังของอีเย่เจี้ยนเก้อ
แม้ว่าตัวของชิงห่านอี้จะไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นและะตลอดช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมาเธอก็ได้พยายามอย่างหนักจนมีพลังใกล้เคียงกับอีเย่เจี้ยนเก้อ ถึงแม้ว่าตอนนี้พลังของทั้งสองจะเริ่มห่างกัน แต่ด้วยพลังของเจ้าราชันย์มังกรพิษ อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอพัฒนาพลังขึ้นมาอยู่ในดินแดนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ 7
แต่ถ้าหากให้เปรียบเทียบกับทั้งสองคนหลัวชิงเฉินและมูหยุนชิงเก้อยังถือว่าอ่อนแอกว่า เพราะพวกเธอเป็นเพียงแค่ยอดยึดดินแดนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ 6
สำหรับหยิงตงและเหลียนหลิงเฟิงทั้งสองคนได้รับการช่วยเหลือจากชิงสุ่ย จนทำให้บรรลุระดับแรกเริ่มของดินแดนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ 7 แต่เมื่อเทียบพลังแล้วก็ยังคงอยู่ห่างไกลจากอีเย่เจี้ยนเก้ออยู่ประมาณก้าวนึง
ตอนที่ชิงสุ่ยออกมาจากดินแดนต่างมิติเวลาก็ล่วงเลยไปจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกแล้วชิงสุ่ยเอามือก่ายหน้าผาก เพราะตลอดช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาเขายุ่งจนแทบไม่เหลือเวลาให้กับตัวเอง
ก่อนรับประทานอาหารเย็นเขาได้แจ้งให้กับทุกคนได้รับรู้ว่าชิงห่านอี้กำลังตั้งครรภ์ สีหน้าของหลัวชิงเฉินดูเศร้าหมองเล็กน้อย ชิงสุ่ยยังคงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเธอ เพียงแต่ยังไม่ไปถึงขั้นสุดท้าย ซึ่งทุกคนก็รู้ดีว่าสักวันหนึ่งชิงห่านอี้จะต้องกลายเป็นผู้หญิงของชิงสุ่ย
คนที่ชิงสุ่ยเป็นกังวลมากที่สุดอีกคนหนึ่งก็คือถานท่ายหลิงเยียนตั้งแต่ที่ได้พบเจอเธอครั้งแรกชิงสุ่ยก็ไม่เคยยอมพ่ายแพ้ให้กับเธอ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าเธอชอบเขา แก้ปัญหาเดียวก็ยังคงอยู่ที่เธอ ปัญหาที่เธอยังคงผ่านไปไม่ได้
ก๊อกกกก๊อกกก!!
ชิงสุ่ยเคาะประตูห้องของถานท่ายหลิงเยียน
ประตูค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆพร้อมกับใบหน้าแห่งความประหลาดใจ ในมุมมองของชิงสุ่ย ใบหน้าที่เขากำลังมองดูอยู่ปราศจากซึ่งความเย็นชา แต่กลิ่นอายแห่งความเยือกเย็นก็ยังคงอยู่รอบๆกายของเธอ มันคือกลิ่นอายที่ฝังติดอยู่ในกระดูก จะให้ลบออกไปก็คงเป็นการยาก
ชิงสุ่ยรู้สึกกดดันทุกครั้งที่ยืนอยู่หน้าเธอ
”เจ้าจะยืนอยู่ตรงนี้ทำไม?เข้ามาสิ”ถานท่ายหลิงเยียนชวนชิงสุ่ยเข้ามาในห้อง
ชิงสุ่ยยิ้มได้เดินเข้าไปในห้องก่อนจะปิดประตูภายในห้องพักยังคงดูมืดสลัว แม้จะมีหินไฟส่องสว่าง แต่การจัดวางส่วนต่างๆของห้องมันถูกแยกเป็นโทนสีที่เป็นเอกลักษณ์
”ตอนนี้เจ้าช่างงดงามเหลือเกินงดงามจนวิญญาณของข้าเกือบออกจากร่าง”ชิงสุ่ยหัวเราะขณะเดินเข้าไปในห้อง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชิงสุ่ยได้มาที่ห้องของเธอทุกอย่างภายในห้องดูเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน แต่ก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมจางๆที่ล่องลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง แต่โดยรวมแล้วภายในห้องจะถูกจัดอยู่ในรูปแบบสีขาวบริสุทธิ์ ถานท่ายหลิงเยียนจ้องมองชิงสุ่ยโดยไม่พูดอะไรจากนั้นเธอก็นั่งลงบนเก้าอี้
ชิงสุ่ยที่เดินตามเธอเข้าไปในห้องก็นั่งลงด้านข้างและเริ่มสูดดมกลิ่นหอมที่อยู่รอบๆตัวของเธอ มันเป็นกลิ่นหอมที่ไม่มีน้ำหอมชนิดใดเทียบเทียมกลิ่นหอมชนิดนี้ได้เลย
ถานท่ายหลิงเยียนคุ้นชินกับการกระทำของชิงสุ่ยในขณะที่เขากำลังหันหน้าจ้องมองมาที่เธอ
และมันก็เป็นอย่างที่เคยเป็นหัวใจของชิงสุ่ยเต้นแรงทุกครั้งที่เขาสบตาอันแสนเย็นชาและงดงามของถานท่ายหลิงเยียน จากนั้นเขาก็เริ่มพยายามกระโจนเข้าหาเธอเหมือนปีศาจร้าย และเขาก็ถูกเธอหยุด พร้อมกับสายหน้าและใช้นิ้วแตะที่หน้าผาก
ชิงสุ่ยยิ้มและจับข้อมือของเธอ”อีกไม่กี่วัน ข้าคงต้องออกเดินทางไกล”
”อืม ขอให้เดินทางโชคดี!!” อันที่จริงแล้วเธอเองก็รู้ดีว่าวันนี้ต้องมาถึง ตัวของชิงสุ่ยพักอยู่กับพวกเธอมานานพอสมควรแล้ว ”เจ้าไม่มีอะไรอยากจะบอกข้าบ้างเลยเหรอ?”ชิงสุ่ยกล่าวถามแล้วต้องการจะได้ยินคำบางคำออกจากปากของเธอ
”เจ้าอยากให้ข้าพูดว่าอะไรล่ะ?”ถานท่ายหลิงเหยียนถามพร้อมกับรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า
”ก็อย่างเช่น….เจ้ารักข้ายังไงล่ะ”ชิงสุ่ยพูดอย่างกล้าหาญไม่อายฟ้าดิน
”ข้ารักเจ้า”ถานท่ายหลิงเยียนกล่าวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ชิงสุ่ยดวงตาเบิกกว้าง”เจ้าช่วยพูดแบบมีอารมณ์ความรู้สึกได้หรือไม่ เพราะคำพูดของเจ้ามันทำให้ข้ารู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก”
”แล้วข้าควรทำอย่างไร?”ถานท่ายหลิงเยียนพยายามเข้าใจกับคำว่าอารมณ์
”พูดได้แบบที่มีความรู้สึกยิ่งกว่าสิ่งที่รู้สึก”
”ข้าทำไม่เป็น”
ชิงสุ่ยถึงกับพูดไม่ออกแต่เขาก็ยังคงยิ้มและกล่าวว่า “เอ่ออ….งั้นเรื่องสุดท้ายแล้ว เมื่อไหร่เจ้าจะยอมตัดสินใจเป็นผู้หญิงของข้า?”
”ข้าก็เป็นมาโดยตลอด”ถานท่ายหลิงเยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
”ถ้าอย่างนั้น……พวกเราก็ควรจะ……?”
”เจ้าเคยบอกกับข้าว่าเจ้าจะไม่บังคับข้าและเจ้ายังบอกอีกว่าเจ้าจะรอคอยวันที่ข้าของเจ้าเอง….”เมื่อพูดถึงจุดนี้ ถานท่ายหลิงเยียนก็ไม่อาจปิดบังใบหน้าแห่งความเขินอายของเธอได้
”จะให้รอเจ้าถามเรื่องการสานสัมพันธ์รัก……น้องเยียนเยียนข้ามีสิ่งหนึ่งอยากรู้มาก เจ้าเองก็เป็นผู้ใหญ่ แล้วเจ้าแก้ปัญหาความต้องการของเจ้าได้ด้วยวิธีใด?”ชิงสุ่ยจ้องมองถานท่ายหลิงเยียนอย่างจริงจัง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหื่นกระหายพร้อมจะกลืนกินเธอทั้งตัว
”ไอ้คนชั่ว…..ข้าไม่เคยคิดช่วยตัวเองและก็ไม่เคยมีความต้องการใดๆทั้งสิ้น” ”มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะเจ้าก็เป็นคนที่มีความรู้สึกมากกว่าใครอื่น เจ้าไม่อยากลอง…….”
”หยุดเดี๋ยวนี้!!”ถานท่ายหลิงเยียนเอื้อมมือปิดปากชิงสุ่ย เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้พยายามทุกวิถีทางเพื่อหลอกล่อเธอ
ในอดีตเธอเองก็ไม่เคยคิดเรื่องเหล่านี้แต่หลังจากที่เธอถูกกระตุ้นความสามารถรวมทั้งความรู้สึกผ่านเข็มทองคำของชิงสุ่ย มันก็เริ่มทำให้จิตใจของเธอเปลี่ยนแปลง และเริ่มคิดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ทุกครั้งที่เธอคิดถึงมันใบหน้าของเธอจะจะเป็นสีแดงกล่ำ แต่โชคดีที่เจ้าเด็กแก่แดดเข้ามายุ่งวุ่นวาย จึงทำให้เธอสามารถระงับอารมณ์ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ แต่บางครั้งเธอเองก็ไม่สามารถระงับอารมณ์ จินตนาการถึงภาพที่เธอได้พบเจอกับชิงสุ่ยครั้งแรก แม้ว่ามันจะผ่านไปหลายปี แต่เธอก็ยังไม่เคยลืมสิ่งที่เขาทำกับเธอในครั้งแรก ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้เธอคิดถึงความรู้สึกเก่าๆ
”เยียนเยียนเอ่ยเจ้ากำลังตกหลุมรักข้าอยู่”ชิงสุ่ยสังเกตเห็นสีหน้าที่ไม่เสถียรของถานท่ายหลิงเยียนได้อย่างชัดเจน
สิ่งที่ชิงสุ่ยกล่าวมันทำให้ดวงตาของเธอพร่ามัวใบหน้าที่มักจะแสดงถึงความเย็นชา เปล่งประกายไปด้วยเสน่ห์และแรงดึงดูด
ชิงสุ่ยรุกคืบอย่างหนักเขาประกบริมฝีปากลงบนริมฝีปากให้ชุ่มฉ่ำของถานท่ายหลิงเยียน โดยที่เธอก็ไม่ได้ต่อต้าน แล้วมันก็เป็นรอยจูบที่เธอคุ้นเคย
ในที่สุดชิงสุ่ยก็เริ่มปลดเสื้อผ้าชั้นนอกของเธอออก แต่เขาก็ถูกเธอหยุดในขณะที่กำลังถอดชุดชั้นในของเธอ “อย่าทำเลย…. แค่ทำแบบเจ้าเคยทำทุกครั้ง….”
น้ำเสียงของเธอนุ่มนวลซึ่งชิงสุ่ยก็ได้ยินอย่างชัดเจน ทำเหมือนกับครั้งที่แล้ว มันก็คือการใช้ทักษะหัตถ์พลิ้วไหวสะเทือนวิญญาณนวดร่างกายของเธอจนกระทั่งเธอไปถึงจุดสุดยอด