ตอนที่ 1935 อรหันต์เฮยอวี่

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

หลังจากที่หมอกสีโลหิตสลายหายไป เผ่ามารทั้งหมดก็หายวับไป!

เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งจะได้สติจากเสียงแค่นเสียงด้วยความเย็นชา เห็นทุกอย่างในบริเวณรอบ ย่อมตกตะลึงจนตาค้าง

“เป็นอาวุโสท่านใดที่ลงมือช่วยเหลือ ชนรุ่นหลังสำนักอาชาสวรรค์เจี่ยนเฟยเทียน ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่ช่วยชีวิต!” ยังเป็นชายชราเคราขาวที่มีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วที่สุด ใบหน้ามีสีตกตะลึงระคนดีใจปรากฏขึ้น และรีบคารวะเงาร่างคนในลำแสงสีเขียวกลางอากาศ

เมื่อได้ยินชายชรากล่าวเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ทั้งบุรุษสตรีคนชราและเด็กก็เข้าใจขึ้นมา ภายใต้ความดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่ง ก็ทยอยกันคุกเข่าลงไปบนพื้น

“เผ่ามนุษย์เช่นเดียวกัน ในเมื่อได้พบกันแล้ว ผู้แซ่หานย่อมไม่อาจยืนดูอยู่ข้างๆ ได้ พวกเจ้าจงไปทางตะวันตก ทางนั้นไม่มีเผ่ามารปรากฏตัว มันยังปลอดภัย เรื่องอื่นข้าน้อยไม่อาจช่วยได้” เงาร่างกลางอากาศเอ่ยอย่างราบเรียบ จากนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นกระบี่ลำแสงทั่วทั้งท้องฟ้าพลันถูกเก็บไป เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป

“ขอบังอาจเรียนถามแซ่ของท่านอาวุโส หลังจากนี้ชีพจรอาชาสวรรค์จะต้องบูชาท่านอาวุโสแน่เพื่อขอบคุณบุญคุณของท่านอาวุโส!” แม้ว่าชายชราเคราขาวจะพยายามใช้สายตามองใบหน้าของเงาร่างคนในลำแสงสีเขียวให้ชัดเจน แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ทันใดนั้นก็เอ่ยคารวะอีกครั้งอย่างนอบน้อม

“หึๆ ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทขนาดนั้น ข้าแค่ได้โอกาสลงมือเท่านั้น เอาละ ผู้แซ่หานต้องรีบเดินทาง พวกเจ้าดูแลตัวเองเถิด” เงาร่างคนในลำแสงสีเขียวหัวเราะน้อยๆ อย่างไม่คิดเช่นนั้น ไม่รอให้ชายชราเคราขาวเอ่ยอันใด ฉับพลันนั้นก็ระเบิดลำแสงเจิดจ้ากลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งออกไป

ได้ยินเพียงเสียงแหวกอากาศดังขึ้นสองสามครั้ง ลำแสงหลีกหนีก็สลายหายไปที่ขอบฟ้า ราวกับว่าเคลื่อนที่ไปพันลี้ก็ไม่ปาน

ผู้บำเพ็ญเพียรเคราขาวเห็นความเร็วเช่นนี้ก็อดที่จะตกใจจนสะดุ้งโหยงไม่ได้ ตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ถึงได้ยืนขึ้นตามจิตสำนึก

“ท่านอาจารย์ ท่านรู้จักท่านอาวุโสที่ลงมือช่วยเหลือสำนักเราหรือไม่?” บุรุษระดับก่อกำเนิดคนหนึ่งก้าวสองสามก้าวมาอยู่ตรงหน้าชายชราแล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“อืม สังหารเผ่ามารระดับสูงทีเดียวได้จำนวนมากเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาย่อมไม่อาจทำได้ แม้ว่าสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ธรรมดา ก็ทำเรื่องนี้ได้ยาก และท่านอาวุโสระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไปแซ่หานที่อยู่ละแวกนี้ จากที่ข้ารู้จักก็มีอยู่แค่สองคนเท่านั้น คนหนึ่งเป็นท่านอาวุโสหานชิงที่เพิ่งเข้าร่วมกับจักรพรรดิมารศักดิ์สิทธิ์อรหันต์จิ่วเยี่ยน อีกท่านหนึ่งก็คือท่านอาวุโสหานลี่ที่พักอยู่ในเมืองเทวะสวรรค์ ท่านอาวุโสทั้งสองท่านล้วนมีพลังยุทธ์ลึกล้ำยากจะคาดเดา อิทธิฤทธิ์เกรียงไกร น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น ส่วนเป็นท่านอาวุโสท่านใดกันแน่ รอพวกเรารอดพ้นจากอันตรายแล้ว ย่อมค่อยไปถามให้ละเอียด บุญคุณการช่วยชีวิตครั้งนี้ พวกเราไม่อาจลืมเลือนได้” ชายชราเคราขาวครุ่นคิดแล้วพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ขณะเอ่ย

“ขอรับ ศิษย์จักปฏิบัติตามคำสอนของท่านอาจารย์ ทว่าในเมื่อที่นี่มีเผ่ามารปรากฏขึ้นมันไม่ค่อยปลอดภัยแล้ว จากนี้พวกเราเดินหน้าไปทางเดิม เข้าใกล้ชีพจรวารีภูเขาดำของพรรค และยังต้องไปทางทิศตะวันตกตามที่ท่านอาวุโสบอก จากที่ศิษย์ทราบทางทิศตะวันตกรกร้างมาก เป็นที่ราบลุ่ม เกรงว่าคงไม่มีสถานที่ลับอันใดให้ซ่อนตัว” บุรุษวัยกลางคนเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“ชีพจรวารีภูเขาดำอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ทางนั้นน่าจะไม่ใช่สถานที่ซึ่งปลอดภัยอันใด และในเมื่อท่านอาวุโสหานบอกว่าทางตะวันตกไม่มีเผ่ามารปรากฏตัว คิดดูแล้วคงเป็นความจริง ส่วนที่รกร้างและที่ราบลุ่มจะเป็นอันใดไป เจ้าคิดว่าแอบในภูเขาจะหลบหลีกการค้นหาจากจิตสัมผัสของเผ่ามารระดับสูงได้หรือ? ขอแค่พวกเราหาที่รกร้างได้ จากนั้นวางเขตอาคม ลงไปยังส่วนลึกใต้ดิน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่อาจหลบหลีกเคราะห์มารครั้งนี้ได้ ถึงอย่างไรเสียเผ่ามารก็ไม่อาจตรวจสอบเขตแดนทั้งหมดของพวกเราได้” ชายชราเคราขาวหรี่ตาทั้งสองข้างลง ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“ขอรับ ศิษย์จะไปทางตะวันตกเดี๋ยวนี้” บุรุษวัยกลางคนครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง

“ใช่แล้ว ตรวจสอบอาวุธในถุงเก็บของของเผ่ามารเหล่านั้น เผ่ามารพวกนี้ล้วนเป็นยอดฝีมือ ตระกูลน่าจะร่ำรวย ในเมื่อท่านอาวุโสหานผู้นี้ไม่ได้เอาไป คิดดูแล้วคงไม่สนใจของเหล่านี้ แต่สำหรับสำนักอาชาสวรรค์อย่างพวกเรา กลับไม่ธรรมดา” ชายชรานึกอันใดขึ้นมาได้ ก็รีบออกคำสั่ง

บุรุษวัยกลางคนย่อมตอบรับ หันกายไปออกคำสั่งของชายชราเคราขาวกับคนอื่นๆ

ดังนั้นผ่านไปชั่วครู่เผ่ามนุษย์ยี่สิบสามสิบคนที่กลายเป็นลำแสงหลีกหนีสลายหายไปในตอนแรกก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีพุ่งไปยังทิศตะวันตก

ส่วนเผ่ามารที่หายไปเหล่านั้น คิดดูแล้วเผ่ามารคงไม่อาจพบอันใดในระยะเวลาสิบวันหรือครึ่งเดือน

เงาร่างคนในลำแสงสีเขียว ย่อมเป็นหานลี่

เรื่องที่เผ่ามารโอบล้อมมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียร ระหว่างทางเขาพบไปอย่างน้อยก็ห้าหกรอบแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้พบกับเผ่ามารระดับจอมมาร เขาก็จะสำแดงอัสนีหลีกหนีอย่างไม่เกรงใจ กวาดเผ่ามารที่ลอยไปลอยมาไปจนเกลี้ยง

ยามนี้นอกจากพบกับกองทัพเผ่ามารและจอมมารสองสามคนร่วมมือกันแล้ว มิเช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอันใด

ครึ่งเดือนต่อมาด้านหน้าพลันมีภูเขาและผืนป่าสีดำสนิทปรากฏขึ้น ในนั้นมีต้นไม้สูงใหญ่ ใบไม้รกชัฏ บางครั้งก็มีเสียงอสูรคำรามดังขึ้นเบาๆ ให้ความรู้สึกหนาวยะเยือก

ลำแสงหลีกหนีของหานลี่หม่นแสงลง ปรากฏตัวที่ขอบ และมองไปยังส่วนลึกของป่า

เห็นเพียงตรงจุดที่อยู่ไกลออกไปมียอดเขาเจ็ดลูกขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันเชื่อมต่อกันกลายเป็นยอดเขาขนาดเล็ก

“เพลิงธรณีน้ำพุเหลือง! ก่อนหน้านี้ที่เคยได้ยินมา ช่างสมคำร่ำลือจริงๆ เป็นสถานที่ที่ไอหยินหนาแน่น เกรงว่านอกจากผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาธาตุหยินที่มีอยู่จำนวนน้อยนิด ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรมาที่นี่น้อยมากสินะ” หานลี่เอ่ยพึมพำสองประโยค ชักสายตากลับมา กลายเป็นสายรุ้งยาวสายหนึ่งพุ่งไปยังยอดเขาสองสามลูกนั้น

สถานที่นั้นดูเหมือนจะห่างไกลมาก แต่จากความเร็วของสายรุ้งสีเขียวกลับมาอยู่ตรงหน้าได้ในพริบตา

หานลี่ไม่มีเจตนาจะหยุดพักเลยสักนิด ตรงไปยังยอดเขาที่สูงเป็นอันดับสองในบรรดายอดเขาทั้งเจ็ด หลังจากกะพริบวาบๆ ก็มาปรากฏตัวที่ยอดเขา และปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง

แต่หลังจากที่กวาดสายตาไป หานลี่กลับตกตะลึง เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

ยอดเขามีผู้บำเพ็ญเพียรอยู่สองคน กำลังนั่งสมาธิอยู่ในหลุมที่ดูเหมือนภูเขาไฟบนยอดเขา คนหนึ่งอ้วนท้วม ผิวขาว ใบหน้าขาวหูใหญ่ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นภิกษุสวมจีวรสีม่วง อีกคนหนึ่งเป็นชายชราร่างกายผ่ายผอม ผิวดำเกรียม แต่กลับอัปลักษณ์ราวกับเศษไม้ที่ไหม้เกรียม

ทั้งสองเหมือนกับเขาก็ไม่ปาน ล้วนมีพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง ก่อนหน้านี้ยิ่งไม่รู้ว่าใช้วิธีใดกลบกลิ่นอาย คาดไม่ถึงว่าจะไม่ทำให้หานลี่พบการดำรงอยู่ของพวกเขาก่อน

สองคนนี้เห็นหานลี่ปรากฏตัวขึ้นอย่างแปลกประหลาด รูม่านตาก็หดเล็กลง แทบจะกวาดมองไปในเวลาเดียวกัน

“เอ๋ ที่แท้ก็สหายหาน อาตมาเทียนฉานขอคารวะ” ภิกษุร่างอ้วนผู้นั้นเห็นใบหน้าของหานลี่อย่างชัดเจน ก็ตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยชื่อของหานลี่ออกมาด้วยความประหลาดใจ

ภิกษุผู้นั้นกลับเคยพบหน้ากับหานลี่ครั้งหนึ่ง ปรมาจารย์เทียนฉานผู้ที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นสมุนของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง!

“ที่แท้ก็ปรมาจารย์เทียนฉาน ผู้แซ่ขอคารวะ” หานลี่ตกตะลึงเช่นกัน แต่สีหน้าราบเรียบแค่คารวะจากไกลๆ

“เทียนฉาน เจ้ารู้จักคนผู้นี้!” ชายชราหน้าตาอัปลักษณ์อีกคนหนึ่งเองก็มองพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางของหานลี่ออกจึงหน้าเปลี่ยนสี เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“หึๆ ไม่แปลกที่พี่อวี่ถึงไม่รู้จัก สหายหานเพิ่งจะพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ได้ไม่ถึงสองสามร้อยปีเท่านั้น ก่อนหน้านี้พี่อวี่กักตนมาโดยตลอด ย่อมรู้สึกไม่คุ้นหน้า” ภิกษุเทียนฉานตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ

“สองสามร้อยปีก่อน? หากข้ามองไม่ผิด สหายหานน่าจะอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง!” ชายชราหน้าตาอัปลักษณ์พลันตกตะลึง อดที่จะเลื่อนสายตาไปถามหานลี่ไม่ได้

“ข้าน้อยเพิ่งจะพัฒนาระดับขั้นกลางได้ไม่นาน สหายคือ…” หานลี่ย่อมไม่อาจดูแคลนสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันได้ ย่อมคารวะแล้วเอ่ยถามเช่นกัน

“ตาเฒ่าอวี่เสี้ยวเทียน มีคนเรียกตาเฒ่าว่าอรหันต์เฮยอวี่ จุ๊ๆ สองสามร้อยปีก็สามารถพัฒนาระดับได้ คุณสมบัติที่สูงส่งของสหายหาน ตาเฒ่าไม่เคยเห็นสหายที่เทียบเทียมได้บนเกาะศักดิ์สิทธิ์เลย” แววตาของชายชราอัปลักษณ์เปล่งประกาย ปิดบังความตกตะลึงไม่ได้เลยสักนิด

“เกาะศักดิ์สิทธิ์? พี่อวี่คือทูตของเกาะศักดิ์สิทธิ์!” ครั้งนี้หานลี่พลันตกใจจนสะดุ้งโหยง เอ่ยถามเสียงหลง

“มิกล้ากล่าวว่าเป็นทูตเกาะศักดิ์สิทธิ์ แต่ยามนี้ตาเฒ่าพักอยู่ที่เกาะศักดิ์สิทธิ์!” อรหันต์เฮยอวี่เผยความมีมารยาทเป็นอย่างมากออกมา

“ชื่อเสียงของเกาะศักดิ์สิทธิ์ ผู้แซ่หานได้ยินมาคุ้นหูนัก แต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ไปหาประสบการณ์บนเกาะ หากมีเวลาว่างหวังว่าพี่อวี่จะแนะนำได้” หลังจากที่ใบหน้าตกตะลึงของหานลี่หายวับไป ก็ฉีกยิ้มออกมา

“หึๆ เดิมทุกๆ พันปีเกาะศักดิ์สิทธิ์จะเชิญผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งพัฒนาระดับผสานอินทรีย์มาครั้งหนึ่ง แม้กระทั่งจะถูกเชิญให้ฝึกฝนอยู่ที่เกาะ หากไม่ใช่ว่าเคราะห์มารปะทุ ไม่แน่ว่าพี่หานอาจจะสมหวังไปตั้งนานแล้ว” อรหันต์เฮยอวี่กลับเอ่ยแล้วหัวเราะหึๆ ออกมา

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าน้อยเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ทำให้สหายทั้งสองเห็นเรื่องขบขันแล้ว” หานลี่พยักหน้า ท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย

“ไม่เป็นไร เกาะศักดิ์สิทธิ์ให้ผู้บำเพ็ญเพียรบนเกาะรักษาความลับนี้เอาไว้ ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ลงไปจึงไม่ทราบเรื่องนี้” อรหันต์เฮยอวี่เอ่ยอย่างเข้าใจ

“ประสกหาน หลังจากที่จากกันไปในปีนั้น ได้ยินว่าสหายพักอยู่ที่เมืองเทวะสวรรค์ ก่อนที่เคราะห์มารจะปะทุก็ย้ายมาที่เมืองนี้ แต่ไม่ทราบว่ายามนี้สถานการณ์ทางเมืองเทวะสวรรค์เป็นอย่างไร?” ภิกษุพลันเอ่ยถามแทรก

“อืม ยามนี้ผู้แซ่หานพักอยู่ที่เมืองเทวะสวรรค์ นับว่าอยู่ในฐานะอาวุโสแขกผู้มีเกียรติ ส่วนสถานการณ์ของเมืองเทวะสวรรค์ก็ไม่นับว่าดีนัก นอกจากเมืองเทวะสวรรค์แล้วที่มั่นใหญ่ๆ ที่เหลือก็ดูเหมือนว่าจะถูกข้าศึกยึดแล้ว” ได้ยินภิกษุเอ่ยถามเช่นนี้ หานลี่ก็ตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“สถานการณ์ของเมืองเทวะสวรรค์อันตรายเช่นนี้! แม้ว่าที่มั่นทางนั้นจะน้อยกว่าที่อื่นมาก แต่ได้ยินว่าที่มั่นใหญ่สองสามแห่งล้วนมีพละกำลังแข็งแกร่ง และมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์นั่งบัญชาการอยู่ เหตุใดถึงถูกยึดรวดเร็วเช่นนี้!” ภิกษุหน้าเปลี่ยนสี

“เรื่องนี้พูดไปก็ยาว อีกเดี๋ยวข้าน้อยจะอธิบายให้ปรมาจารย์ฟังอย่างละเอียดก็แล้วกัน แต่จากฐานะของท่านปรมาจารย์และพี่อวี่ เหตุใดถึงมาปรากฏตัวที่นี่ ไม่ทราบว่าสะดวกจะบอกผู้แซ่หานหรือไม่?” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมาแล้วเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาขณะเอ่ยซักถาม