ตอนที่ 80 - 4 บอกให้โลกรู้ว่าข้ารักเจ้า

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

มือที่ยกขึ้นของกงอิ้นชะงักค้างกลางอากาศ สีหน้าพลันซีดขาว ยิ่งพาให้นัยน์ตาดำขลับแลคล้ายเหวลึก

 

 

ก้นเหวที่ลึกปานนั้น ทว่าคล้ายมีดวงดาวเจิดจ้าพุ่งสู่ท้องนภา กระจายทั่วฟ้ากว้างในพริบตา!

 

 

เขาหันหน้ากลับไปในทันที

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะดังคิกๆ ก่อนจะตะโกนลั่นออกมาคล้ายต้องการเสียดแทงแก้วหูกงอิ้น

 

 

“กงอิ้น! ข้าชอบเจ้ามาตั้งนานแล้ว! ชอบยิ่งนัก ชอบเหลือเกิน! ข้าอยากจะอยู่ด้วยกันกับเจ้า! ข้าอยากให้ทั่วทั้งโลกรู้ว่าข้าอยากอยู่ด้วยกันกับเจ้า ข้าอยากให้ทั่วทั้งโลกรู้ว่าข้าชอบเจ้า!”

 

 

นางยิ้มแย้มชี้ไปยังสะพานที่ทอดยาวลงมาข้างล่าง

 

 

“บนสะพานนี้ ข้ามองเห็นได้ทั่วทั้งตำหนักอวี้จ้าว มองเห็นได้ทั่วทั้งตี้เกอ! พวกเจ้ามองเห็นข้าหรือไม่ มองเห็นว่าข้าเอ่ยว่าชอบเขาหรือไม่ มนุษย์จะชราจะสิ้นชีพ เวลาจะผันผ่านจะกลายเป็นอดีต ทว่าผืนดินไม่เน่าเปื่อย สายน้ำไม่เน่าเปื่อย สะพานศิลาไม่เน่าเปื่อย ต้นไม้ไม่เน่าเปื่อย! วันนี้วาจาที่ข้าเอ่ย ภูเขาสายน้ำแม่น้ำลำธาร ผืนดินพืชพรรณ ท้องนภาพสุธาสุริยันจันทรา เทพยดาฟ้าดิน พวกเจ้าจงเป็นพยาน!”

 

 

สายลมพลันรุนแรงขึ้น พัดพาผ้าคาดผมของนางให้ลอยไปจนเกิดเป็นเสียงดังพึ่บพั่บ นางเงยหน้าขึ้นเสียเลย ปล่อยให้ผมยาวของตนปลิวสยายบนสะพานประหนึ่งผืนธง

 

 

ไกลโพ้นออกไปใต้สะพาน พวกเหมิงหู่เงยหน้ามองไกล สายตาหวั่นไหวและซับซ้อน

 

 

ชุ่ยเจี่ยที่เรือนถัดไปหยุดมือที่กำลังซักอาภรณ์ เงยหน้ามองมาทางนี้

 

 

ยงเสวี่ยชะโงกศีรษะออกมาจากห้องครัว ดวงตาที่จ้องมองมายังทิศทางนี้ดำขลับ

 

 

จิ้งอวิ๋นค่อยๆ เดินออกมาจากภายในห้อง ค้ำวงกบประตูไว้ทอดสายตามอง อาจด้วยเพราะอบอ้าวอยู่ในห้องนานแล้ว สีหน้ายิ่งขาวซีดดุจหิมะ

 

 

เหล่าสตรีอ่อนวัยในหมู่องครักษ์ แววตาสะท้อนน้ำตาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าดีใจหรือโศกเศร้า เลื่อมใสหรืออิจฉา

 

 

มีความกล้าหาญอิสระแบบหนึ่ง อยู่เหนือกาลเวลา ไม่อาจทดแทนได้

 

 

กงอิ้นหันหน้ามาเล็กน้อย จ้องมองใบหน้าของนางเขม็งไม่คลาย สีหน้าของนางแดงซ่านเล็กน้อย นัยน์ตาเปล่งประกาย แม้ความรู้สึกพรั่งพรู ทว่ามิได้สะเพร่า

 

 

อย่างน้อยที่สุดในยามนี้ เขารู้ว่าทุกคำของนางล้วนออกมาจากหัวใจ บริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง

 

 

ในอกมีกระแสคลื่นกระทบฝั่ง ท่วมท้นสะพานโค้งเก้าช่องบนดวงใจ แม้ได้ยินเสียงแตกร้าวดังเปรี๊ยะขึ้นอีกครั้งที่เบื้องลึกของจิตใจที่มีหิมะน้ำแข็งแพร่ขยาย ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ยังสดับรับฟัง แม้จะต้องสิ้นชีพในยามนี้ก็ไม่รู้สึกเสียใจ

 

 

ครู่หนึ่งนี้ไม่รู้ว่าดีอกดีใจหรือเจ็บปวดทรมาน แตกร้าวหรือสมบูรณ์ กระแสคลื่นดุจเพลิง ข้ามผ่านกำแพงน้ำแข็งหิมะสูง เซาะกร่อนเส้นลมปราณโลหิต ฝ่ามือของเขาปรากฏรอยโลหิตเจือจาง เรือนร่างสั่นสะท้านเล็กน้อย

 

 

ขณะนี้เอง จิ่งเหิงปัวทำท่าทางโบกมือเต็มกำลัง ถือเป็นบทส่งท้ายที่นางบอกกล่าวความรู้สึกต่อท้องฟ้าสีครามในวันนี้

 

 

“กงอิ้นข้าถูกใจเจ้า ข้าจะอยู่ด้วยกันกับเจ้า ข้ายังรัก…โอ๊ย!”

 

 

เมื่อเคลื่อนไหวมากเกินไป ทำให้เรือนร่างนางเอนเอียงอย่างกะทันหัน ศีรษะทิ่มลงไปข้างล่างสะพาน

 

 

กงอิ้นรีบเร่งยื่นมือออกมา พริบตาหนึ่งนั้นปลายนิ้วก็พลันปกคลุมด้วยผลึกน้ำแข็งชั้นหนึ่งแล้วพลันสูญสลาย ท่วงท่าของเขาแข็งทื่อ แขนคลาดกับแขนของจิ่งเหิงปัว

 

 

จิ่งเหิงปัวร่วงลงจากสะพานแล้ว กงอิ้นพุ่งไปข้างหน้าท่ามกลางเสียงร้องอุทานอย่างตกตะลึง

 

 

ตู้ม!

 

 

สองคนโอบกอดกันร่วงลงกลางทะเลสาบใต้สะพาน

 

 

 

 

วันนี้จิ้งถิงถูกสะเทือนจนเงียบแล้วเงียบอีก

 

 

แม้แต่เหมิงหู่ยังถูกความฉับพลันฉากหนึ่งนี้ทำให้ตกใจจนนัยน์ตาเบิกกว้าง…ใช้นิ้วมือคิดก็ยังนึกไม่ถึงเลยว่าราชินีจะร่วงจากสะพานไปแล้ว แต่เรื่องที่นึกไม่ถึงยิ่งกว่านั้นคือราชครูกลับไม่อาจช่วยนางไว้ได้ พวกเขาร่วงไปด้วยกันแล้ว

 

 

หลังจากชะงักงันไปครู่หนึ่ง เหมิงหู่ถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา รีบเร่งวิ่งเข้าไป ร้องว่า “รีบงมเร็วเข้า!”

 

 

ซ่า! บนผิวทะเลสาบมีศีรษะของจิ่งเหิงปัวโผล่ขึ้นมา นางยังคงหัวเราะคิกๆ แล้วร้องว่า “เย็นสบาย! สดชื่น!” ก่อนจะใช้มือตีผิวน้ำ กล่าวอย่างประหลาดใจว่า “เอ๊ะ เหตุใดอยู่ๆ ก็มีเศษน้ำแข็งมากมายเช่นนี้?”

 

 

นางดึงเส้นผม เหลียวซ้ายแลขวาบนผิวน้ำครู่หนึ่ง รู้สึกได้ทันทีว่าผิดปกติตรงไหน

 

 

ฤทธิ์สุราขึ้นถึงศีรษะ นางครุ่นคิดอย่างเชื่องช้าอยู่ชั่วครู่ ก่อนเบิกตากว้างอย่างฉับพลัน

 

 

กงอิ้น!

 

 

กงอิ้นล่ะ?

 

 

จิ่งเหิงปัวเหลียวมองรอบด้านอย่างสับสน บนผิวทะเลสาบที่ไม่กว้างนักไร้เงาคนโดยสิ้นเชิง มีเพียงเศษน้ำแข็งส่วนหนึ่งที่ลอยล่องอยู่

 

 

ไอ้เวรเอ๊ย เขายังอยู่ใต้ทะเลสาบเหรอ?

 

 

จิ่งเหิงปัวดำลงอีกครั้ง ท่าทางรวดเร็วดุเดือดเหลือเกิน พาให้เหมิงหู่ที่เพิ่งมาถึงข้างทะเลสาบกังวลอย่างยิ่งว่าครู่ต่อมานางจะดำลงไปจนศีรษะแตก

 

 

ชั่วครู่หนึ่ง พลันมีเสียง ซ่า! เดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ผู้ที่โผล่ออกมาคือกงอิ้น สีหน้าดุจน้ำค้างดั่งหิมะ ในมือหอบจิ่งเหิงปัวที่มีสีหน้าซีดเผือดไว้

 

 

เขาลุกขึ้นเฉียดเข้ามายังฝั่ง ร่างยังไม่ทันพ้นผิวน้ำ เอ่ยติดต่อกันว่า “เตรียมอาภรณ์เตาไฟ น้ำแกงขิงชาร้อน!”

 

 

“นายท่าน ฝ่าบาททรงเป็นอะไรมากหรือไม่…” เหมิงหู่ก้าวเข้ามา คลุมเสื้อคลุมตัวใหญ่ให้กงอิ้นที่ทั่วทั้งร่างชุ่มโชก กงอิ้นฉวยมือคว้าเอาไว้ ก่อนห่อหุ้มบนร่างของจิ่งเหิงปัว

 

 

“นางดำน้ำช่วยข้าเร็วเกินไป เป็นตะคริวแล้ว!”

 

 

 

 

ผ่านไปครึ่งเค่อ คนทั่วทั้งจิ้งถิงรวมถึงคนของตำหนักราชินีข้างเคียงต่างวิ่งวนวุ่นวายขึ้นมา

 

 

ราชินีเมาแล้ว

 

 

เอ่ยกันตามจริงเมาแล้วได้แช่น้ำควรจะสร่างขึ้นมาหน่อย ทว่าไม่ว่าอย่างไรราชินีก็แตกต่างจากคนปกติ พอนางเป็นตะคริว ก็เป็นเสียจนตนเองเมามากขึ้น

 

 

ผ่านไปหนึ่งเค่อ คนของจิ้งถิงต่างถูกทุบตี

 

 

นางกำนัลเปลี่ยนอาภรณ์ให้นางถูกทุบตี

 

 

“ให้กงอิ้นมา!” นางกล่าว

 

 

นางกำนัลให้นางดื่มน้ำแกงขิง นางก็พ่นออกมาดังพรวดทั่วใบหน้านางกำนัล

 

 

“ไม่อร่อย! เรียกกงอิ้นมาป้อนข้า!”

 

 

นางกำนัลยกอ่างมาอาบน้ำให้นาง นางก็กอดอ่างอาบน้ำไว้แล้วตะโกนลั่นว่า “กงอิ้น เจ้ามันหน้าโลงศพ เจ้าหน้านิ่งจักรพรรดิเย็นชาภูเขาน้ำแข็งหมื่นปี! เหตุใดเจ้าถึงชอบแข็งกร้าวขนาดนี้เล่า เจ้าจะอ่อนโยนสักหน่อยไม่ได้หรือ เฮ้อ เอวเจ้าหนาจัง พี่ไม่อาจโอบไว้ได้ในฝ่ามือเดียว ทำอย่างไรดีล่ะ!”

 

 

นางแหงนหน้าตะโกนขึ้งดังลั่นว่า “ทำไมถึงตัวแข็งขนาดนี้ล่ะ!”

 

 

นางกระโดดเข้าถังอาบน้ำด้วยตนเองดัง ตู้ม! ตบน้ำดังซู่ซ่าจนทุกแห่งภายในห้องต่างเป็นละอองน้ำ ตบไปพลางตะโกนไปพลางว่า “อบอุ่นขึ้น! อบอุ่นขึ้น! ข้าจะทำให้เจ้าอบอุ่นขึ้น!”

 

 

ผ่านไปชั่วครู่นางก็จมลงไปใต้น้ำทั้งศีรษะ ไม่โผล่ออกมาอยู่ชั่วครู่หนึ่ง นางกำนัลกับพวกชุ่ยเจี่ยกลัวว่านางจะจมน้ำสิ้นใจภายในถังอาบน้ำ เร่งรีบพากันไปลากนาง สุดท้ายแล้วนางกระโจนออกมาอีกครั้ง ชี้ไปยังความว่างเปล่าแล้วตะโกนลั่นอย่างแข็งขันว่า “แม่งเอ๊ย พวกนายต่างกลั่นแกล้งเขา! ต่างกลั่นแกล้งเขา! อย่าให้ถึงมือชั้นเชียวนะ! ไม่อย่างนั้นชาติหน้าพวกนายก็อย่าได้คิดจะเกิดมาเป็นผู้ชายเลย!”

 

 

ชุ่ยเจี่ยกับยงเสวี่ยมองดูจิ่งเหิงปัวที่เสียสติด้วยเพราะสุราอย่างปากอ้าตาค้าง เช็ดน้ำที่กระเซ็นทั่วใบหน้าอย่างงงงันครั้งหนึ่ง

 

 

 

 

กงอิ้นยืนอยู่นอกประตูวังบรรทมของนาง ไม่ได้เปลี่ยนอาภรณ์ เขาคลุมผ้าคลุมไว้ผืนหนึ่ง ผมสีดำขลับเปียกชุ่มแนบอยู่บนใบหน้า ฟังนางที่ทั้งกระโดดทั้งตะโกนทั้งด่าทอ

 

 

ยามแรกเริ่มเขาเพียงขมวดคิ้ว แล้วจากนั้นเขาจนปัญญา ทำเป็นไม่ได้ยินวาจาร้องเรียกว่า ‘กงอิ้นมาปรนนิบัติ’ อย่างเต็มปากของใครบางคน

 

 

ยามกลางวันแสกๆ ต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ เขาก็ไม่สะดวกจะเข้าไปทั้งแบบนี้จริงๆ

 

 

เมื่อได้ยินวาจาสุดท้ายเขากลับสั่นเทิ้มเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มแผ่วเบา

 

 

ฝีเท้าของเขาเพิ่งจะขยับเขยื้อนโดยสำนึก ก็พลันได้ยินเสียงสตรีข้างหลัง เอ่ยอย่างขลาดกลัวว่า “ราชครู ท่านยังไม่ได้เปลี่ยนอาภรณ์ ซ้ำยังยืนอยู่กลางสายลม ระวังป่วยไข้…”

 

 

เขาหันข้างเล็กน้อย มองเห็นจิ้งอวิ๋นผู้ดุจดอกไม้ขาวดอกน้อย ชุดขาวมวยผมดำ ใบหน้างดงามพิสุทธิ์ ประคองน้ำแกงขิงชามหนึ่งเข้ามาด้วยท่าทางอ่อนช้อย ยืนอยู่ฝั่งหนึ่งข้างหลังเขา

 

 

นางอ่อนแอเช่นนี้ ท่าทางยืนยังสั่นไหวอยู่บ้าง ทำให้คนเวียนศีรษะเสียยิ่งกว่าจิ่งเหิงปัวที่เมาสุรา

 

 

นางสบแววตาของกงอิ้น ก่อนจะส่งน้ำแกงขิงไปให้

 

 

 

 

คนที่เมาสุราเป็นคนมหัศจรรย์

 

 

จิ่งเหิงปัวที่กระโดดเรียกมหาเทพอยู่ภายในห้อง ไม่รู้ว่าหูไวตาไวหรืออย่างไร พลันกล่าวอย่างลึกลับยิ่งว่า “ข้างนอกมีเสียงสตรี!” วาจายังไม่ทันสิ้นสุด นางก็ลุกขึ้นมาจากในถังอาบน้ำแล้ว วิ่งแล่นไปข้างหน้าต่าง

 

 

“นี่ๆ เจ้าระวังหนาว…” ชุ่ยเจี่ย ยงเสวี่ยและจื่อหรุ่ยไล่ตามมาอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

 

 

 

 

น้ำแกงขิงที่ยื่นมาเบื้องหน้า ยังคงร้อนๆ อยู่

 

 

แววตาที่สบขึ้นมาของจิ้งอวิ๋นซุกซ่อนความอบอุ่นและความเป็นห่วงร่วมอยู่ด้วยเล็กน้อย

 

 

ทว่าแววตาของกงอิ้นกลับล่องลอยผ่านน้ำแกงขิงไป ล่องลอยผ่านใบหน้าของนางไป ทอดลงตรงความว่างเปล่าผืนหนึ่ง

 

 

“เปิ่นจั้วนึกว่า” ยามเอ่ยปากอีกครั้งเสียงของเขาดั่งมีไอเหน็บหนาว เอ่ยว่า “ในฐานะผู้ติดตามของของฝ่าบาท น้ำแกงขิงของเจ้าควรยกถวายแด่พระนางก่อน”

 

 

สีโลหิตร่นถอยจากบนใบหน้าที่ซีดขาวอยู่แล้วของจิ้งอวิ๋นในพริบตา

 

 

กงอิ้นหันหน้าไปแล้ว ยื่นมือออกไปรับน้ำแกงขิงที่เหมิงหู่ส่งขึ้นมาในยามนี้พอดี

 

 

มือที่ประคองน้ำแกงขิงของจิ้งอวิ๋นกำลังสั่นเทาเล็กน้อย ยามนี้น้ำแกงขิงชามหนึ่งนั้นอยู่ในมือเสมือนหนักพันจวิน ประคองไม่ไหวเททิ้งไม่ได้ โถมทับนางคล้ายจะจมดิ่งไปในพื้นดิน

 

 

นางยืนแข็งทื่ออยู่เช่นนั้น กงอิ้นไม่สนใจนางเช่นกัน เขาดื่มน้ำแกงขิงไปหลายอึก ก่อนหันกายกึ่งหนึ่ง เอ่ยว่า “อืม?”

 

 

หางตาที่เหลือบมาของเขามีนัยน์ตามืดมิด แสงรุ่งโรจน์เยือกเย็นแลหนาวเหน็บ นางอดจะสั่นเทิ้มไม่ได้ รีบเร่งก้มหน้าลง

 

 

“บ่าวเสียมารยาทแล้ว…” นางเน้นเสียงอยู่ในซอกฟัน ยืนหยัดเอ่ยวาจาให้แจ่มชัดทีละคำว่า “ประเดี๋ยวบ่าวจะนำน้ำแกงขิงไปถวายแด่ฝ่าบาท”

 

 

นางรีบก้าวเดินออกมา ทว่าฝีเท้าโซเซอยู่บ้าง วิงเวียนตาพร่าจำแนกทิศทางไม่ชัดเจน เดินไปยังเบื้องหน้าหน้าต่าง

 

 

จิ่งเหิงปัวส่องซอกหน้าต่างมองความครึกครื้นอยู่โดยตลอด ก่อนจะเรียกนางไว้ในทันที

 

 

“จิ้งอวิ๋น”

 

 

จิ้งอวิ๋นร่างสั่นเทิ้ม เงยหน้าขึ้นมา คราวนี้ถึงได้พบว่าจิ่งเหิงปัวอยู่ข้างหน้าต่าง เช่นนั้นสีหน้าของนางก็ยิ่งซีดเผือด กลั้นใจยิ้มแย้มแล้วยกน้ำแกงขิงที่ลวกมือชามหนึ่งนั้นขึ้น

 

 

“ต้าปัว ข้าเอาน้ำแกงขิงมาให้เจ้า…”

 

 

ศีรษะของจิ่งเหิงปัวค้ำยันลายฉลุบนหน้าต่าง ผลักหน้าต่างออกไป ส่ายหน้ากล่าวว่า “จิ้งอวิ๋นเอ๋ย…เจ้าชอบกงอิ้นใช่หรือไม่”