ตอนที่ 33 เคล็ดร่างกาย Ink Stone_Fantasy
ปลายนิ้วชี้ส่วนขอบของใบมีดอีกครั้ง ทั้งหมดล้วนราวกับหยุดนิ่ง ตำแหน่งที่นิ้วมือของตงป๋อเสวี่ยอิงชี้นั้น อากาศก็ล้วนระเบิดออก! พลานุภาพทำให้องครักษ์หนุ่มผู้นั้นลอยโซซัดโซเซถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว
สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สามารถอาศับวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าจนชื่อเสียงเลื่องลือทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา กลายเป็นสิบสำนักใหญ่ได้ พลังคุกคามของศาสตร์ลับศาสตร์นี้ก็ย่อมใหญ่โตมากพออยู่แล้ว
“เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไรกัน กระบวนท่านี้ของเขาง่ายดายตรงไปตรงมาแล้วทำลายมีดมายาของข้าได้อย่างไรกันเล่า” องครักษ์หนุ่มบินเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่ทุกครั้งตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเพียงแค่ชี้ปลายนิ้วออกมาเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะโจมตีเช่นไร ทุกครั้งล้วนถูกโจมตีจนลอยกระเด็นออกไป ทำอย่างต่อเนื่องเช่นนี้มาถึงเก้าครั้งแล้ว
“คุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ช่างร้ายกาจเสียจริง ทางด้านระดับขั้นของเขาไปถึงพลังยุทธ์ระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพแล้วจริงๆ แทนที่จะใช้ร่างเมฆทักษิณาทิพย์ฝืนสำแดงออกมา”
“ใช่ ดูเหมือนว่าจะล้ำเลิศทางด้านห้วงอากาศเป็นที่สุด สามารถทำลายเคล็ดมีดมายาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า”
“ร้ายกาจกว่าที่คาดการณ์เอาไว้เสียอีก”
แต่ละคนถ่ายเสียงสนทนากัน
งานเลี้ยงคราวนี้จัดขึ้นเพื่อตงป๋อเสวี่ยอิง แล้วก็อาศัยสิ่งนี้เพื่อประเมินศักยภาพของคุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ด้วย
วิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่ามีหนทางที่จะสำแดงได้สองแบบ แบบแรกคือการอาศัยระดับขั้นเพียงอย่างเดียวล้วนๆ แม้ว่าจะมิได้บำเพ็ญร่างทิพย์ก็ยังคงสามารถสำแดงเคล็ดวิชาอันแกร่งกล้าออกมาได้เช่นเดิม! ส่วนอีกแบบหนึ่งนั้นระดับขั้นอ่อนแอกว่า ก็คืออาศัยร่างทิพย์ฝืนสำแดงออกมา
อย่างเช่นเคล็ดวิชาขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับชั้นที่แปด
ตามเหตุผลแล้วอย่างมากที่สุดขั้นรวมเป็นหนึ่งก็สามารถเป็นได้เพียงแค่พลังยุทธ์ชั้นที่เจ็ดเท่านั้น ที่อากาศอันสับสนอลหม่านก็เป็นเช่นนี้!
แต่ถ้าหากอาศัย ‘ร่างเมฆทักษิณาทิพย์ที่ไปถึงระดับชั้นที่แปด’ สำแดงเคล็ดวิชาระดับชั้นที่แปดออกมาก็จะผ่อนคลายลงได้เป็นอย่างมากแล้ว เพียงแค่ตระหนักรู้ส่วนเล็กๆ ก็ใช้ได้แล้ว!
เหตุผลเดียวกัน!
ขั้นอลวนต้องการจะสำแดงพลังรบระดับชั้นที่สิบ ก็ต้องอาศัยร่างเมฆทักษิณาทิพย์ระดับชั้นที่สิบอันสมบูรณ์ การอาศัยระดับขั้นเพียงอย่างเดียวก็ย่อมไม่สามารถสำแดงออกมาได้อยู่แล้ว เพราะว่าเคล็ดวิชาพลังรบระดับชั้นที่สิบนั้น…ตัวมันเองก็แฝงเอาไว้ด้วยความเร้นลับของระดับเทพจักรวาลอยู่แล้ว แต่ร่างเมฆทักษิณาทิพย์ระดับชั้นที่สิบอันสมบูรณ์นั้นยามที่สำแดงออกมาก็ผ่อนคลายลงได้เป็นอย่างมาก เพียงแค่ตระหนักรู้ส่วนนั้นก็สามารถฝืนผลักดันขึ้นไปได้แล้ว
ร่างเมฆทักษิณาทิพย์และวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่านั้นเติมเต็มส่งเสริมซึ่งกันและกัน การเปลี่ยนเคล็ดวิชาหลอมแปรร่างกายต่างก็ไม่มีประโยชน์กับวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าเลย
……
“ก็คือวิธีการเหล่านี้เองหรือ เจ้าก็รับกระบวนท่าข้าอีกหลายกระบวนบ้างก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะเสียงดังแล้วบุกสังหารออกไปในทันใด
เขาจงใจใช้นิ้วมือทำลายอย่างต่อเนื่องถึงเก้าครั้ง ก็เพราะตั้งใจให้พวกฝานเทียนฉ่งได้เห็น!
วัตถุประสงค์ที่แท้จริงที่เขามาเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้…ก็เพื่อจะได้มาดูหัวหอกเล่มนั้นสักหน่อยต่างหาก!
“พรึ่บ”
เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงพุ่งออกไปแล้วแปรเปลี่ยนเป็นเงาร่างเก้าสายอย่างน่าอัศจรรย์ คล้ายกับพุ่งเข้าไปสังหารองครักษ์หนุ่มจากทิศทางที่แตกต่างกัน
“อะไรกันนี่” องครักษ์หนุ่มตื่นตระหนกอยู่บ้าง ในความรู้สึกของเขา เงาร่างเก้าสายนี้ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
เงาร่างเก้าสายล้วนเป็นความจริง เพียงแต่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงมีความรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เพียยงชั่วอึดใจ ‘ร่างกาย’ ก็ตัดอากาศถึงเก้าครั้ง จึงจะแสดงผลลัพธ์เป็นเงาร่างเก้าสายได้สำเร็จ
ด้วยการใช้ร่างกายเป็นอาวุธตัดขาด ก็คือการทำให้เคล็ดวิชาการโจมตีของวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าแปรเปลี่ยนเป็นเคล็ดร่างกายจนหมดสิ้นแล้ว
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนผ่านองครักษ์หนุ่มผู้นั้น เขาโบกมือคราหนึ่ง เงาร่างเก้าสายก็เคลื่อนผ่าน บนร่างขององครักษ์หนุ่มพลันถูกตัดขาดเก้าครั้งในทันใด แต่ว่าก็หายดีอย่างสมบูรณ์ในทันทีทันใด
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงถอยกลับไปอยู่ที่เดิมแล้วมองดูองครักษ์หนุ่มผู้นั้น
สีหน้าขององครักษ์หนุ่มเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดขาว เดิมทีสกุลฝานก็เป็นตระกูลที่โอหังดุร้ายเหี้ยมโหดอยู่แล้ว ‘ผางป๋อ’ ท่านอาจารย์ของเขาสวามิภักดิ์ต่อสกุลฝาน ยามที่สั่งสอนชี้แนะศิษย์ก็บอกว่าผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง ผู้ที่อ่อนแอก็ตายไป ส่วนผู้แกร่งกล้าก็มีชีวิตรอด คัดกรองกันอยู่ตลอดเวลา… ยากนักที่เขาจะมีโอกาสได้สู้เพื่อหน้าตาของท่านอาจารย์ตนสักครั้งหนึ่ง แต่ถึงกับพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถเช่นนี้เสียได้
“ยังไม่ถอยไปอีก” ผางป๋อที่นั่งอยู่ที่นั่นตะโกนขึ้นมา
“ขอรับ” องครักษ์หนุ่มร่นถอยไปในทันใด
“คุณชายเสวี่ยอิง การตระหนักรู้นี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ นะ” ผางป๋อเอ่ยชม “แต่สามารถสำแดงเคล็ดวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ยังดัดแปลงเคล็ดการโจมตีให้กลายเป็นเคล็ดร่างกายอีกด้วย นี่ก็คิดค้นเคล็ดวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าออกมาเป็นของตัวเองแล้วด้วย ช่างเปี่ยมพรสวรรค์จริงๆ”
ผางป๋อก็ชื่นชมตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอย่างยิ่ง
เขามีลูกศิษย์เป็นจำนวนมาก ศิษย์ถ่ายทอดเองก็มีมากพอสมควร แต่ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่การตระหนักรู้สามารถเทียบกับคุณชายเสวี่ยอิงผู้อยู่ตรงหน้าผู้นี้ได้เลย
น่าเสียดายนัก…
คุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ช่างระยับจับตาเสียเหลือเกิน เค่อชิงผู้หนึ่งอย่างเขา ผางป๋อ ไม่มีสิทธิ์จะรับผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้เป็นศิษย์ได้
“เคล็ดการโจมตีก็กลายเป็นเคล็ดร่างกายด้วย ร้ายกาจนัก” ฝานเทียนฉ่งก็ชื่นชมเช่นเดียวกัน
“งดงาม”
“เห็นคุณชายเสวี่ยอิงแล้วก็นึกถึงช่วงเวลาที่ข้าบำเพ็ญห้าล้านปี จำได้ว่าเวลานั้น ข้ายังเป็นเพียงแค่ศิษย์ธรรมดาๆ ของสำนักวิชาเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัฐโบราณคิมหันตวายุเท่านั้นเอง” บรรดาแขกเหรื่อเหล่านี้ต่างก็พากันชื่นชม
พวกเขาล้วนเข้าใจกันเป็นอย่างดี
ห้าล้านปีก็สามารถมาถึงระดับขั้นเช่นนี้ได้ นอกจากนี้ยังมิได้ถูกเคล็ดวิชาต้นฉบับผูกมัด ถึงขนาดที่ดึงแก่นแท้ภายในเคล็ดวิชาแล้วดัดแปลงเป็นเคล็ดวิชาใหม่ออกมาได้ พรสวรรค์เช่นนี้ทำให้พวกเขาต่างก็จนคำพูด! ขอเพียงแค่ไม่ตายตกไป ในอนาคตก็ดูเหมือนว่าจะต้องไปถึงขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าอย่างแน่นอน
ต้องรู้ไว้ว่าพวกเขาผู้เป็นเค่อชิงและแขกเหรื่อเหล่านี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังเป็นเพียงแค่ขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าเท่านั้น
สำหรับระดับชั้นที่สิบนั้นน่ะหรือ
ฝานเทียนฉ่งก็มิอาจเรียกมาได้ตามใจชอบเพียงเพื่อมาร่วมงานเลี้ยงธรรมดาๆ ของตงป๋อเสวี่ยอิงพรรค์นี้
……
งานเลี้ยงเสร็จสิ้นลงในที่สุด
บรรดาแขกเหรื่อเริ่มพากันกลับ ฝานเทียนฉ่งและฝานเฟยฉีมาส่งตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยตนเอง
“คุณชายเสวี่ยอิง ในภายหน้าหากมีเรื่องยุ่งยากอันใดก็มาหาข้าได้เลยนะ ไม่ว่าจะเป็นที่รัฐเมฆทักษิณา หรือว่ารัฐประเทศอื่นๆ เรื่องราวที่สกุลฝานของข้าจัดการมิได้ก็มีอยู่ไม่มากนักหรอก” ฝานเทียนฉ่งพูดยิ้มๆ
“พี่ใหญ่เทียนฉ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยขึ้นทันควัน “พูดขึ้นมาแล้วข้าก็ยังมีเรื่องหนึ่งอยากจะให้พี่ใหญ่เทียนฉ่งช่วยเหลือจริงๆ”
ฝานเฟยฉีที่อยู่ข้างๆ สะดุ้งคราหนึ่ง
ฝานเทียนฉ่งก็ประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน
เขาเพิ่งพูดว่า ‘มีเรื่องยุ่งยากอันใดก็มาหาได้เลย’ คุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ก็เอ่ยปากขอความช่วยเหลือในทันที จริงๆ แล้วก็ออกจะ ‘หนังหน้าหนา’ อยู่บ้าง ต้องรู้ไว้ว่าถึงจะขอให้สกุลฝานไปจัดการเรื่องราวบางอย่างให้ ก็ต้องจ่ายเป็นมูลค่าพอสมควร
“เจ้าว่ามาสิ” ฝานเทียนฉ่งยังคงรักษารอยยิ้มเอาไว้
ถึงแม้ว่าในใจเขาจะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพียงเพราะเห็นคุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้เยาว์วัยเกินไป
“พูดแล้วก็ช่างน่าละอายนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ตอนข้าอยู่ที่ร้านค้าสกุลฝานในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา ได้เห็นหัวหอกอันหนึ่ง ได้ยินมาว่ายังเป็นศาสตราวุธหัวหอกที่นายท่านฉื้ออวิ๋นทิ้งเอาไว้อีกด้วย หัวหอกนั้นคล้ายว่าจะเป็นสมบัติลับล้ำค่าทางด้านห้วงอากาศ ข้าดูแล้วก็ช่างน่าอัศจรรย์ใจนัก ตอนนั้นก็นึกอยากจะดูต่อไปให้ละเอียดด้วยตนเองสักหน่อย น่าเสียดายที่ผู้จัดการของที่นั่นไม่ยอมให้ข้าดู ดังนั้นข้าจึงได้บากหน้ามาขอให้พี่ใหญ่เทียนฉ่งช่วยเหลือ ให้ข้าได้ดูหัวหอกนั้นอย่างละเอียดสักหน่อยจะได้หรือไม่”
“เรื่องนี้เองหรือ” ฝานเทียนฉ่งหัวเราะอย่างว่างเปล่า
เขายังคิดว่าอีกฝ่ายจะขออะไรที่มากเกินไปเสียอีก
เพียงแค่จะดูสมบัติลับล้ำค่าที่วางขายในร้านเท่านั้นเองน่ะหรือ หัวหอกนั้นเขาก็รู้จักอยู่ ถึงแม้ว่าจะร้ายกาจ แต่ก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ไม่สมบูรณ์เท่านั้น มูลค่าก็ไม่สูง ราคาก็เพียงแค่สามร้อยล้านแก้วผลึกจักรวาลเท่านั้นเอง
“ฮ่าฮ่า เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ จำเป็นจะต้องมาพูดกับข้าด้วยหรือ” ฝานเทียนฉ่งรู้สึกว่าคุณชายเสวี่ยอิงผู้อยู่ตรงหน้าช่างน่าเอ็นดูนัก เรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้ก็ยัง ‘บากหน้ามาพูด’
“ตอนนี้เจ้าเป็นสหายของข้า ฝานเทียนฉ่งแล้ว เจ้าก็เป็นแขกพิเศษของร้านรวงทั้งหลายของสกุลฝานของข้าแล้ว สมบัติลับล้ำค่าเหล่านั้น แม้กระทั่งค้อนเมฆเวหาที่แพงกว่าเป็นสิบเท่า หากเจ้าอยากจะดูก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง” ฝานเทียนฉ่งพูด “เพียงแค่เจ้าไป ผู้จัดการนั่นก็ไม่กล้าขัดขวางเจ้าหรอก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วค่อยคลายใจ
ค้อนเมฆเวหาอันเป็นสิ่งล้ำค่าของร้าน เขาก็มิได้สนใจมันเลย! หัวหอกเล่มนั้นจึงจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด เขาซื้อไม่ไหว แล้วก็ย่อมมิได้โง่เง่าไปร้องขอให้อีกฝ่ายยกให้… ถึงแม้ว่าฝานเทียนฉ่งจะให้ความสำคัญกับเขา แต่สมบัติลับล้ำค่ามูลค่าหลายร้อยล้านแก้วผลึกจักรวาล เกรงว่าคงต้องให้ตนขายตัวให้กับสกุลฝาน สกุลฝานจึงจะสามารถมอบให้ตนได้กระมัง
ตอนนี้ซื้อไม่ไหว หยั่งรู้หัวหอกอย่างละเอียดสักคราก็เพียงพอแล้ว
“ขอบคุณพี่ใหญ่เทียนฉ่ง เช่นนั้นตอนนี้ข้าก็ขอไปก่อนล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความอดรนทนไม่ไหวอยู่บ้าง
“เจ้านี่นะ เจ้านี่นะ ฮ่าฮ่าฮ่า ไปเถิดๆ” ฝานเทียนฉ่งหัวเราะ คุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ช่างน่าสนใจเสียจริง
……………………………………………..