ตอนที่ 1000

Alchemy Emperor of the Divine Dao

พวกอันธพาลทั้งห้าคนเป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นต้นเท่านั้น แต่ก็มีบางคนเป็นระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นกลาง ชั้นสูง ซึ่งมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่อยู่ชั้นสูงสุด

สุ่ยเยี่ยนยวี่เดินไปข้างหน้าเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายด้วยตนเอง

เพราะนางชนะการประมูลผลึกภูผาวารีมาได้สามก้อน รวมถึงเม็ดยาบางอย่าง ตอนนี้ทำให้นางทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นสูงสุดแล้ว นางจึงอยากลองพลังว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหน

ชายทั้งสี่คนเข้ามาล้อมสุ่ยเยี่ยนยวี่แทน

นางส่งเสียงกรีดร้องและสะบั้นดาบออกไปเพื่อหวังปลิดชีพอีกฝ่าย ราวกับนางฟ้าในคาบปีศาจ

ชายทั้งสี่คงยังชื่นชมความงามของสุ่ยเยี่ยนยวี่ แต่เมื่อนางเปิดฉากโจมตีก่อน ทั้งสี่คนเผยสีหน้าสยองขวัญขึ้นมาทันที และรีบตอบโต้อาวุธที่อยู่ในมือ

ในสำนักนภาสีชาดอัจฉริยะระดับหนึ่งดาวก็ถือว่าค่อนข้างมีจำกัด ในการทดสอบเข้าร่วมสำนักนภาสีชาดฝ่ายเนือ อย่างที่เห็นมีเพียงแค่ยี่สิบกว่าคนเท่านั้นที่ผ่านหอคอยชั้นห้าได้

แต่สำนักนภาสีชาดนั้นได้รวมรวบอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะเอาไว้ที่นี่แล้ว ดังนั้นอัจฉริยะระดับหนึ่งดาวจึงหาได้ยากนอกจักรวรรดิ

สุ่ยเยี่ยนยวี่เป็นอัจฉริยะระดับหนึ่งดาวหรือสองดาวนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว บางทีอัจฉริยะระดับสองดาวก็อาจกลายเป็นอัจฉริยะระดับหนึ่งดาวได้ในอนาคต แต่ด้วยอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือของนาง ทำให้ปัจจุบันนางมีพลังต่อสู้สองดาว!

ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายตรงข้ามทั้งสี่คนเป็นแค่จอมยุทธธรรมดาและไม่มีความสามารถต่อสู้ข้ามระดับ

ดังนั้น ถึงแม้ศัตรูจะมีสี่คน สุ่ยเยี่ยนยวี่ก็ยังเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด

นั่นเป็นเพราะนางมีพลังต่อสู้ที่เหนือกว่า การเอาชนะฝ่ายตรงข้ามสี่คนเป็นเรื่องที่ง่ายมาก

ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!

นางแข็งแกร่งมาก ถึงแม้จะมีใบหน้าที่งดงามก็ตาม

“อ๊ากกกกกกก-” ชายร่างใหญ่ที่ถูกหลิงฮันหักแขนอยู่นั้นรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง และตระหนักได้ว่าพวกเขาไม่ควรยุ่งกับทั้งสองคน เมื่อหลิงฮันเห็นอีกฝ่ายส่งเสียงกรีดร้อง เขาจึงตบหน้าอีกฝ่ายให้หุบปาก

“หุบปาก!” หลิงฮันตะคอก “หากเจ้ายังไม่หยุดร้องอีก ข้าจะหักแขนของเจ้าอีกข้าง รวมถึงขาทั้งสองข้างของเจ้าด้วย เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

“ข้าเข้าใจ! ข้าเข้าใจแล้ว!” ร่างของชายร่างใหญ่ปกคลุมไปด้วยเม็ดเหงื่อที่หนาวเหน็บ น้ำเสียงของหลิงฮันนั้นหนาวเย็นเป็นอย่างมาก เขาจึงไม่สงสัยในคำพูดของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย และยอมรับแต่โดยดี

ภายในใจ เขากำลังร้องไห้กับความอับโชคของตัวเองที่เพิ่งรู้ว่าชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้แข็งแกร่งมากและไม่ควรเข้าไปยั่วยุให้ถูกฆ่า

“จงบอกข้ามาว่ามีขุมพลังทั้งหมดกี่แห่งในเมืองนี้ และใครขุมพลังใดที่แข็งแกร่งที่สุด?” หลิงฮันถาม เขาเพิ่งจะมาถึงที่นี่เป็นครั้งแรก ดังนั้นเขาจะต้องรู้ภาพรวมของมันก่อน

ชายร่างใหญ่รีบจัดระเบิดความคิดของตนเองทันทีว่าจะพูดอะไรออกมา

ถึงแม้เมืองขวานทรราชจะมีขนาดเล็ก แต่อย่างได้ดูถูกมันเชียว เพราะมีหลายคนเดินทางมาที่นี่เพื่อออกเรือตามหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ ดังนั้นจึงมีผู้คนมากมายแห่กันมาที่นี่

ขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดแน่นอนว่าจะต้องเป็นตระกูลเจ้าเมืองขวานทรราช ตระกูลหยาง

ผู้นำตระกูลหยางเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูง ถ้าอยู่ในเมืองจักรพรรดิก็นับได้ว่าเป็นขุมพลังระดับสี่

ยิ่งไปกว่านั้นผู้ก่อตั้งเมืองขวานทรราชยังเป็นผู้นำตระกูลหยางรุ่นที่หนึ่ง มันเป็นเรื่องของเมื่อสิบล้านกว่าปีที่แล้ว และประวัติศาสตร์ของที่นี่ยังยาวนานกว่าจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะมาก

ผู้นำตระกูลหยางแต่ละรุ่นนั้นจะมีอาวุธประจำตัวคือขวานทรราช ซึ่งเป็นอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปดที่เทียบได้กับจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูง นี่คือเหตุผลหลังที่ตระกูลหยางสามารถคงอยู่ที่นี่ได้นานสิบล้านปี…

และเรือทุกลำที่อยู่ท่าเรือขวานทรราชนั้นเป็นของตระกูลหยางทั้งหมด จอมยุทธที่กลับมาจากการเดิน ตระกูลหยางเองก็จะเป็นคนกลุ่มแรกเข้าไปขอซื้อสมบัติที่พวกเขาเก็บเกี่ยวมาได้ในราคาที่ต่ำที่สุด

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลหยางก็ยังคงเป็นขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดเสมอและไม่มีทีท่าว่าจะสั่นคลอนแม้แต่น้อย   ตระกูลหยางจะกินเนื้อและเหลือซุปให้คนอื่นกิน ดังนั้นจึงเกิดกลุ่มห้าทมิฬที่ควบคุมธุรกิจบ่อนพนัน ซ่องและธุรกิจมืดอย่างอื่นภายในเมือง การตายจึงเป็นเรื่องปกติมากสำหรับที่นี่

ที่นี่ไม่มีการประลองเป็นตายกัน ถ้าไม่พอใจใครก็สามารถปะทะกันได้เลย

นั่นเป็นสาเหตุที่ธุรกิจที่พักของที่นี่ดำเนินไปด้วยดี เพราะหลังจากที่ลูกค้าเข้าพักจะได้รับการคุ้มครองจากที่พัก และไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกฝ่ายตรงข้ามลอบเข้ามาในที่พักกลางดึกเพื่อเอาชีวิต

แน่นอนว่าค่าบริการที่พักของที่นี่จะต้องแพงมาก แต่ก็ยังมีหลายคนเลือกที่จะประหยัดเงินและนอนพักผ่อนตามข้างถนน แต่พวกเขาอาจไม่ได้หลับพักผ่อนอย่างสงบสุข เพราะตื่นขึ้นมาหายถูกปล้นทรัพย์จนหมดตัว

กลุ่มห้าทมิฬเป็นหนึ่งในห้ากลุ่มที่อยู่ภายใต้ตระกูลหยาง และควบคุมที่พักห้าแห่งภายในเมือง บ่อนพนันสามแห่งและซ่องสองแห่ง

หัวหน้ากลุ่มห้าทมิฬมีชื่อว่าเจียงจีที่เป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้นหรือขั้นกลางนั้นไม่มีใครทราบ อย่างไรก็ตามเขาก็เป็นคนที่แข็งแกร่งอยู่ดี

ในปัจจุบันกลุ่มห้าทมิฬและกลุ่มต้าเฉิงมีอำนาจมากขึ้นและมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ทั้งสองประสบความสูญเสียอย่างหนัก ดังนั้นพวกกลุ่มห้าทมิฬจึงยืนอยู่ที่หน้าประตูเมืองเพื่อเก็บค่าผ่านทาง

“ระดับสุริยันจันทรา ตอนนี้ข้ายังต่อกรด้วยไม่ได้!” หลิงฮันพูดพึมพัม

ตอนนี้เขาเป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นสูงสุด มันไม่มีทางที่เขาจะต่อกรกับจอมยุทธระดับสุริยันจันทราได้ เท่าที่หลิงฮันรู้ไม่มีอัจฉิรยะคนใดสามารถต่อสู้ข้ามระดับใหญ่แบบนี้ได้

“ดูเหมือนข้าไม่ควรไปหาเรื่องหัวหน้ากลุ่มห้าทมิฬจะดีกว่า”

เขาหันไปมองสุ่ยเยี่ยนยวี่และพูดว่า “สุ่ยเยี่ยนยวี่พวกเราเข้าไปในเมืองกันได้แล้ว”

อันที่จริงสุ่ยเยี่ยนยวี่สามารถเอาชนะพวกมันทั้งสี่คนได้อย่างง่ายดาย แต่นางแค่อยากลองอะไรใหม่บ้าง แล้วใช้ทั้งสี่คนเป็นคู่ซ้อม จากนั้นไม่นานนางก็เก็บดาบทันทีและหมดความสนใจ

ฝ่ายตรงข้ามสี่คนนอนกองอยู่กับพื้นพร้อมกับโลหิตที่ไหลออกมาจากหน้าอกของพวกเขา พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่มีใครถูกฆ่าตาย

นางไม่ได้เป็นคนประมาท แต่อย่างไรก็ตามอิทธิพลของตระกูลสุ่ยไม่สามารถใช้ที่นี่ได้ และถึงแม้จะเป็นศิษย์ของสำนักนภาสีชาดก็ตามก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาปลอดภัยขึ้น ดังนั้นจะเป็นการดีที่สุดที่จะไม่ทำอะไรผลีผลามที่นี่…

หลังจากที่หลิงฮันและสุ่ยเยี่ยนยวี่เข้ามาในเมืองแล้ว พวกเขามุ่งหน้าไปที่ท่าเรือทันทีและทราบว่าเรือจะออกเดินทางทุกสามวัน และเมื่อวานเรือเพิ่งออกจากท่าเป็นเหตุทำให้พวกเขาจะต้องอาศัยอยู่ที่นี่สองวัน

ดังนั้น อย่างแรกที่พวกเขาจะต้องทำคือหาที่พัก

แน่นอนว่ากลุ่มห้าทมิฬนั้นไม่มีทางปล่อยหลิงฮันไป และกลุ่มห้าทมิฬกับกลุ่มต้าเฉิงมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง และเขาได้ลงมือกับสมาชิกกลุ่มห้าทมิฬไปแล้ว ดังนั้นหลิงฮันจึงเลือกที่จะไปพักอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมของกลุ่มต้าเฉิง

เมื่อพวกเขาเข้ามาในโรมเตี๊ยม สุ่ยเสยี่ยนยวี่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากทันที