บทที่ 435.1 แม่นางชุดเขียวกินขนม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

มาถึงเกาะชิงเสีย เฉินผิงอันไปเอาจดหมายตอบกลับที่เว่ยป้อส่งมาจากภูเขาพีอวิ๋นที่เรือนกระบี่ ส่วนกระบี่บินเล่มนั้นก็พุ่งวูบบินกลับไปยังเขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างว่องไว

แยกกับกู้ช่านแล้ว เฉินผิงอันก็มาที่ห้องตรงประตูภูเขาเพียงลำพัง เปิดจดหมายลับออกอ่าน เนื้อหาเป็นการตอบกลับคำถามของเฉินผิงอัน ไม่เสียทีที่เป็นเว่ยป้อ ถามหนึ่งตอบสาม เขาตอบคำถามอีกสองข้อที่เฉินผิงอันถามวิญญูชนจงขุยและฟ่านจวินเม่าแห่งนครมังกรเฒ่ามาพร้อมกันด้วย เขียนยาวเหยียดถึงหมื่นกว่าตัวอักษร แบ่งเป็นกฎเกณฑ์การแบ่งแยกระหว่างหยินกับหยาง สาเหตุและโอกาสแบบใดที่ทำให้หลังจากคนตายไปแล้วได้กลายเป็นวัตถุหยินหรือภูตผี รายละเอียดปลีกย่อยมากมายของการไปจุติเกิดใหม่ที่เกี่ยวพันกับสองสถานที่อย่างปรโลกและนรกอเวจี ความต่างของทางเข้าสู่เส้นทางน้ำพุเหลืองซึ่งเกิดจากขนบธรรมเนียมของแต่ละพื้นที่ชักนำ ความต่างของกุ่ยไช ฯลฯ ล้วนอธิบายให้เฉินผิงอันฟังอย่างละเอียด

ช่วงท้ายของจดหมาย เว่ยป้อยังเขียนเวทลับด้วยลายมือตัวเองแนบมาอีกสองวิชา วิชาแรกคือวิชานอกรีตที่เชื้อพระวงศ์แคว้นเสินสุ่ยที่เว่ยป้อเคยอยู่ด้วยในปีนั้นเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี คือวิชาที่ยืมเอาแก่นของโชคชะตาน้ำในฟ้าดินมาตามหาแสงแห่งจิตวิญญาณที่แท้จริงเสี้ยวหนึ่งอย่างรวดเร็ว แล้วรวบรวมดวงวิญญาณของผู้ตายที่กระจัดกระจายเข้าไว้ด้วยกัน ก่อรูปร่างให้กับดวงวิญญาณใหม่อีกครั้ง หลังจากที่ฝึกวิชานี้ประสบความสำเร็จจะสามารถออกคำสั่งแก่ภูตผีที่อยู่ใกล้น้ำได้ทุกประเภท เป็นเหตุให้วิชาลับที่ไม่แพร่งพรายของแคว้นเสินสุ่ยวิชานี้มีเพียงราชครูและเซียนซือที่ถวายการรับใช้เชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่สามารถศึกษาค้นคว้าได้

อีกวิชาหนึ่งก็คือวิชานอกรีตอีกอย่างที่เว่ยป้อได้มาจากคลังยุทโธปกรณ์ของแคว้นเสินสุ่ยโดยบังเอิญ รากฐานของวิชานี้ใกล้เคียงกับวิชาของพ่อมดหมอผี เพียงแต่ผสมผสานวิธีควบคุมกระบี่ของเซียนกระบี่แคว้นสู่โบราณบางส่วนเข้าไป นำมาใช้ทลายสิ่งกีดขวางระหว่างหยินและหยาง พื้นที่ที่แสงกระบี่พุ่งไปถึงจะกลายเป็นสะพานและเส้นทางสายเล็กที่เชื่อมโยงโลกคนเป็นกับโลกคนตายเข้าด้วยกัน หากคิดจะสนทนากับคนที่ตายไปแล้วก็แค่ต้องตามหาคนมีชีวิตที่เกิดมาก็มีปราณหยินเข้มข้น ให้มาเป็นที่พักพิงยามที่วัตถุหยินย้อนกลับมายังโลกมนุษย์ ซึ่งคนที่ว่านี้ในจดหมายเว่ยป้อเรียกว่า ‘ศาลาพักเท้า’ จำเป็นต้องเป็นคนที่มีร่มเงาบรรพบุรุษปกป้อง สั่งสมบุญไว้มาก หรือไม่ก็เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในการฝึกตนซึ่งเกิดมาก็เหมาะกับการฝึกวิชาภูตผีถึงจะสามารถทนรับได้ ซึ่งหากเป็นอย่างหลังจะดีที่สุด ถึงอย่างไรฝ่ายแรกก็ต้องสูญเสียบุญกุศลที่บรรพบุรุษสั่งสมไป แต่ฝ่ายหลังกลับสามารถใช้สิ่งนี้มาพัฒนาตบะ เปลี่ยนจากภัยให้กลายเป็นโชค

เฉินผิงอันอ่านจดหมายลับฉบับนี้ซ้ำไปซ้ำมา

นักบัญชีท่านนี้ไม่รู้ว่า การเข่นฆ่าสองครั้งที่เกิดขึ้นแถบเกาะอวิ๋นอวี่และนครอวิ๋นโหลวกลายเป็นกระดาษที่ไม่อาจห่อไฟสำหรับเกาะชิงเสียแล้ว ตอนนี้คนทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนต่างก็พากันโหมข่าวเล่าลือว่าบนเกาะชิงเสียมีผู้ถวายงานหนุ่มต่างถิ่นที่มีพลังการต่อสู้น่าตะลึงเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่ครอบครองหุ่นเชิดองค์เทพจากยันต์สองตนที่สามารถสังหารผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเจ็ดได้อย่างสบายๆ ยังมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถึงสองเล่ม จุดที่น่ากลัวที่สุดก็คือคนผู้นี้ยังเชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิด ใช้หมัดหนึ่งต่อยให้ผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตหกตายไปต่อหน้า

เซียนซือด้านยันต์ ผู้ฝึกกระบี่เซียนดิน ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์?

นักบัญชีที่เฝ้าประตูให้กับเกาะชิงเสียผู้นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่?

ทันใดนั้นพลังอำนาจของหลิวจื้อเม่าที่อยู่บนเกาะกงหลิ่วก็พลันเพิ่มพูน หญ้ายอดกำแพงจำนวนมากต่างก็เริ่มโน้มเอียงตามลมเข้าหาเกาะชิงเสีย

จวนชุนถิง บนโต๊ะอาหารของวันนี้ สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยกับกู้ช่านที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้กลับมากินข้าวที่บ้านว่า “ช่านช่าน อย่าได้เลียนแบบเฉินผิงอัน”

กู้ช่านกำลังสวาปามอาหาร เสียงที่พูดจึงอู้อี้ “ไม่เลียนแบบ ไม่เลียนแบบแน่นอน”

สตรีแต่งงานแล้วยิ้มอย่างปลาบปลื้ม หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคราบมันตรงมุมปากให้กับบุตรชาย เอ่ยเบาๆ ว่า “คนดีอย่างเฉินผิงอัน ในปีนั้นแม่ย่อมต้องชอบอยู่แล้ว แต่เมื่ออยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเรา คนดีมีชีวิตอยู่ได้ไม่ยืนยาว หายนะจะตามติดนับพันปี นี่ไม่ใช่คำพูดไม่น่าฟังอะไรหรอกนะ แม้แม่จะไม่เคยเดินออกจากจวนชุนถิงไปมองทัศนียภาพด้านนอก แต่ก็คอยเรียกให้พวกสาวใช้มาคุยเล่นให้ฟังอยู่ทุกวัน รู้ดีถึงความต่างระหว่างทะเลสาบซูเจี่ยนกับตรอกหนีผิงยิ่งกว่าเฉินผิงอัน อยู่ที่นี่ พวกเราไม่ใจไม้ไส้ระกำไม่ได้”

กู้ช่านพยักหน้ารับ “ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร ใต้หล้านี้มีเฉินผิงอันแค่คนเดียว ข้าเลียนแบบเขาไม่ได้หรอก แล้วก็เลียนแบบไม่เหมือนด้วย”

สุดท้ายกู้ช่านเงยหน้าเอ่ยว่า “แล้วนับประสาอะไรกับที่ใต้หล้านี้ก็มีกู้ช่านแค่คนเดียว!”

สตรีแต่งงานแล้วพลันถามขึ้น “ก่อนหน้านี้แม่รู้แค่ว่าเฉินผิงอันได้ดิบได้ดีมากแล้ว แต่ได้ดีแค่ไหนกันแน่ เขาเฉินผิงอันไม่บอก แม่ก็ไม่สะดวกจะถามมาก ตอนนี้ได้ยินพวกแม่นางเปิดสาบเสื้อในจวนพูดคุยกัน ดูเหมือนว่าต่อให้เฉินผิงอันคิดจะยึดครองเกาะใหญ่แห่งหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยนก็มีความสามารถมากพอเหลือแหล่? ได้ยินมาว่าคืนนั้นแม้แต่ลวี่ไช่ซางก็ยังเกือบจะถูกเฉินผิงอันสังหารด้วยกระบี่เดียว?”

กู้ช่านคิดแล้วก็ตอบว่า “ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ ข้ารู้แค่ว่าอาวุธกึ่งเซียนเล่มนั้นมีชื่อว่าเจี้ยนเซียน ฟังจากหลิวจื้อเม่า ดูเหมือนตอนนี้เฉินผิงอันจะยังไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างเต็มที่ ไม่อย่างนั้นเซียนดินโอสถทองทุกคนในทะเลสาบซูเจี่ยน ต่อให้ร่วมมือกันมาสามคนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉินผิงอัน ต่ำกว่าเซียนดินลงมา แค่กระบี่เดียวก็จบเรื่อง แต่เมื่อเทียบกับกระบี่เซียนที่ยังหลอมได้ไม่สมบูรณ์แบบเล่มนี้ เห็นได้ชัดว่าหลิวจื้อเม่ากริ่งเกรงในยันต์ตระกูลเซียนแผ่นนั้นมากกว่า เขาถามข้าว่ารู้ความเป็นมาของยันต์แผ่นนี้หรือไม่ ข้าบอกไปแค่ว่าไม่รู้ มีความเป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นหนึ่งในความสามารถก้นกรุของเฉินผิงอัน อันที่จริงตอนนั้นที่หนีชิวน้อยถูกข้าส่งตัวไปอยู่ข้างกายเฉินผิงอันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดคิด กลับถูกเจ้าพวกมีตาแต่ไร้แววมาทำลายอารมณ์ท่องเที่ยวทะเลสาบของเฉินผิงอันเสียได้ ดังนั้นหนีชิวน้อยจึงได้เห็นวิชาอภินิหารของขุนพลเทพทั้งสององค์นั้นกับตาตัวเอง หนีชิวน้อยบอกว่าดูไม่เหมือนยันต์เซียนของนักพรตพรรคมหายันต์สักเท่าไหร่ สิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจกลางของยันต์ไม่ใช่แค่สติปัญญาเสี้ยวหนึ่ง แต่เหมือนเป็นรากฐานร่างทองขององค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำเลย”

 สตรีแต่งงานแล้วกล่าวอย่างสะท้อนใจ “ที่แท้เฉินผิงอันก็ได้ดิบได้ดีถึงเพียงนี้”

กู้ช่านกินไม่เรียบร้อย เวลานี้คราบมันจึงเปื้อนเต็มหน้า เขาเอียงศีรษะพูดกลั้วหัวเราะว่า “ก็ใช่น่ะสิ ขอแค่เฉินผิงอันต้องการทำอะไร เขาก็ทำได้ทั้งนั้น เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด มีอะไรให้ต้องแปลกใจกัน”

สตรีแต่งงานแล้วมองบุตรชายที่ไร้เดียงสาก็ให้รู้สึกจนใจเล็กน้อย เรื่องบางอย่าง ถึงอย่างไรก็ควรต้องให้คนที่เป็นแม่อย่างนางคิดให้มากจึงจะได้ นี่ไม่เกี่ยวกับว่าความสามารถในการเป็นแม่บ้านแม่เรือนของนางมีมากหรือน้อย

ตอนที่กู้ช่านพาหนีชิวน้อยมุ่งหน้าไปชมเรื่องสนุกที่เกาะกงหลิ่ว สตรีแต่งงานแล้วก็มาที่ห้องโถงใหญ่ในเรือนด้านหลังของจวนชุนถิง เรียกแม่นางเปิดสาบเสื้อหลายสิบคนของจวนให้มารวมตัวกัน จากนั้นก็ตวาดสั่งสอนอบรมพวกนางไปรอบหนึ่ง ไม่อนุญาตให้ใครปากมากต่อหน้าเฉินผิงอัน หากถูกจับได้จะโดนโบยจนตายทันที อีกทั้งนางยังสั่งให้คนไปเปิดเอกสารลับของเรือนควันธูปที่มีเฉพาะในจวนชุนถิง หากใครที่มีญาติซึ่งได้เป็นผู้ฝึกตนบนเกาะชิงเสียแล้ว ก็จะให้เถียนหูจวินสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะทิ้งด้วยตัวเอง หากไม่ได้อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน แต่เป็นตระกูลที่ได้รับความกรุณาจากจวนชุนถิงจนร่ำรวยสูงศักดิ์ขึ้นมา ก็จะต้องถูกตรวจสอบทรัพย์สมบัติแล้วมอบให้สกุลฟ่านที่เป็นเจ้าเมืองนครน้ำบ่อจัดการ

ยามพลบค่ำของวันนี้ เฉินผิงอันไปเคาะประตูใหญ่ของเรือนที่ปกติธรรมดาเรือนหนึ่งของเกาะชิงเสีย นี่คือสถานที่ในการฝึกตนของผู้ถวายงานลำดับสองคนหนึ่ง ชื่อที่แท้จริงของเขาไม่มีใครรู้มานานแล้ว แซ่หม่า มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนผี ว่ากันว่าเคยเป็นคนแบกอาหารในครอบครัวเชื้อพระวงศ์ของแคว้นหนึ่งที่ล่มสลายไปแล้ว ซึ่งก็คือหนึ่งในนักการที่อยู่ใน ‘ขบวนเดินทาง’ ยามที่ฮ่องเต้ออกตรวจตราบ้านเมือง ไม่รู้ว่ากลายเป็นผู้ฝึกตนได้อย่างไร อีกทั้งยังก้าวเดินทีละก้าวจนกลายมาเป็นผู้ถวายงานอาวุโสของเกาะชิงเสียอีกด้วย

ในบรรดาผู้ฝึกตนอิสระตามป่าเขาที่เหล่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลดูแคลน ผู้ฝึกตนผีเป็นผู้ฝึกตนอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ได้รับการต้อนรับมากที่สุด เป็นเหตุให้เรือนหลังนี้ตั้งอยู่ในแถบพื้นที่ที่ค่อนข้างห่างไกลของเกาะชิงเสีย ปราณวิญญาณไม่ถือว่าเปี่ยมล้น ทว่าปราณหยินกลับเหลือเฟือ เพราะยึดครองบ่อน้ำประหลาดที่ทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่งจะต้องมีลมหยินพัดโชยผ่านมา บริเวณโดยรอบเรือนมักจะมีปราณหยินอึมครึมล้อมเวียนวน ไม่เคยไปมาหาสู่กับเพื่อนบ้านใกล้เคียง ช่วงแรกเริ่มสุดผู้ฝึกตนผีท่านนี้อยู่ปลายแถวของบรรดาผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเกาะชิงเสีย ทว่าเมื่อเกาะชิงเสียเขมือบกลืนเกาะใหญ่ใต้อาณัติได้สิบกว่าแห่ง เจ้าเกาะใหญ่บางแห่งและผู้ถวายงานบางส่วนที่รักตัวกลัวตายก็ได้เลือกที่จะพึ่งพาสกัดคงคาเจินจวินซึ่งเป็นดั่งดวงตะวันกลางนภา ไปๆ มาๆ นานวันเข้า ลำดับเก้าอี้อิทธิพลเดิมของเกาะชิงเสียจึงขยับไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง ยังดีที่หลิวจื้อเม่าไม่ได้หักเงินเดือนเทพเซียนของเหล่าผู้ถวายงานเฒ่าที่มีคุณความชอบ กลับกันยังเพิ่มให้อีกหนึ่งถึงสองส่วน นี่ถึงไม่ทำให้ ‘จิตใจของเหล่าขุนพลหนาวเหน็บ’

คนเฝ้าประตูคือหญิงชราที่ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ทั่วร่างอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นคาว ทว่านางกลับมีผมสีนิลเต็มศีรษะ ดวงตาสีขาวหิมะ พอเห็นนักบัญชีแซ่เฉินผู้นี้ หญิงชราก็รีบเค้นรอยยิ้มประจบเอาใจ ระหว่างริ้วรอยยับย่นบนใบหน้าที่แห้งตอบของนางยังมีสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ คล้ายหนอนหรือยุงร่วงเผลาะๆ ลงมา หญิงชรารู้สึกเขินอายเล็กน้อยจึงรีบใช้ปลายรองเท้าปักลวดลายบุปผาแอบบดขยี้พวกมัน ผลกลับกลายเป็นว่าเกิดเสียงเปรี๊ยะปร๊ะดังลั่น นี่ไม่ได้น่าสยดสยอง แต่น่าขยะแขยง

หญิงชราเองก็สัมผัสได้ถึงข้อนี้ ถึงได้หน้าแดงด้วยความอับอาย ริมฝีปากเผยอเบาๆ แต่พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

เฉินผิงอันสีหน้าเป็นปกติ เขามองออกว่า ‘หญิงชรา’ ที่ปราณหยางบางเบา สติปัญญาถดถอยตรงหน้าผู้นี้ แท้จริงแล้วเป็นสตรีที่อายุแค่ยี่สิบต้นๆ เท่านั้น

สตรีบนโลกล้วนมีใจรักสวยรักงาม

นางเขย่ากระพรวนพวงหนึ่งที่อยู่ข้างประตู พูดกับเฉินผิงอันว่า “อีกไม่นานเจ้านายของข้าก็จะออกมา รบกวนท่านเฉินรอสักครู่”

นางลังเลเล็กน้อย ก่อนจะชี้ไปยังห้องมืดมิดที่อยู่ด้านข้างประตูใหญ่ของเรือน “บ่าวคงไม่อยู่ตรงนี้ให้เกะกะสายตา หากท่านเฉินนึกเรื่องอะไรขึ้นได้ก็แค่เอ่ยเรียกสักคำ บ่าวที่อยู่ในห้องด้านข้างนั้นจะรีบออกมาทันที”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เอ่ยถามว่า “ขอถามว่าข้าควรจะเรียกฮูหยินน้อยว่าอย่างไร? วันหน้าข้าอาจต้องมาเยี่ยมเยือนที่เรือนบ่อยๆ จะให้เรียกว่าเจ้าๆๆ ทุกครั้งคงไม่ดี”

หญิงชราที่ใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง นางไม่กล้าสบตากับคนหนุ่มตรงหน้าด้วยสภาพเช่นนี้ จึงหันหน้าไปอีกทาง พูดตอบเสียงเบาว่า “ท่านเฉินสามารถเรียกบ่าวว่า หงซู ซูจากซูถังน้ำตาลกรอบ”

ควันดำเส้นหนึ่งกลิ้งหลุนๆ มาถึง พอหยุดลง บุรุษร่างเล็กเตี้ยผู้หนึ่งก็ปรากฏตัว ชายด้านล่างของอาภรณ์และในชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างยังคงมีควันดำลอยอบอวลออกมา บุรุษมีสีหน้าเฉยเมย หันไปขมวดคิ้วพูดกับหญิงชราคนเฝ้าประตู “นังคนชั้นต่ำไม่รู้จักดีชั่ว ยังมีหน้ามาคุยเล่นกับท่านเฉินอยู่ตรงนี้อีกรึ! ยังไม่รีบไสหัวกลับเข้าไปในห้องอีก ไม่กลัวว่าจะทำให้สายตาของท่านเฉินสกปรกหรือไร!”

นางรีบเข้าไปหลบในห้องด้านข้างทันที ไปหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ กับหน้าต่างบานเล็ก ไม่มีความกล้าที่จะมองพวกเขาแม้สักครั้ง หวังเพียงว่าจะพอได้ยินบทสนทนาของทั้งสองฝ่ายบ้าง

เมื่อเกาะชิงเสียเจริญรุ่งเรืองขึ้นในทุกๆ วัน จากที่เป็นผู้ถวายงานลำดับต้นๆ นายท่านก็กลายมาเป็นผู้ถวายงานปลายแถวลำดับล่างสุดของขั้นสอง บวกกับที่เกาะชิงเสียบุกเบิกจวนใหม่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเกาะใหญ่อีกสิบเอ็ดเกาะโดยรอบยังถูกควบรวมเข้ามาอยู่ใต้อาณัติของเกาะชิงเสีย หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้จึงแทบจะไม่มีแขกมาเยี่ยมเยียนที่จวน ผู้ฝึกตนที่สนิทสนมกันก็ไปอยู่ที่อื่น ใช้ชีวิตอย่างหรูหราสุขสบายนานแล้ว ผู้ฝึกตนที่ไม่คุ้นเคยก็ไม่ยินดีมาเยือนสถานที่ที่เงียบเหงาแห่งนี้ นางเฝ้าประตูเรือนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทั้งในและนอกจวนสั่งห้ามไม่ให้ข้ารับใช้พูดคุยกัน ดังนั้นเวลาปกติ ต่อให้แค่มีนกบินผ่านเรือนมาส่งเสียงจิ๊บๆ จั๊บๆ ให้ได้ยิน ก็ยังทำให้นางหวนระลึกถึงได้เป็นนาน

เข้าเรือนมาแล้ว เฉินผิงอันก็บอกให้ผู้ฝึกตนผีรู้ถึงจุดประสงค์ที่มาเยือน

ผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าเงียบงันไม่เอ่ยอะไร ทว่าในใจกลับเริ่มไม่สบอารมณ์ นักบัญชีที่ทุกวันนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทะเลสาบซูเจี่ยนผู้นี้ค่อนข้างเกินกว่าเหตุแล้ว ถึงขนาดมาเยือนถึงเรือนเพื่อขอเศษซากดวงวิญญาณจากการ ‘เก็บของดี’ ในปีนั้นที่ถูกตนพันธนาการเอาไว้ และดวงวิญญาณที่ถูกเขากักขังไว้ในธงเรียกวิญญาณและในบ่อน้ำบ่อนั้นก็คือหนึ่งในมหามรรคาของเขา ภูตผีหลายสิบตนในบรรดานั้น ตอนมีชีวิตอยู่เคยเป็นถึงห้าขอบเขตกลาง และยังถูกเขานำมาหลอมเป็นขุนพลผี ตอนนี้ต่างคนต่างก็มีหน้าที่เป็นของตัวเองแล้ว จะขาดใครไม่ได้สักตนเดียว

ต่อให้คนหนุ่มบอกว่ายินดีใช้เงินเทพเซียนซื้อพวกมัน แต่นี่ใช่เรื่องของเงินงั้นหรือ?

เจ้าคนแซ่เฉินผู้นี้ช่างไม่เข้าใจกฎเกณฑ์บนมรรคาบ้างเลย หรือว่าคิดจะใช้อำนาจรังแกคนอื่นมาตั้งแรกเริ่มอยู่แล้ว? เจ้ามีปัญญาตบบ้องหูมารน้อยกู้ตั้งสองทีไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลองไปถามกู้ช่านดูอีกครั้งสิว่าต้องใช้เงินเทพเซียนมากน้อยแค่ไหนถึงจะสามารถซื้อชีวิตของสตรีแต่งงานแล้วในจวนชุนถิงผู้นั้นได้? ดูสิว่ากู้ช่านจะยอมตอบเจ้าหรือไม่!

—–