ขากลับออกมานั้นมันแสนง่ายดาย เพราะเย่หยวนนั้นถือดอกสุคนธรสดำยมโลกไว้ในมือเหล่าแมลงน้ำแข็งเมฆาเพลิงจึงไม่กล้าที่จะเข้ามาใกล้พวกเขาเลยแม้แต่น้อย

ต่อให้เป็นราชาแมลงก็ไม่กล้าที่จะเข้ามาใกล้พวกเขา

แค่นี้มันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าดอกสุคนธรสดำยมโลกนี้มันเป็นศัตรูตามธรรมชาติกับแมลงน้ำแข็งเมฆาเพลิง

หลังจากนั้นพวกเขาทั้งหลายก็มาหาทางไปเก็บผลภูติดินปีกเงินกันต่อ

และตอนนี้สถานะของเย่หยวนในกลุ่มก็สูงส่งขึ้นอย่างมาก

เดิมทีทุกคนต่างคิดว่าเขาไม่มีพลังฝีมือใดๆ และแค่คิดเข้ามาเกาะกลุ่มกินผลประโยชน์

แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายต่างเห็นเย่หยวนเข้าปะทะกับราชาแมลง เขามีพลังมากพอที่จะยืนอยู่เหนือด้วนเผิงหรือลัวยองได้ง่ายๆ

ผ่านไปได้ครึ่งเดือน ด้วยการนำทางของด้วนเผิง ในที่สุดกลุ่มนักล่าก็เดินทางมาถึงหน้าถ้ำที่ว่า

ด้วนเผิงหน้าเปลี่ยนสีไปทันทีที่มาถึง “ไม่ดีแล้ว มีคนมาก่อนเรา!”

ในพุ่มหญ้าที่ด้านหน้านั้นมีรอยเท้าจางๆ อยู่ ดูท่ามันคงมีใครบางคนมาถึงก่อนแน่ๆ แล้ว

เย่หยวนบอก “ไม่ต้องกังวลไป จากที่ท่านว่ามาผลภูติดินปีกเงินนั้นมันน่าจะยังไม่โตเต็มที่ ต่อให้พวกเขาจะมาเจอก่อน พวกเขาเองก็คงต้องรอให้มันโต”

ด้วนเผิงวางใจลงได้เปราะหนึ่ง แต่ก็ยังรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อย

เพราะการมีคู่แข่งมาก มันไม่ใช่เรื่องดีเลย

ถึงตอนนี้พวกเขาคงได้แต่แสดงฝีมือเข้าปะทะกัน

ตอนนั้นเองที่เงาร่างเจ็ดแปดคนก็เดินออกมาจากป่าทึบ เข้ามาปิดทางพวกเขาไว้จนสิ้น

ชายที่นำกลุ่มมานั้นมีร่างกายกำยำ ถือดาบวงแหวนวงใหญ่ไว้ในมืออย่างน่าเกรงขาม

ด้วนเผิงถอนหน้าสีและตะโกนร้องออกมา “ฉีตงอี่! ที่แท้พวกเจ้านี่เอง!”

ฉีตงอี่หัวเราะ “เฮอะ ข้าก็สงสัยว่าใครมา ที่แท้ก็เป็นเจ้า! ด้วนเผิง เจ้าเองก็คงมาหาผลภูติดินปีกเงินใช่ไหม? ไสหัวไปเสีย ที่นี่พอเจ้าจองไว้แล้ว!”

อีกฝ่ายนั้นเป็นกลุ่มนักล่าจำนวนแปดคน แค่อาณาจักรราชันพระเจ้าหกดาวก็มีแล้วสี่ เพราะฉะนั้นฉีตงอี่จึงไม่ได้คิดจะใส่ใจการมาของด้วนเผิงนี้เลย

ด้วนเผิงหน้าเสียและบอกออกมา “ฉีตงอี่ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาประกาศเช่นนี้? ที่นี่มันถูกข้าพบมาก่อน!”

ฉีตงอี่หัวเราะลั่น “เจ้าหาเจอ? ฮ่าๆๆ ด้วนเผิง เจ้าคิดว่าข้าเบื่อมากจนต้องมาฟังมุกตลกของเจ้าหรือ? สิทธิ์อะไรน่ะหรือ? ก็สิทธิ์ที่ข้ามาถึงก่อนไง! หืม? นี่มันน้องลัวยองไม่ใช่เรอะ?”

ฉีตงอี่ทักขึ้นมาเมื่อเห็นลัวยองด้วยท่าทางตกใจไม่น้อย

เมื่อลัวยองเห็นว่าเป็นฉีตงอี่ เขาก็แสดงท่าทางตื่นเต้นดีใจออกมาทันที

ลัวยองหัวเราะขึ้น “พี่ฉี ข้าไม่นึกเลยว่าจะมาเจอท่านที่นี่! ให้ตายเถอะ ข้าไม่เอากับพวกมันแล้ว! พี่ฉีข้าขอเข้ากลุ่มท่านด้วยแล้วกัน!”

เมื่อพูดจบลัวยองก็เดินมุ่งหน้าออกไปในทันที

ด้วนเผิงหน้าแดงก่ำและตะโกนออกมา “ลัวยอง ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”

ลัวยองเย้ย “หมายความว่าอย่างไร? หึๆ ระหว่างทางมาข้าเห็นความขลาดของพวกเจ้ามาจนพอแล้ว! พวกเจ้าปิดกั้นข้าทุกทางเพื่อเจ้าเด็กคนนี้ แล้วยังหวังให้ข้าช่วยอะไรอีก? หากไม่ใช่เพราะผลภูติดินปีกเงินข้าคงกลับไปนานแล้ว! เมื่อได้มาเจอพี่ฉีตรงนี้พ่อเจ้าย่อมต้องย้ายข้างเป็นธรรมดา!”

เมื่อหยูจิงได้ยินนางจึงตะโกนร้องออกมาอย่างโกรธแค้น “ลัวยอง เจ้าเป็นคนที่หาเรื่องเย่หยวนก่อนแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับมาโทษผู้คนได้รึ!”

ลัวยองยิ้ม “นางมารร้าย หุบปากไปเสียเถอะ! เจ้าย่อมรู้ดีว่าข้าสนใจเจ้า แต่ก็ยังไปทำท่าทางจู๋จี๋กับมัน! ที่ทำไปย่อมเจตนาทั้งสิ้นใช่ไหมเล่า?”

ด้วนเผิงพูดขึ้น “ลัวยอง เจ้ากล้าทรยศกลุ่มตัวเองเรอะ! เจ้ายังอยากจะทำงานในที่แห่งนี้ต่อไปอยู่หรือไม่?”

ฉีตงอี่ที่มองดูเรื่องราวมาได้สักพักก็พอจะเข้าใจแล้วว่าฝั่งด้วนเผิงมันมีเรื่องราวอะไรกันมา

เมื่อได้เห็นด้วนเผิงว่าเช่นนั้น เขาจึงพูดขึ้น “เจ้าวางใจเถอะ ไม่มีใครรู้แน่ พี่น้องของข้าเหล่านี้เป็นคนปากหนักที่ฉีคนนี้เชื่อใจ หากพวกเขาไม่ว่าก็ไม่มีใครจะรู้”

คำพูดนี้มันแฝงความหมายมาอย่างชัดเจนว่าฉีตงอี่พร้อมที่จะปิดปากพวกเขาแล้วอย่างเต็มที่

ได้ยินแบบนั้นด้วนเผิงก็หน้าถอดสีทันที แต่เป็นลัวยองที่หัวเราะลั่นขึ้นมาอย่างสะใจ “ฮ่าๆๆ ด้วนเผิง เห็นไหม? นี่แหละที่เขาเรียกว่าพี่น้อง! อยากโทษก็ไปโทษเจ้าเด็กคนนั้นเถอะ!”

ฉีตงอี่หันไปบอกลัวยอง “มาครั้งนี้เดิมทีข้าก็ว่าจะไปชวนเจ้ามาด้วยกัน แต่เห็นน้องข้าไม่กลับมาเสียทีพี่ใหญ่คนนี้จึงตัดสินใจออกมาก่อน ไม่นึกเลยว่าสุดท้ายจะได้มาเจอกันที่นี่”

คนทั้งสองนี้มีนิสัยที่เรียกว่าเลวร้ายไม่แพ้กัน พวกเขาจึงมีความสนิทชิดเชื้อที่เหนือกว่าใคร

ไม่เช่นนั้นลัวยองเองก็คงไม่คิดที่จะหักหลังทรยศผู้คนในวินาทีที่เห็นฉีตงอี่หรอก

ลัวยองหัวเราะลั่น “พี่ข้า การเดินทางนี้ลัวผู้นี้ไม่ต้องการอะไรเลย แค่สังหารเจ้าเด็กคนนี้ที! หวังว่าพี่ท่านจะช่วยข้าจัดการมันหน่อย!”

ฉีตงอี่หันไปมองเย่หยวนอย่างตกใจก่อนจะหัวเราะออกมา “น้องลัว กับแค่ราชันพระเจ้าสามดาวเจ้ายังอยากให้ข้าช่วยอีก? เจ้าคิดอะไรไว้?”

ลัวยองกล่าวออกมาอย่างมืดมน “พี่ท่านอย่าได้ประมาทมันเชียว มันนั้นมีพลังมากพอที่จะปะทะกับราชาแมลงยอดระดับสี่ได้และไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแม้แต่น้อย พลังฝีมือของมันย่อมไม่ด้อยไปกว่าท่านหรือข้าเลย!”

เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวออกมาสีหน้าของฉีตงอี่ก็เปลี่ยนไปทันควัน

ราชันพระเจ้าสามดาวกลับมีปัญญาปะทะกับราชาแมลงยอดระดับสี่ได้ เรื่องนี้มันคงล้อเล่นกันแล้วใช่ไหม?

แต่ว่าฉีตงอี่ก็รู้ดีว่าเวลาเช่นนี้แล้วลัวยองย่อมไม่คิดที่จะมาล้อเล่นใดๆ แน่ เขาจึงเลือกที่จะเชื่อมัน

“หวังเสี่ยว พวกเจ้าสามคนไปจัดการด้วนเผิง! เด็กคนนี้ข้ากับน้องลัวจะจัดการมันเอง นอกจากนังผู้หญิงคนนั้นแล้วสังหารมันให้หมด!” ฉีตงอี่สั่งการ

หยูจิงนั้นตื่นตระหนกอย่างมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เย่หยวนรีบไปเร็ว! ด้วยพลังฝีมือของเจ้า เจ้าย่อมหนีไปได้แน่!”

เพราะหลังจากลัวยองทรยศไป ตอนนี้มันจึงเป็นศึกห้าต่อเก้า

ที่สำคัญอีกฝ่ายในเก้าคนนั้นยังมีราชันพระเจ้าหกดาวอยู่ถึงห้าคน!

ต่อให้หยูจิงจะได้เห็นพลังฝีมือของเย่หยวนมาแล้วแต่นางก็ยังไม่คิดว่าเย่หยวนจะมีฝีมือเหนือสวรรค์ เอาชนะจำนวนมากมายขนาดนี้ได้

ฉีตงอี่หัวเราะลั่นเมื่อได้ยิน “หนี? สาวน้อย เจ้าคงไม่รู้ว่าความเร็วจิตของข้านั้นเหนือล้ำโลกหล้า? หากข้าคิดลงมือต่อให้มันมีปีกกางบินหนีมันก็ไม่มีปัญญาจะหนีหรอก!”

เย่หยวนที่เงียบมาตลอดยิ้มออกมาในที่สุด “หนี? ข้าไปบอกตอนไหนกันว่าจะหนี?”

ฉีตงอี่หัวเราะเมื่อได้ยิน “เด็กน้อย กล้ามาก! แต่ว่า…มันเปล่าประโยชน์! ยอมตายไปเสียเถอะ!”

เย่หยวนไม่คิดสนใจเขาและหันไปมองลัวยอง “ข้านั้นไม่ได้คิดสนใจเจ้าก่อนหน้านี้ แต่ไม่นึกเลยว่าแม้จะไม่สนใจเจ้าก็ยังเปลี่ยนจากเลวเป็นร้ายไปได้ จนถึงขั้นคิดที่จะสังหารเพื่อนร่วมกลุ่มล่าของตน คนเช่นเจ้าย่อมไม่สมควรมีชีวิตอยู่!”

ลัวยองหัวเราะลั่น “ข้าไม่สมควรมีชีวิตอยู่? ฮ่าๆๆ เย่หยวน นี่เป็นมุกที่ตลกที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินตั้งแต่เข้าเขามาเลย! พี่ฉี อย่าได้ไปเถียงกับมันอีกเลย มาทำให้มันได้รู้ว่าใครกันแน่ที่ไม่สมควรมีชีวิต!”

“ได้! ข้าจะขอลองปะทะกับมันหน่อย อยากรู้เหลือเกินว่ามันจะเก่งอย่างที่เจ้าว่าไหม!”

พูดจบฉีตงอี่ก็พุ่งดาบวงแหวนเข้ามาใส่ร่างเย่หยวนทันที

พร้อมๆ กันนั้นลัวยองเองก้ขยับเช่นกัน!

ด้วยการโจมตีจากสองยอดอาณาจักรราชันพระเจ้าหกดาวเช่นนี้ ความรุนแรงของมันจึงเหนือล้ำมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉีตงอี่ที่มีความเร็วเหนือจินตนาการ

ดาบวงแหวนนั้นแทบจะเรียกได้ว่ามันมาถึงหน้าของเย่หยวนในแค่พริบตา

แต่เย่หยวนก็ยังคงมีสีหน้านิ่งเรียบ และค่อยๆ วางตราขึ้นมาด้วยฝ่ามือ!

ฟุบ!

เย่หยวนใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติหลบดาบของฉีตงอี่และใช้โอกาสที่ดาบยังไม่ทันดึงกลับปล่อยตราที่วาดไว้ออกมา

ตรานิพพาน!

ลัวยองรู้ดีว่าดาบของฉีตงอี่ย่อมไม่มีทางจัดการเย่หยวนได้ เขาจึงเลือกที่จะตามเข้าไปโจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่กลับพบว่าตรงหน้ามีคลื่นพลังงานอันแสนรุนแรงพุ่งเข้ามาปะทะร่าง!

ปัง!

เสียงดังลั่น ร่างของลัวยองปลิวลอยกลับไป เลือดสาดไปทั่วพร้อมๆ กับพลังชีวิตที่ค่อยๆ ดับลง

“เหมือนเจ้าจะเข้าใจผิดนะ ที่ข้าไม่สังหารเจ้าเพราะเจ้ามันเป็นแค่ขยะ หาใช่เพราะตัวเจ้าแข็งแกร่งใดๆ” เย่หยวนบอกออกมา

…………………………