บทที่ 1163 ไร้ศักดิศรี และไร้ยางอาย

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

ระหว่างที่ศรีษะของโทคุงาวะฮิโรชิกระเด็นออกจากร่าง และร่วงลงสู่พื้นดินนั้น ภายในสนามประลองก็มีแต่ความเงียบสงัด..
  ไม่มีเสียงคนพูดจามีเพียงแค่เสียงลมหายใจของผู้คนรอบสนามประลองเท่านั้น เวลานี้ทั้งคนของตระกูลซัน และคนของตระกูลเฉิน ต่างก็พากันถอยหลังออกไปอย่างเงียบๆ เพราะในสนามประลองนั้นเป็นไปด้วยความดุเดือด..
  ตลอดการประลองนั้น..ต่างก็ผลัดกันได้เปรียบ และผลัดกันเสียเปรียบอยู่ตลอดเวลา แต่หลังจากที่หลิงหยุนได้แสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนออกมาให้คู่ต่อสู้ได้เห็น นับจากนั้นก็ได้กลายเป็นช่วงเวลาฝันร้ายของเหล่าศัตรู..
  ……..
  “เด็กนั่นสามารถเอาชนะพญางูโอโรชิได้ง่ายถึงเพียงนี้เชียวรึ”   หลงฮ่าวหลานที่ยืนดูการประลองอยู่บนท้องฟ้าถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ! นั่นเพราะความสามารถ และความแข็งแกร่งที่หลิงหยุนแสดงออกมานั้น อยู่ในระดับที่เหนือความคาดหมายของเขาอย่างมาก..
  แม้หลงฮ่าวหลานจะมั่นใจอยู่แล้วว่าการประลองในยกนี้หลิงหยุนจะต้องเป็นผู้ชนะแต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะสามารถเอาชนะได้รวดเร็ว และง่ายดายถึงเพียงนี้!
  “ดูเหมือนใครก็ไม่สามารถหยุดตระกูลหลิงที่กำลังจะขึ้นมาผงาดอีกครั้งได้..”
  เย่ชิงซินแอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและนางเองก็คิดเช่นเดียวกับหลงฮ่าวหลาน..
  แต่แล้วหลงฮ่าวหลานก็พูดออกมาด้วยความรู้สึกประหลาดใจ“เปลวไฟที่ลุกโชนอยู่บนกระบี่ของหลิงหยุนนั้น ข้ายังพอเข้าใจว่าเป็นไปได้ แต่ที่ไม่เข้าใจคือสายฟ้าพวกนั้นมาจากใหนกันนะ”   หลงฮ่าวหลานนั้นเข้าสู่ระดับหกขั้นพลังเหนือธรรมชาติแล้วเรื่องเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจนัก แต่เขาไม่เข้าใจว่าสายฟ้ามากมายบนตัวกระบี่โลหิตแดนใต้นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
  “เด็กนั่นยังต้องมีไพ่ในมือมากมายกว่านี้เป็นแน่เขาประลองมาร่วมชั่วโมงแล้ว แต่กลับไม่มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของเขายังดูราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น..”
  หลงฮ่าวหลานได้แต่นึกเสียดายที่เหล่านินจาทั้งห้าถูกสังหารตายเร็วเกินไปทำให้เขาไม่ได้เห็นไพ่ในมือที่หลิงหยุนยังไม่ได้นำออกมาใช้..
  “เด็กคนนี้จะทำให้ตระกูลหลิงกลายเป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คนอีกครั้ง.”
  เย่ชิงซินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของหลงฮ่าวหลานและได้แต่ครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจเงียบๆ
  ……  ด้านล่างภายในสนามประลองนั้นหลังจากที่หลิงหยุนสังหารโทคุงาวะ ฮิโรชิตายแล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกวางใจแต่อย่างใด แต่จิตหยั่งรู้ของเขายังคงจับอยู่ที่ชิ้นเนื้อซึ่งถูกแรงระเบิดของยันต์เตโชกระจัดกระจาย!
  เวลานี้เลือดและเนื้อที่พญางูโอโรชิเขมือเข้าไปนั้นได้ถูกผงละลายศพกัดกร่อนจนกลายเป็นน้ำสีเหลือ ส่วนพลังปราณภายในร่างก็ค่อยๆระเหยไปกลางอากาศ
  แต่ถึงอย่างนั้น..หลิงหยุนก็รู้ดีว่าจิตวิญญาณของพญาอสรพิษโอโรชินั้นยังไม่ได้ถูกสังหาร เขาจึงได้พยายามใช้จิตหยั่งรู้สำรวจหาเงาของมัน..
  แต่ถึงแม้ว่าหลิงหยุนจะเปิดจิตหยั่งรู้ออกขั้นสุดสำรวจจนทั่วบริเวณแล้วแต่ก็ไม่พบเงาของพญางูโอโรชิเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขาได้แต่นึกหวั่นใจอยู่เงียบๆ
  ‘หรือจิตวิญญาณของพญางูโอโรชิจะถูกเผาผลาญไปกับเปลวเพลิงของยันต์เตโชแต่ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นไปได้!’   หลิงหยุนได้แต่ครุ่นคิดหาคำตอบอยู่ในใจ..
  แต่ในเมื่อยังไม่สามารถหาจิตวิญญาณของพญางูโอโรชิได้พบเขาจึงล้มเลิกความตั้งใจนี้ไปก่อน เพราะยังมีเรื่องที่สำคัญกว่ารออยู่ตรงหน้า..
  หลิงหยุนกำกระบี่โลหิตแดนใต้ไว้ในมือแน่นส่วนกระบี่เหินเงาธนูก็บินตามร่างของเขาไปอย่างใกล้ชิด หลิงหยุนเดินตรงเข้าไปหาเฉินจิ้งเฉวียนอย่างไม่หวาดหวั่น พร้อมกับพูดขึ้นว่า..
  “เฉินจิ้งเฉวียน..ข้าเป็นฝ่ายชนะการประลองสามในห้ายก ส่วนตระกูลซันกับตระกูลเฉินเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”
  เมื่อได้ยินหลิงหยุนประกาศออกมาเช่นนั้นร่างของซันเจิ้นหวู่ก็ถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างท้อแท้ทันที
  ‘จบสิ้นแล้ว!’   ‘ตระกูลซันกับตระกูลเฉินคงต้องจบสิ้นแล้ว!’
  นี่คือความคิดที่ซันเจิ้นหวู่ครุ่นคิดวนเวียนอยู่ในหัวเวลานี้..
  “ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
  เฉินจิ้งเฉวียนที่นิ่งเงียบไปนานเมื่อได้ยินหลิงหยุนถามขึ้นมาเช่นนั้น จู่ๆ ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง พร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุน และพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน..
  “เจ้าเด็กชั่วช้า!ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แม้แต่นินจาขั้นเงาที่เก่งกาจทั้งห้าคน ยังถูกเจ้าสังหารตายจนหมด!”
  แต่ในระหว่างนั้นเฉินจิ้งเฉวียนก็ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมกับพูดขึ้นอย่างไร้ยางอายว่า “แต่ถึงแม้เจ้าชนะการประลองทั้งสามยก.. แล้วจะมีความหมายอะไรอย่างนั้นรึ”
  หลิงหยุนรู้แต่แรกแล้วว่าเฉินจิ้งเฉวียนจะต้องไม่ยอมรับผลการประลองเป็นแน่แต่เขาเองก็ไม่รีบร้อนนัก จึงได้แต่ตอบกลับไปยิ้มๆ
  “หึ!เจ้าพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
  “ตามกฏของการประลองแล้ว..ในเมื่อข้าเป็นฝ่ายชนะถึงสามยก ก็ย่อมหมายความว่าตระกูลหลิงเป็นฝ่ายชนะในการประลองครั้งนี้ ฉะนั้น.. ชะตากรรมของตระกูลซันกับตระกูลเฉินย่อมต้องตกอยู่ในกำมือของตระกูลหลิง!”
  หลิงหยุนแสยะยิ้มที่เย็นยะเยือกก่อนจะพูดต่อว่า“เอาล่ะ.. ข้าจะให้โอกาสกับเจ้าอีกครั้ง หากเจ้ากับซันเจิ้นหวู่ฆ่าตัวตายต่อหน้าข้า ข้ารับปากจะไว้ชีวิตผู้บริสุทธิ์ของทั้งสองตระกูล!”
  หลิงหยุนรับปากเช่นนั้นเขาย่อมต้องทำตามคำพูดอย่างแน่นอน แม้เขาพูดว่าจะทำลายล้างตระกูลซันกับตระกูลเฉิน แต่เขาก็จะไม่สังหารผู้หญิง เด็ก และผู้ที่ไม่มีวรยุทธโดยเด็ดขาด และจะปล่อยคนเหล่านี้ไปอย่างแน่นอน!
  แต่ไม่มีทางที่เขาจะไว้ชีวิตเฉินจิ้งเทียนเฉินไห่เผิง และยอดฝีมือในขั้นเซียงเทียนของทั้งสองตระกูลแน่ หากจะไว้ชีวิต.. อย่างน้อยก็ต้องทำลายวรยุทธของคนเหล่านั้นเสียก่อน!
  เพราะทั้งสองตระกูลนั้นต่างก็เป็นศัตรูคู่แค้นของตระกูลหลิงหากหลิงหยุนไว้ชีวิตก็เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่า สักวันคนเหล่านี้ก็ต้องกลับมาแว้งกัดตระกูลหลิง และคนในตระกูลหลิงอีกอย่างแน่นอน!
  “ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
  เฉินจิ้งเฉวียนหัวเราะเสียงดังอีกครั้ง..
  “หึ..เจ้าเด็กชั่วช้า! นี่เจ้าคิดจะให้คนแก่อย่างข้าฆ่าตัวตายต่อหน้าเจ้า ความคิดนี้ไม่ไร้เดียงสาไปหน่อยงั้นรึ”
  เฉินจิ้งเฉวียนร้องตะโกนเสียงดัง“ต่อให้การประลองจบลงแล้ว ข้า – เฉินจิ้งเฉวียนก็จะไม่มีวันปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดไปถึงวันพรุ่งนี้แน่!”
  “ตราบใดที่ข้า– เฉินจิ้งเฉวียนยังมีชีวิตอยู่ ตระกูลเฉินกับตระกูลซันจะไม่มีวันยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด!”   ในที่สุดเฉินจิ้งเฉวียนก็ยอมฉีกหน้าตัวเองได้อย่างไร้ยางอายที่สุด!
  “เช่นนั้นก็ดี!”
  หลิงหยุนคร้านที่จะพูดมากอีกเพราะเขาเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าผลจะต้องลงเอยเช่นนี้..
  “เอาล่ะ..ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็มาประลองกันต่อได้เลย ไม่ตายไม่เลิก!”
  หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมกับร้องเตือนเฉินจิ้งเฉวียนไปว่า“เฉินจิ้งเฉวียน.. เจ้าอย่าลืมว่าการประลองในครั้งนี้เป็นเงื่อนไขที่เจ้าเป็นฝ่ายเสนอมาเอง แต่ในเมื่อเจ้าตลบตะแลงไม่ยอมปฏิบัติตามกฏเกณฑ์เช่นนี้ ย่อมเท่ากับว่าเจ้าตระบัดสัตย์ ทำเรื่องไร้ยางอาย และไร้ศักดิ์ศรีอย่างที่สุด เช่นนั้นแล้ว.. นับจากนี้ไปก็อย่าได้ตำหนิว่าข้าเหี้ยมโหดกับเจ้าก็แล้วกัน!”
  หลังจากที่เฉินจิ้งเฉวียนได้ฟังคำพูดสบประมาทของหลิงหยุนใบหน้าเหี่ยวย่นซึ่งบ่งบอกถึงความชรานั้น ก็ได้เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ และบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ  นั่นเพราะตามกฏของเหล่าตระกูลใหญ่ที่มีมาช้านานนั้นต่อให้คืนนี้ตระกูลซันกับตระกูลเฉินสามารถสังหารหลิงหยุนได้ แต่หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ทั้งสองตระกูลก็คงไม่สามารถขึ้นสู่อันดับของตระกูลใหญ่ได้อีก..
  และผู้ใดในยุทธภพพบเห็นก็ย่อมสามารถสังหารคนของทั้งสองตระกูลได้อย่างไร้ความผิด หนำซ้ำทั้งสองตระกูลยังจะต้องถูกเหยียดหยันจากเหล่าชาวยุทธอีกด้วย!
  แต่หลิงหยุนก็รู้ดีว่า..ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็กล้าที่จะทำเรื่องไร้ยางอายเยี่ยงนี้อย่างแน่นอน!
  เช่นนั้นแล้ว..หากคืนนี้หลิงหยุนไม่ต้องการที่จะสู้ต่อ และเพียงแค่พยายามหนีรอดออกไปจากที่นี่ให้ได้ เพื่อไปป่าวประกาศเรื่องนี้ให้กับชาวยุทธภพ และชาวโลกได้รู้ เพียงแค่นี้ตระกูลซันกับตระกูลเฉินก็ย่อมไม่เหลือที่ยืน และต้องจบสิ้นลงเช่นกัน!
  แต่แน่นอนว่าหลิงหยุนไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่เขาเตรียมตัวมาอย่างหนักเพื่อทำลายล้างตระกูลซัน และตระกูลเฉินให้ซินซาก หากปล่อยพวกมันไปเช่นนี้ จะสามารถทำให้ประเทศนี้เกิดการสั่นสะเทือนได้อย่างไรกันเล่า!
  “เจ้าเด็กชั่วช้า!เจ้าอย่าได้ปากดีไปนัก!”
  เฉินจิ้งเฉวียนหันหน้าไปทางยอดฝีมือคนอื่นๆพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เจ้าคงจะยังไม่รู้สินะว่าเหล่ายอดฝีมือที่อยู่ด้านหลังข้านั้นเป็นใครกันบ้าง”
  “ถ้าเช่นนั้น..ข้าก็จะแนะนำให้เจ้าได้รู้จัก!” novel-lucky
  เฉินจิ้งเฉวียนร้องบอกหลิงหยุนพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปทางหลวงจีนจากวัดเส้าหลิน “ท่านผู้นี้คือไต้ซือแห่งวัดเส้าหลิน เขาก็คืออาจารย์ของเจี้ยนห่าวกับเจี้ยนจื่อ!”
  “ส่วนท่านผู้นี้คือนักบวชเลี่ยหั่วแห่งสำนักเขาหลงหู่”เฉินจิ้งเฉวียนประกาศพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปทางนักบวชจากเขาหลงหู่ที่ต้องการมาแก้แค้นให้กับศิษย์ของตน..   “ส่วนท่านผู้นี้นามว่าจื่อยู่วมาจากสำนักกระบี่คุนหลุน เขามาเพื่อแก้แค้นให้กับศิษย์ร่วมสำนักที่ถูกเจ้าฆ่าตาย!”
  จากนั้นเฉินจิ้งเฉวียนก็หันไปทางตี๋ยั่วถัง“และท่านผู้นี้มีนามว่าตี๋ยั่วถัง.. เขาคือเซียนกระบี่แห่งสำนักกระบี่เทียนซัน!”
  หลังจากที่ได้ฟังเฉินจิ้งเฉวียนแนะนำเหล่ายอดฝีมือทั้งสี่สายตาของหลิงหยุนก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของตี๋ยั่วถัง เพราะชื่อสำนักกระบี่เทียนซันทำให้เขานึกถึงนางฉินจิวยื่อแม่บุญธรรมของตน..
  ตี๋ยั่วถังสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารที่รุนแรงของหลิงหยุนจึงได้แต่แอบหวั่นใจอยู่เงียบๆ และรู้สึกหงุดหงิดที่เฉินจิ้งเฉวียนแนะนำชื่อของตนเองในเวลานี้ เพราะหากเฉินจิ้งเฉวียนแนะนำตนก่อนการประลองตั้งแต่ยกแรก ตี๋ัยั่วถังคงจะรู้สึกภูมิอกภูมิใจในชื่อเสียงของสำนักกระบี่เทียนซันมากกว่นี้
  เพราะหลังจากที่ได้เห็นการประลองของหลิงหยุนในยกที่สามแล้วเขาก็รู้ตัวว่าไพ่ในมือของตนนั้นคงจะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงหยุน!
  และการที่เฉินจิ้งเฉวียนเลือกที่จะแนะนำทุกคนในเวลานี้ก็เพื่อบีบให้ทุกคนต้องร่วมต่อสู้กับเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย และห้ามล่าถอยไปก่อนนั่นเอง!
  นับได้ว่า..ครั้งนี้เฉินจิ้งเฉวียนยอมทำเรื่องที่ไร้ยางอาย และไร้ศักดิ์ศรีอย่างที่สุด!
  “เจ้าหนู..ครั้งนี้ข้ากับยอดฝีมือทั้งสี่จะไม่ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดกลับไปได้แน่!”
  “ก็ดี!”
  หลังจากที่ได้ฟังเฉินจิ้งเฉวียนแนะนำยอดฝีมือทั้งสี่จบแล้วต่อให้ทั้งหมดต้องการจะถอนตัวในตอนนี้ หลิงหยุนก็คงไม่ยอมปล่อยให้ทุกคนกลับออกไปเช่นกัน เพราะทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีความแค้นส่วนตัวกับเขาเกือบทั้งสิ้น..
  หลังจากได้ฟังเฉินจิ้งเฉวียนแนะนำทุกคนแล้วหลิงหยุนถึงกับยิ้มออกมา และพูดขึ้นว่า “เฉินจิ้งเฉวียน.. คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะวางแผนมาได้รอบคอบถึงเพียงนี้! ยอดฝีมือที่มาช่วยเจ้าครั้งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นศัตรูของข้าทั้งสิ้น!”
  นอกเหนือจากความแค้นส่วนตัวและความแค้นของตระกูลแล้ว เฉินจิ้งเฉวียนยังนับเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เฉลียวฉลาด และน่ากลัวสำหรับหลิงหยุนอย่างมาก..
  เฉินจิ้งเฉวียนคร้านที่จะพูดจากับหลิงหยุนอีกเขายกมือขึ้นส่งสัญญาณพร้อมกับร้องตะโกนบอกไปว่า
  “ทุกท่าน..ได้เวลาลงมือแล้ว!”
  จากนั้น..นักรบตระกูลเฉินที่อยู่ข้างๆ ก็ได้หยิบทวนสีม่วงทองส่งให้เฉินจิ้งเฉวียนทันที
  หลิงหยุนจ้องมองทวนสีม่วงทองที่มีความยาวกว่าหนึ่งเมตรแปดสิบเซ็นติเมตรและมีขนาดใหญ่เท่ากับท่อนแขนของผู้ใหญ่ ส่วนโลหะที่ใช้ทำทวนนั้นก็เป็นโลหะชนิดเดียวกันกับพลองม่วงทองของเฉินเจี้ยนห่าว..
  เฉินจิ้งเฉวียนคว้าทวนม่วงทองและกระโดดเข้าไปในสนามประลองทันที!   “อามิตตาพุทธ..”
  หลวงจีนจื้อกงเห็นเฉินจิ้งเฉวียนกระโดดเข้าไปเช่นนั้นเขาก็ไม่ลังเลที่จะถือคฑาทองเดินตามเข้าไปในสนามประลองด้วยทันที และเข้าไปยืนเคียงข้างเฉินจิ้งเฉวียน..
  ตามมาด้วยนักพรตเลี่ยหั่วที่ถือแส้ปัดโบกสะบัดเดินตามคนทั้งคู่เข้าสนามประลองไปพร้อมกับจื่อยู่วแห่งสำนักกระบี่คุนหลุน
  ส่วนตี๋ยั่วถังแห่งสำนักกระบี่เทียนซันเมื่อเห็นทั้งหมดเดินเข้าสนามประลองไป ก็ได้แต่อึกอักอยู่นาน แต่ในที่สุดก็กัดฟันกระโดดตามทุกคนเข้าไปในสนามประลองเช่นกัน..
  หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็รู้ได้ทันทีว่า..การประลองในครั้งนี้จะหนักหน่วงกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่านัก!
  “อามิตตาพุทธ..”
  หลังจากที่เหล่ายอดฝีมือทั้งห้ากระโดดเข้าไปในสนามประลองแล้วไต้ซือจื้อกงก็ได้เเดินเข้าไปหาหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า  “ประสกน้อย..ปกติข้าจื้อกงจะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องทางโลก แต่ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ที่สังหารเจี้ยนจื่อ และเจี้ยนห่าวซึ่งเป็นศิษย์ของอาตมา อาตมาจึงต้องแก้แค้นให้กับพวกเขา..”
  “ข้าเข้าใจ..”
  หลิงหยุนไม่รอฟังคำพูดของไต้ซือจื้อกงเขารีบพูดแทรกขึ้นมาทันที “ความจริงแล้ว.. ศิษย์ของเจ้าทั้งสองเป็นฝ่ายลงมือ และต้องการสังหารข้าก่อน ในเมื่อพวกเขาต้องการสังหารข้า ข้าจึงต้องสังหารพวกเขาทั้งคู่ แต่หากไต้ซือต้องการจะสังหารข้าแก้แค้นให้กับศิษย์ทั้งสอง ก็อย่าได้พล่ามไร้สาระอีกเลย..”
  “อามิตตาพุทธ..ประสกน้อยเอ่ยเตือนเช่นนี้ ดูท่าอาตามาคงจะกล่าวมากไป..”
  “สวรรค์เมตตา..”
  นักบวชเลี่ยหั่วจึงพูดขึ้นมาทันทีว่า“สหาย.. ในเมื่อพวกเราต่างก็มีความแค้นต่อกันเช่นนี้ ก็อย่าได้พูดมากอีกเลย!”   นักบวชเลี่ยหั่วพูดพร้อมกับเดินเข้ามาด้วยใบหน้าดุดันเคร่งเคียดเขาหยิบยันต์สีเงินพร้อมด้วยโอสถเม็ดเล็กส่งให้กับเหล่ายอดฝีมือทั้งหมด
  ‘ยันต์สีเงิน!’