ตอนที่ 679
หญิงสาวปริศนา
“เอ่อ..มันก็ออกจะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนนะ”หลินเฟยว่าพลางมองไปทางเซี่ยจินเย่ครู่หนึ่ง เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น หวังโจวชูจะทิ้งลูกเมียไปหาหญิงอื่นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้แบบนั้นเซี่ยหลิงซูจะไม่ยอมให้บุตรสาวใช้แซ้หวังก็ไม่แปลก
“คุณนายเซี่ย ไม่ทราบว่าท่านพอจะรู้จักผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่าขอรับ บอกตามตรงว่าตอนนี้ข้าอยากตามหาตัวสามีเก่าของท่านให้เจอโดยเร็วที่สุด”ไป๋จูล่งถามด้วยท่าทีจริงจังมาก แม้จะฝืนใจไปหน่อยแต่ก็คงต้องให้แม่นางเซี่ยหลิงซูนึกภาพในวันนั้นให้ออก
“นางชื่อว่า จิ้งหลิง เจ้าค่ะ นางมีเส้นผมสีม่วงอ่อน มันเด่นมากข้าเลยจำได้ แต่ข้าไม่เคยรู้จักนางมาก่อนเลย อยู่ๆนางก็โผล่มากับสามีข้า แล้วสามีข้าก็เข้ามาบอกว่าจะเลิกกับข้าแล้วก็จากไปกับนางเลย”แม้จะพยายามพูดให้น้ำเสียงดูเรียบลื่นที่สุด แต่เซี่ยหลิงซูก็ยังมีท่าทีชะงักอยู่หลายครั้งเวลาเล่าเรื่องนี้ออกมา ทำให้เซี่ยจินเย่ผู้เป็นบุตรสาวเข้าไปจับมือของมารดาเอาไว้เพื่อปลอบใจนาง มารดาที่ถูกทิ้งให้เลี้ยงดูบุตรสาวอย่างตนคนเดียวนั้นเหนื่อยยากแค่ไหนมีเพียงเซี่ยจินเย่เท่านั้นที่ทราบดีที่สุด
“จิ้งหลิง…”ไป๋จูล่งหลับตาลงนึกถึงภาพอดีตที่เคยผ่านมาอีกครั้ง แต่นึกอย่างไรก็ไม่เห็นว่าจะมีผู้หญิงที่มีผมสีม่วงอยู่ในความทรงจำของอาณาจักรซานเลย ถ้าเป็นที่อาณาจักรไป๋ก็ว่าไปอย่าง
“จำไม่ได้เลยว่ามีคนตระกูลจิ้งหรือเปล่า ท่านน้าพวกเราควรตรวจสอบตามเมืองต่างๆอีกรอบหรือไม่”หลินเฟยถามพลางมองไปทางไป๋จูล่งช้าๆ รู้ชื่อและลักษณะเช่นนี้ก็ง่ายขึ้นมาก ขอเพียงหาตัวจิ้งหลิงผู้นี้ให้พบ โอกาสที่จะได้ข่าวหวังโจวชูก็มีมากขึ้น หรือบางทีอาจจะได้พบหวังโจวชูเลยก็เป็นได้
“แค่ในอาณาจักรซานอาจจะไม่พอ หลินเฟยเจ้าไปตระเวนถามในอาณาจักรซานก่อน ข้าจะไปตรวจสอบที่อาณาจักรข้างเคียง”ไป๋จูล่งตอบพลางพยักหน้าให้กับตงฟางที่พันอยู่รอบข้อมือของตนเอง
“อาจารย์ แล้วข้าล่ะเจ้าคะ”เซี่ยจินเย่ถามพลางมองหลินเฟยที่เตรียมจะให้จางจินออกไปนอกบ้านพร้อมๆกัน
“เจ้าดูแลอาการของมารดาเจ้าก่อน พวกเราแค่ไปสอบถามเมืองรอบๆเท่านั้นไม่มีอันตรายอะไรหรอก”หลินเฟยเห็นเซี่ยจินเย่มีท่าทีเป็นห่วงตนเองก็ยิ้มออกมาบางๆก่อนจะหันไปตอบนางด้วยท่าทีมั่นใจอย่างมาก
“เจ้าค่ะ..”เซี่ยจินเย่เห็นหลินเฟยยิ้มเช่นนั้นก็ได้แต่พยักหน้าช้าๆอย่างเชื่อฟัง ช่วงนี้บรรยากาศระหว่างนางกับอาจารย์ค่อนข้างอึดอัดเสียด้วย เหมือนพักนี้เซี่ยจินเย่ไม่ได้เห็นอาจารย์ยิ้มให้มาหลายวันแล้ว
“เจ้าอยู่ดูแลแม่ของเจ้าที่นี่ก่อน พวกเราจะรีบกลับมา”หลินเฟยว่าพลางพาจางจินออกไปนอกบ้านพร้อมกับพวกไป๋จูล่ง ด้วยความเร็วของจางจินและตงฟาง การบินไปสอบถามตามเมืองต่างๆคงกินเวลาไม่นาน คาดว่าเซี่ยจินเย่คงมีเวลาว่างไม่กี่วัน
“ท่านแม่ ขอโทษด้วยนะเจ้าคะที่ต้องถามเรื่องท่านพ่อจากท่าน”เซี่ยจินเย่ยิ้มเจื่อนๆออกมาพลางเข้าไปนั่งข้างๆมารดาอีกครั้ง ไม่บ่อยนักที่เซี่ยจินเย่จะเห็นมารดามีท่าทีลำบากใจ ชีวิตของนางสงบและสุขสบาย แม้จะไม่ได้ร่ำรวยอะไรแต่นางก็ทำงานอยู่ที่ร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลนัก รายได้พออยู่พอกินแถมยังได้รับเงินที่เซี่ยจินเย่ส่งมาให้ด้วยทำให้นางไม่ขาดสนอะไร เรื่องสุขภาพตัวนางก็เป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณมีฝีมือระดับกลาง วิชาดั้งเดิมของเซี่ยจินเย่ก็ได้มารดาสอนสั่งให้ เรียกได้ว่าไม่มีใครมารังแกนางได้ง่ายๆ ยิ่งตอนนี้บุตรสาวเป็นถึงศิษย์เอกของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายยิ่งแล้วใหญ่ เรื่องที่ทำให้มารดาของเซี่ยจินเย่เศร้าใจได้ก็คงเหลือแต่เรื่องบิดาของนางนี่ล่ะ
“พอได้พูดแล้วก็รู้สึกโล่งเหมือนกันนะ”เซี่ยหลิงซูดึงร่างของบุตรสาวลงมานอนหนุนตักตนเองก่อนจะลูบหัวบุตรสาวเบาๆอย่างเอ็นดู นางปิดเรื่องของสามีเอาไว้มานานมากแล้วเพราะกลัวว่าเซี่ยจินเย่จะเสียใจเหมือนตนเอง แต่ตอนนี้เซี่ยจินเย่โตเป็นสาวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบแค่เรื่องบิดาไปหาหญิงอื่นไม่ทำให้นางร้องไห้งอแงอีกแล้ว
“ลูกอยากจะฟังเรื่องของพ่อเขาอีกหรือเปล่า”เซี่ยหลิงซูถามพลางมองบุตรสาวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ในเมื่อพูดออกไปแล้วเซี่ยหลิงซูก็ไม่ต้องปิดบังอะไรอีก เรื่องของหวังโจวชูไม่ได้มีแต่เรื่องเลวร้ายหรอก ไม่สินอกจากเรื่องที่ทิ้งตนเองไปแล้วหวังโจวชูเป็นชายที่ยอดเยี่ยมมากเลยก็ว่าได้
“เจ้าค่ะ ข้าอยากฟัง”เซี่ยจินเย่เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจตอบออกมาว่าตนเองอยากทราบเรื่องของบิดาเช่นกัน ไม่ว่าจะดีจะชั่วมันก็คือบิดาของนาง อย่างน้อยนางก็อยากจะรู้เอาไว้ว่าบิดาของนางเป็นคนอย่างไรกันแน่
แต่ผิดคาด ทันทีที่เริ่มเล่าเซี่ยหลิงซูก็มีแต่เรื่องดีๆของหวังโจวชูพรั่งพรูออกมาจากปากราวกับสายน้ำหลาก ตั้งแต่ตอนที่เจอกัน ตอนที่เริ่มมีใจให้กัน แถมหวังโจวชูยังเป็นคนดูแลเซี่ยหลิงซูตอนที่เสียบิดาและมารดาไปอีกต่างหาก เรียกได้ว่าเป็นชายแสนดีคนหนึ่งเลย
แปะ…
เล่าไปได้สักพักอยู่ๆที่แก้มของเซี่ยจินเย่ก็มีน้ำใสๆไหลลงมาอยู่ที่แก้มของเซี่ยจินเย่ แต่น้ำตาหยดนี้ไม่ได้ไหลออกมาจากตาของนาง แต่ไหลออกมาจากมารดาที่นางกำลังนอนหนุนตักอยู่ต่างหาก
“ท่านแม่….”เซี่ยจินเย่มองมารดาด้วยท่าทีเป็นห่วง แต่มารดาของนางกลับส่ายหน้าช้าๆเพื่อบอกว่าตนเองไม่เป็นไร
“แม่ไม่เป็นไร…แม่แค่พึ่งนึกได้ว่าพ่อเป็นคนดีแค่ไหนเท่านั้นเอง”เซี่ยหลิงซูตอบพลางเช็ดน้ำตาช้าๆ นางพยายามไม่คิดถึงสามีเก่ามาตลอด แต่พอได้เล่าเรื่องของสามีแล้วก็เจอแต่เรื่องดีๆทั้งนั้น
“ที่แท้ท่านพ่อก็เป็นคนดีมากนี่เอง ท่านแม่ไม่ยอมพูดถึงท่านพ่อเลยข้าเลยนึกว่าท่านพ่อเป็นคนไม่ดีอาจจะถึงขั้นตบตีท่านแม่เสียอีก”เซี่ยจินเย่พอได้ฟังเรื่องของบิดาตนเองก็ระบายความคิดของตนออกมาบ้าง เพราะมารดาเศร้าทุกครั้งที่พูดถึงบิดาทำให้นาแอบคิดไปแบบนั้นเหมือนกัน
“จริงๆแล้วเป็นแม่ต่างหากที่ตีพ่อนะ….”เซี่ยหลิงซูตอบพลางเกาแก้มเขินๆออกมาให้บุตรสาวเห็น
“อะไรนะเจ้าคะ”เซี่ยจินเย่เลิกคิ้วด้วยท่าทีตกใจ มารดาที่ไม่เคยตีตนเองเนี่ยนะเคยตีท่านพ่อ
“ก็ตอนนั้นแม่โกรธมากนี่นาที่พ่อมาบอกว่าจะไปอยู่กับผู้หญิงคนนั้น แม่เลยทุบอกพ่อไปหลายที”เซี่ยหลิงซูเล่าด้วยท่าทีเขินๆ ตอนนั้นมันเหมือนฉากละครไม่มีผิด นางพยายามเข้าไปถามเหตุผลกับหวังโจวชูแต่ก็ไม่ได้คำตอบ ตอนนั้นนางขาดสติเลยทุบหวังโจวชูไปหลายครั้งแต่เพราะฝีมือห่างกันมากหวังโจวชูเลยไม่น่าจะบาดเจ็บอะไร
“แต่ผู้หญิงคนนั้นร้ายกาจมาก พอเห็นแม่ทุบพ่อนางก็เข้ามาผลักแม่จนล้ม ทั้งๆที่นางไม่มีพลังวิญญาณเลยแท้ๆ”เซี่ยหลิงซูบ่นออกมาด้วยท่าทีไม่พอใจแต่เรื่องนี้กลับทำให้เซี่ยจินเย่รู้สึกแปลกๆเสียอย่างนั้น
“นางไม่มีพลังวิญญาณหรือเจ้าคะ”เซี่ยจินเย่ลุกพรวดขึ้นมาถามกับมารดาของตนเองอย่างจริงจัง เป็นไปไม่ได้หรอกที่คนไม่มีพลังวิญญาณจะผลักเซี่ยหลิงซูล้มได้
“ใช่ แม่สัมผัสพลังของนางไม่ได้เลย แต่นางมีพลังเยอะมากเลยนะ”เซี่ยหลิงซูตอบพลางนึกย้อนไปตอนนั้น อีกฝ่ายผลักนางเบาๆเท่านั้นแต่กลับทำให้เซี่ยหลิงซูที่ฝึกฝนวิชาสายตั้งรับล้มไม่เป็นท่า กำลังขนาดนั้นตัวเซี่ยหลิงซูไม่เคยเจอมาก่อนเลย
“หรือว่า…”เซี่ยจินเย่ได้ยินเช่นนั้นก็พลันคิดคำนวณในหัวทันที การสัมผัสพลังวิญญาณของอีกฝ่ายมีอยู่ 2 ทางเท่านั้นคืออีกฝ่ายมีวิชาปกปิดพลังวิญญาณ หรือไม่ก็อีกฝ่ายมีพลังอย่างอื่นแทน
“ท่านแม่ ก่อนที่ท่านพ่อจะพาผู้หญิงคนนั้นกลับมา ท่านพ่อออกไปไหนมาก่อนหรือเจ้าคะ”เซี่ยจินเย่ถามมารดาตนเพื่อความแน่ใจ หากเป็นอย่างที่นางคิดละก็..
“ตอนนั้นพ่อของเจ้าบอกว่าจะออกไปหาสมุนไพรมาช่วยบำรุงเจ้าที่อยู่ในท้อง แต่แม่ก็ไม่รู้หรอกว่าพ่อของเจ้าไปที่ไหน พอวันรุ่งขึ้นพ่อของเจ้าก็กลับมาพร้อมผู้หญิงคนนั้นแล้ว”ได้ยินคำตอบเซี่ยจินเย่ก็เดาได้ทันทีว่าสถานที่ท่านพ่อไปนั้นต้องเป็นเขตอสูรแน่ๆ เพราะแบบนี้เองตามเมืองต่างๆพวกอาจารย์ถึงได้ตามหากันไม่เจอ
“ท่านแม่ ข้าจะออกไปข้างนอกนะเจ้าคะ”เซี่ยจินเย่ว่าพลางนำกระดาษออกมาเขียนจดหมายเพื่อจะส่งให้หลินเฟย แม้จะไม่ทราบว่านกธรรมดาจะบินตามจางจินทันหรือเปล่าก็ตาม แต่นางต้องบอกอาจารย์ให้รู้ให้ได้ว่าหญิงสาวนามว่าจิ้งหลิงนั้นเป็นอสูรไม่ใช่มนุษย์ และนางก็คงอาศัยอยู่ในเขตอสูรที่ไหนสักแห่งเป็นแน่
“เย่เอ๋อ เจ้าจะไปไหนงั้นหรือ”เซี่ยหลิงซูถามพลางมองบุตรสาวด้วยท่าทีเป็นห่วง อยู่ๆนางก็เหมือนคิดอะไรออกก็เลยจะไปข้างนอกเสียอย่างนั้น
“ท่านแม่ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นไรหรอก”เซี่ยจินเย่ตอบด้วยท่าทีมั่นใจ หากไปตามหาบิดาในเขตอสูรนางย่อมไปได้สบายอยู่แล้ว เพราะตัวนางมีพลังดึงดูดเหล่าอสูรทำให้สามารถเข้าออกเขตอสูรได้ตามใจชอบ นางตัดสินใจไปด้วยตนเองเช่นนี้เพราะไม่อยากให้เวลาเสียเปล่า
ก่อนอื่นเขตอสูรที่สำนักเหยี่ยวทะเลทรายใช้ทำมาหากินตัดทิ้งไปได้เลย เพราะทุกที่ที่ว่ามาอาจารย์ของนางไปตรวจสอบมาหมดแล้ว ไม่มีเขตอสูรไหนที่อาจารย์พบมนุษย์อาศัยในเขตอสูรเลย ทำให้เซี่ยจินเย่ตีวงแคบลงมามาก และการที่บิดาของนางไปและกลับมาในวันเดียวเท่ากับว่าน่าจะเป็นเขตอสูรที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองของนางนัก
ฟุบ….
ที่แรกที่เซี่ยจินเย่เลือกไปคือเขตอสูรที่อยู่ทางตอนใต้ของเมือง ต้องขอบคุณข้อมูลของอาจารย์จริงๆทำให้รู้สถานที่ตั้งของเขตอสูรส่วนใหญ่ในอาณาจักรซานหมดแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เซี่ยจินเย่รีบร้อนเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดของปู่มังกรเขียวเท่านั้น แต่เพราะนางตระหนักว่าหากหญิงสาวคนนั้นเป็นอสูร เรื่องราวจริงๆอาจจะไม่ใช่เรื่องชู้สาวอย่างที่เข้าใจก็ได้ บิดาที่แสนดีคนนั้นทำไมต้องทิ้งมารดาของนางไป ความจริงนี้อาจจะได้ฟังจากปากบิดาของนางก็เป็นได้