เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะ
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่นาง แล้วยิ้มเฝื่อนๆ
ผ่านไปนานกว่าทั้งสองจะหยุดหัวเราะ
หวงฝู่อี้เซวียนไม่พอใจ พูดอย่างเ**้ยมโหดว่า “เจ้าลูกน้อยทั้งสอง หัดรังแกข้าตั้งแต่ตอนนี้แล้วรึ รอพวกเจ้าออกมาก่อนเถอะ ข้าจะตีให้ก้นลายเลย”
“เจ้าทำไม่ลงหรอก” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เจ้าไม่รู้หรอกว่าเด็กที่เพิ่งคลอดนั้นผิวนุ่มอมชมพู น่ารักน่าชังขนาดไหน ตอนที่เส้าเอ๋อร์ยังไม่คลอดพี่ใหญ่ก็พูดแบบนี้ แต่พอได้เจอลูกเท่านั้นล่ะ ความคิดแบบนี้ก็จะหายไป กลายเป็นว่าคิดอยากจะอุ้มเด็กไว้ตลอดเวลา”
หวงฝู่อี้เซวียนคิดภาพตาม ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่รู้ว่าลูกในท้องเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงนะ”
“เจ้าอยากให้เป็นเพศไหนล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
“ถ้าให้ดีก็ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ลูกชายเป็นคนโต จะได้ปกป้องน้องสาว และช่วยสืบทอดจวนอ๋องได้ด้วย ถึงตอนนั้นข้าก็จะได้ไปอยู่บ้านนอกกับเจ้า คอยดูแลท่านพ่อท่านแม่ ส่วนลูกสาวก็ให้อยู่จวนอ๋องเป็นเพื่อนเสด็จแม่ จะได้ทำให้ความฝันของเสด็จแม่ที่อยากมีลูกสาวเป็นจริงด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ “วางแผนซะดีเลยนะ”
“ข้าไม่ได้วางแผนดีหรอก แต่เพราะภรรยาข้ากล้าหาญ มีทีเดียวสองคน นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะขอมาได้ง่ายๆ เลยนะ”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากลานบ้านอีกครั้ง และเสียงพระชายาฉีก็ดังขึ้นอีก “เซวียนเอ๋อร์ แม่ก็ยังไม่วางใจอยู่ดี คืนนี้ให้แม่นอนกับนางเถอะนะ”
แต่ครั้งนี้ไม่ได้อุกอาจเข้าไปในห้องทันที
หวงฝู่อี้เซวียนถูกพระชายาฉีขัดจังหวะขึ้นในช่วงเวลาสำคัญถึงสองครั้ง ความรู้สึกอยากฆ่าตัวตายพลันแล่นขึ้นในหัว เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “เสด็จแม่ ข้ากับโยวเอ๋อร์นอนแล้วขอรับ ท่านกลับไปเถอะ”
“พวกเจ้าก็ยังไม่หลับนี่ไง เจ้าลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลย แม่รออยู่”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่รู้จะพูดอย่างไรดีแล้ว ปกติแม่ของตนก็เป็นคนมีเหตุมีผล ทำไมวันนี้ถึงเอาแต่จะทำลายเรือนหอของเขาล่ะ
เมิ่งเชี่ยนโยวซ่อนตัวใต้ผ้าห่ม หัวเราะคิกคักจนไหล่สั่นทั้งสองข้าง
หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือไปตีเชิงลงโทษนางเบาๆ เนื่องจากเป็นค่ำคืนที่เงียบสงัด พระชายาฉีจึงได้ยินเสียง แปะ นางร้อนรนขึ้นทันที น้ำเสียงก็แข็งกระด้างขึ้น “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นแม่จะบุกเข้าไปแล้วนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนจะตอบตกลงง่ายๆ ได้อย่างไร ในเมื่อกว่าตนจะขออยู่ต่อในห้องนี้ได้ เขาสั่งเสียงดังไปข้างนอกว่า “ชิงหลวน ไปเรียกอ๋องฉีมา”
ชิงหลวนขานรับ
พระชายาฉีมัวแต่คิดถึงลูกในท้องของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงไม่ทันคิดว่าเหตุใดหวงฝู่อี้เซวียนจึงเรียกอ๋องฉีมา นางถามอย่างแปลกใจว่า “เซวียนเอ๋อร์ เรียกเสด็จพ่อของเจ้ามาทำไมรึ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับรู้แผนของเขาทันที นางหัวเราะหนักกว่าเดิม
ในห้องไม่มีเสียงตอบ พระชายาฉีเริ่มใจร้อน พูดเร่งว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าใส่เสื้อเสร็จหรือยัง ออกมาเร็วสิ”
ความคิดอย่างเดียวในหัวของเซวียนเอ๋อร์คือ ตอนนั้นตนเองคงบ้าไปแล้วแน่ๆ ทำไมถึงตามอ๋องฉีกลับมานะ ทำเอาเขาจะเป็นอย่างคนปกติก็ไม่ได้ แค่เรือนหอยังถูกพระชายาฉีที่ปกติเป็นคนมีเหตุมีผล รู้หนังสือ และฉลาดนอบน้อมคอยขัดขวาง เขาจึงตอบอย่างเชื่องช้าว่า “ทราบแล้วขอรับ เสด็จแม่ ข้าลุกเดี๋ยวนี้แหละ”
ชิงหลวนทำงานกระฉับกระเฉง เมื่ออ๋องฉีได้ยินว่าตอนนี้พระชายาฉีอยู่ในเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน ก็รีบมาทันที เขาเห็นพระชายาฉีเดินไปมาในลานบ้าน และยังพูดเร่งหวงฝู่อี้เซวียน ก็รีบปริปากหวังเกลี้ยกล่อมนางกลับไป “พระชายา…”
เมื่อพระชายาฉีเห็นเขา ดวงตาก็ลุกวาว นางรีบพูดตัดว่า “ท่านอ๋อง ท่านมาแล้วหรือ เจ้าเซวียนเอ๋อร์ลูกคนนี้ไม่เชื่อฟังข้าเลย ข้าเรียกหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมออกมากจากในห้อง ข้าร้อนใจเหลือเกินเพคะ”
เมื่อนางพูดจบ เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังมาจากในห้อง “เสด็จพ่อ รีบพาภรรยาท่านกลับไปเถอะ หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ลูกต้องพิการแน่ๆ”
แม้อ๋องฉีเข้าใจความหมายของเขา เพราะเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่กลับกระแอมหนึ่งทีตอบว่า “ร่างกายของโยวเอ๋อร์พิเศษ เจ้าอย่าทำอะไรเกินเลย”
เขาอยากจะเอาหัวโขกกับกำแพงเสียให้รู้แล้วรู้รอด ถึงตอนนี้เขาเพิ่งจะค้นพบว่า เสด็จพ่อและเสด็จแม่เป็นคนพิลึกพิกล พ่อตาที่พูดแบบนี้ออกมาได้ในวันแต่งงานของลูกชายคงหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
อ๋องฉีเริ่มรู้ตัวว่าตนพูดไม่มีเหตุผล หลังจากที่พูดจบ จึงรีบเกลี้ยกล่อมว่า “พระชายา เราคุยกันไว้แล้วไม่ใช่หรือว่าวันนี้กลับไปนอนพักกันดีๆ ”
“สภาพโยวเอ๋อร์เป็นแบบนี้ จะให้ข้านอนหลับได้อย่างไร ให้ข้าเฝ้านางอยู่ที่นี่ข้าจะสบายใจเสียกว่า”
“เสด็จพ่อ หากท่านยังไม่พาภรรยาท่านกลับไปอีก ข้าจะพาโยวเอ๋อร์กลับหนานเฉิงเสียพรุ่งนี้เลย คลอดลูกเสร็จก็จะไม่กลับมาอีก”
เมื่อเขาพูดจบ พระชายาฉีถึงกับชะงัก ความโกรธปะทุขึ้นมาอย่างพลุ่งพล่าน นางเตรียมก้าวขากำลังจะเข้าไปในห้อง
อ๋องฉีรู้ทันทีว่าเขาไม่ได้พูดล้อเล่น จึงรีบเดินตามพระชายาฉีขึ้นไป เขาซ้อนมืออุ้มนางขึ้นมาจากด้านหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ แล้วเดินออกจากเรือนไป
พระชายาฉีตกใจ ครั้นได้สติกำลังจะหันไปด่าเขา ก็ถูกเขาสกัดจุดไว้จนนางพูดอะไรไม่ได้สักคำเสียแล้ว
ชิงหลวนและจูหลีมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างตกตะลึง
หวงฝู่อวี้ก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ผ่านไปนานจนเขากลืนน้ำลายอึกหนึ่ง หันไปขอคำยืนยันจากชิงหลวนและจูหลีว่า “พี่สาวขอรับ เมื่อครู่นี้คือท่านอ๋องและพระชายาใช่ไหม”
ทั้งสองหันไปหาเขาอย่างงงงวย มองเขาอย่างว่างเปล่า และพยักหน้าอย่างงงงวย
ปากของหวงฝู่อวี้อ้ากว้างขึ้นเหมือนไข่ไก่ รีบวิ่งเหยาะๆ ตามออกไป มองดูแผ่นหลังทั้งสองที่ไกลออกไป ก็ยังคงตั้งสติไม่ได้
เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นจากในห้องอีกครั้ง “พวกเจ้าไม่ต้องอยู่รับใช้ตรงนี้แล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ”
ทั้งสามจึงได้สติกลับมา มองกันไปมองกันมา แล้วย่องถอยกลับไป
เมื่อไม่ได้ยินเสียงจากในลานอีก เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะขึ้นมา หวงฝู่อี้เซวียนหันไปมองนาง นัยน์ตาแฝงไปด้วยความอันตราย ถามเสียงทุ้มต่ำว่า “ตลกมากหรือ”
เมื่อสัมผัสถึงอันตราย เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นหัวเราะ แล้วรีบส่ายหัวปฏิเสธทันที “เปล่าเจ้าค่ะ”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่สายตากลับแสดงความดีอกดีใจไปกับความโชคร้ายของเขา
หวงฝู่อี้เซวียนจะไม่รู้ความคิดของนางได้อย่างไร เขาแกล้งพูดอย่างโหดเ**้ยมว่า “ดูซิข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วก้มหน้าลง ความรู้สึกคลื่นไส้พลันมาเยือนอีกครั้ง นางจึงรีบปิดปาก ตัวเหยียดตรง และรีบโบกมือให้หวงฝู่อี้เซวียนปล่อยมือเสีย แต่นางเคลื่อนไหวมากเกินไปจนอาหารจุกขึ้นมาในปาก นางอั้นไว้ไม่อยู่ จึงเอนศีรษะออกด้านข้าง แล้วอาเจียนออกมา แม้จะไม่ได้อาเจียนใส่หวงฝู่อี้เซวียนทั้งหมด แต่อาหารก็กระเด็นไปโดนตัวเขา
หวงฝู่อี้เซวียนจึงยิ่งมั่นใจว่าตนเป็นคนโชคร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว ก่อนหน้านี้ถูกเสด็จพ่อเสด็จแม่กลั่นแกล้ง กว่าจะเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาไปได้ ลูกสองคนในท้องก็ไม่วายมารังแกเขาอีก
ไม่เพียงแต่อาหารที่ทานไปเมื่อครู่ถูกอาเจียนออกมาเท่านั้น แม้แต่น้ำดีก็เกือบจะอาเจียนออกมาด้วย เมิ่งเชี่ยนโยวถึงรู้สึกสบายตัวขึ้น นางจึงรีบพูดขอโทษโดยที่ยังไม่ได้เช็ดปากว่า “อี้เซวียน ขอ…”
หวงฝู่อี้เซวียนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่กล้าขยับไปไหน พูดเสียงอ่อนโยนด้วยความเป็นห่วงว่า “ดีขึ้นบ้างไหม”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดีขึ้นบ้างแล้ว แค่…”
“เจ้านอนลงไปเลย ที่เหลือไม่ต้องยุ่ง เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอีกครั้ง นอนลงบนเตียงพร้อมผ้าห่มผืนใหม่
หวงฝู่อี้เซวียนขยับตัวที่ชาไปทั้งตัว เขาลุกขึ้นจากเตียง ใส่เสื้อผ้า เดินไปที่ประตูแล้วเปิดประตูสั่งว่า “ทำความสะอาดหน่อย”
ชิงหลวน จูหลีและหวงฝู่อวี้ได้ยินเสียงจากในห้อง รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวอาเจียนอีกแล้ว จึงไม่กล้ากลับไปพักผ่อน พวกเขาเฝ้าอยู่ในลานบ้านตลอดเวลา เมื่อได้ยินคำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียน ชิงหลวนและจูหลีก็รีบเดินเข้าห้องทันที
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งต่อว่า “อวี้เอ๋อร์ ใส่น้ำมา ข้าจะเช็ดล้างตัวหน่อย”
หวงฝู่อวี้ขานรับ เดินไปที่ห้องครัว
หวงฝู่อี้เซวียนหันหลังกลับ เดินไปข้างเตียง โค้งตัวลง อุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมผ้าห่มขึ้นมา
ชิงหลวนและจูหลีทั้งสองคนรีบเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเสร็จเรียบร้อย และรีบทำความสะอาดห้องด้วยความกระฉับกระเฉง จากนั้นก็เปิดหน้าต่างเพื่อระบายกลิ่นเหม็นในห้องออกไป
เมื่อทำความสะอาดเสร็จ ทั้งสองก็ก้มหน้าถอยออกไป และแง้มประตูทิ้งไว้
หลังจากวางเมิ่งเชี่ยนโยวลงบนเตียง ก็พูดเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้านอนไปก่อนนะ ข้าไปเช็ดล้างแล้วจะรีบมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างรู้สึกผิด
หลังจากนำผ้าห่มอีกผืนห่มให้นางแล้ว ก็นำเสื้อผ้าของตนออกมาจากใน**บ แล้วหอบผ้าห่มผืนเดิมออกไปข้างนอก โยนไว้ในลานบ้าน
เมื่อตนไปห้องอาบน้ำเช็ดล้างตัวเสร็จก็กลับเข้าไปในห้อง
เมื่อได้ยินเสียงเขาเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังง่วงสะลืมสะลือก็พยายามลืมตาขึ้น เปิดผ้าห่มอีกฝั่งขึ้นเพื่อบอกให้เขานอนลง
หวงฝู่อี้เซวียนนอนลง เมิ่งเชี่ยนโยวมุดเข้าไปในอ้อมกอดเขา จนได้ท่าที่สบาย นางไม่ได้พูดอะไร แล้วหลับตาลงผล็อยหลับไปทันที
เมื่อได้ยินเสียงหายใจคงที่ของนาง หวงฝู่อี้เซวียนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วหลับตาลง
ความเหนื่อยล้าจากการวุ่นกับงานแต่งหลายวันมานี้ก็เข้าจู่โจม ผ่านไปไม่นานเขาก็ผล็อยหลับไป
หลังจากหลับสนิทไปหนึ่งตื่น ขณะที่สะลืมสะลืออยู่นั้นก็ได้ยินเสียงในจวนอ๋อง เมื่อลืมตาขึ้น เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตื่นแล้ว เขาพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ยังเช้าอยู่เลย นอนต่ออีกสักหน่อยเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หลับไปอีกครั้ง
หวงฝู่อี้เซวียนกลับนอนไม่หลับแล้ว ได้แต่เฝ้ามองหน้านางที่หลับพริ้มอยู่
หวงฝู่อวี้ยังคงตื่นแต่เช้าเช่นเคย หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้ว ก็รีบทานข้าวเช้า แล้วนั่งรถม้าไปโรงงานทันที
มันฝรั่งของฤดูนี้โตเต็มที่แล้ว ถูกเก็บเกี่ยวจนกองสูงเป็นภูเขาในโรงงาน ตั้งแต่ก่อนที่ยังหาตัวเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เจอ เมิ่งฉีก็ตัดสินใจเปิดโรงงานมันฝรั่งขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้หวงฝู่อวี้และเสี่ยวซือทั้งสองคนจึงยุ่งมาก ทุกๆ เช้าจะมาถึงที่โรงงานตั้งแต่ไก่โห่ ไม่เคยมีวันไหนขาดหรือสายเลย
ประตูโรงงานถูกเปิดแล้ว คนงานก็จับกลุ่มน้อยใหญ่กันเดินเข้าไปข้างใน เมื่อเห็นหวงฝู่อี้ลงจากรถม้า ต่างก็คารวะทักทายเขา
เขาเดินผ่านและพยักหน้าตอบทุกคน ในทุกวันเขาจะไปห้องทำงานปกติของเขาก่อน เพื่อนำรายชื่อคนงานมาเช็คชื่อในแต่ละโรงงาน หลังจากตรวจเรียบร้อยแล้ว ก็กลับไปที่ห้องของตนอีกครั้ง เพื่อนำรายการบัญชีออกมาตรวจทาน หลังจากตรวจแล้วไม่มีปัญหาจึงจดลงในสมุดบัญชี เผื่อไว้ให้เมิ่งฉีที่สองสามวันมาตรวจตราเข้ามาตรวจดู
เสี่ยวซือที่ให้คนเร่งรถม้าออกไปซื้อหมูซื้อผักก็กลับมาแล้ว สั่งคนนำเสบียงทั้งหมดลงไป หลังจากเข้าห้องไปแล้วก็นำรายการวัตถุดิบอาหารในมือยื่นให้หวงฝู่อี้
หลังจากหวงฝู่อี้ตรวจสอบละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ก็เขียนลงบนสมุดบัญชี
ตอนนี้ทั้งสองแบ่งงานกันชัดเจน เสี่ยวซือมีหน้าที่ซื้อเสบียงและดูแลงานนำเข้าส่งออก ส่วนหวงฝู่อวี้ดูแลเรื่องบัญชี เมื่อแบ่งงานกันชัดเจนแบบนี้ ทั้งสองจึงมีเวลาว่างเพื่อไปดูแลบริหารโรงงานด้วยกันมากขึ้น
หลังจากทำธุระเหล่านี้เสร็จ ทั้งสองจึงแยกกันไปตามโรงงานที่ตนดูแล
ทหารลาดตระเวนนายหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ พูดกับหวงฝู่อวี้ว่า “คุณชายรอง มีคนมารอพบท่านอยู่ข้างนอกขอรับ”