บทที่ 435.3 แม่นางชุดเขียวกินขนม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ทางฝ่ายของเกาะกงหลิ่วยังคงทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดงทุกวัน

นี่เป็นภาพที่เห็นได้น้อยครั้งในทะเลสาบซูเจี่ยน ในอดีตไหนเลยจะต้องมาลับฝีปากกันเช่นนี้ ป่านนี้คงทุ่มสมบัติอาคมให้เห็นดีกันไปนานแล้ว

ในเมื่อเป็นงานประชุมเจ้าเกาะ กฎเกณฑ์ภายนอกจึงยังต้องรักษาเอาไว้ กู้ช่านและสหายอย่างพวกลวี่ไช่ซาง หยวนหยวน ฯลฯ ต่างก็ไม่ได้ไปปรากฏตัวอยู่ที่โถงซานฟู่แห่งนั้น แม้ว่าเวลาพบเห็นพวกเขา เจ้าเกาะส่วนใหญ่ล้วนมีใบหน้ายิ้มแย้มส่งให้ บางทีเรียกขานตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับเจ้าลูกกระต่ายสามคนนี้ก็ยังไม่รู้สึกว่าน่าอายก็ตาม ช่วงเวลานี้บนเกาะกงหลิ่วมีคนมากมายมารวมตัวกันอยู่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนสนิทหรือคนที่เจ้าเกาะแต่ละแห่งเชื่อใจ หลังจากที่ผู้ฝึกตนหญิงซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพของทะเลสาบซูเจี่ยนคนก่อนตายไปอย่างเฉียบพลันระหว่างที่เดินทางออกไปข้างนอก เกาะกงหลิ่วที่เดิมทีมีนางเป็นผู้ดูแลจึงไร้ผู้คนมาจัดการความเรียบร้อยสองร้อยกว่าปีแล้ว มีเพียงผู้ฝึกตนอิสระอายุมากบางส่วนที่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนที่จะส่งคนมาจัดการเก็บกวาดเกาะกงหลิ่วเป็นบางครั้ง ไม่อย่างนั้นป่านนี้เกาะกงหลิ่วก็คงกลายเป็นสถานที่รกร้างเก่าโทรมที่มีหญ้าขึ้นท่วมหัว เป็นที่อยู่ของกระต่ายและหมาป่าไปนานแล้ว

อดีตเจ้าเกาะกงหลิ่วคนเก่าก็คือผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนเพียงหนึ่งเดียวของแจกันสมบัติทวีปอย่างหลิวเหล่าเฉิง

คนผู้นี้มีชาติกำเนิดมาจากสถานที่เล็กๆ เก่าโทรมทางตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปที่มีชื่อว่าตรอกหางผึ้ง สร้างโอสถได้บนสะพานไม้เส้นหนึ่งที่แขวนเชื่อมโยงระหว่างภูเขาสองลูกของตระกูลเซียนเล็กๆ สองแห่ง ชื่อเสียงจึงเลื่องระบือไปทั้งทะเลสาบซูเจี่ยน

ตอนนั้นหลังจากที่หลิวเหล่าเฉิงเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน เดิมทีควรต้องมีการจัดงานพิธีบนภูเขาตามกฎที่สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อกำหนดไว้ เขาสามารถสร้างพรรคก่อตั้งสำนักขึ้นเป็นของตัวเอง เพียงแต่ว่าหลิวเหล่าเฉิงกลับผลักผู้ฝึกตนหญิงแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนคนหนึ่งที่สนิทสนมกับเขาขึ้นนั่งบนบัลลังก์เจ้าแห่งยุทธภพ ส่วนตัวเองก็ไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน พเนจรร่อนเร่ไปสี่ทิศ ไม่อยู่เป็นที่เป็นทาง แล้วก็ไม่มีข่าวคราวส่งกลับมาที่ทะเลสาบซูเจี่ยนอีก นี่ถึงทำให้ทะเลสาบซูเจี่ยนที่กว่าจะความหวังว่าจะได้รวมเป็นปึกแผ่นต้องมาเจอกับสถานการณ์วุ่นวายจากการที่เหล่าผู้กล้าพยายามแบ่งแยกดินแดนกันอีกครั้ง นี่ถึงทำให้หลิวจื้อเม่าและเกาะชิงเสียลุกผงาดอย่างว่องไว ลูกกระต่ายน้อยต่างแดนที่ไร้ขื่อไร้แปอย่างกู้ช่านถึงมาสร้างคลื่นลมมรสุมอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนได้

เข้าสู่ช่วงหน้าหนาว เฉินผิงอันเริ่มไปมาหาสู่ระหว่างเรือนผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าเกาะชิงเสีย หอไข่มุกเกาะจูไช อวี๋กุ้ยแห่งเกาะตะขอจันทร์และผู้ฝึกตนใหญ่สำนักหยินหยางผู้นั้นบ่อยขึ้น

และในขณะที่แม้แต่เฉินผิงอันก็คิดว่าการทะเลาะกันของเกาะกงหลิ่วควรจะได้เวลารู้ผลลัพธ์แล้วนั้นเอง ภูเขาพุดตานของทะเลสาบซูเจี่ยนก็เกิดอุบัติภัยสะท้านฟ้าครั้งใหญ่

เดิมทีตบะของเจ้าเกาะภูเขาพุดตานก็ไม่สูงอยู่แล้ว และแต่ไหนแต่ไรมาภูเขาพุดตานก็เป็นแค่เกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งที่พึ่งพาเกาะเทียนหมู่ ส่วนเกาะเทียนหมู่ก็เป็นหนึ่งในเกาะใหญ่ที่คัดค้านไม่ให้หลิวจื้อเม่ากลายเป็นเจ้าแห่งยุทธภพ

ภูเขาพุดตานที่มีผลิตผลเป็นหินฝูหรงซึ่งนำมาทำเป็นตราประทับได้ดีเยี่ยมที่สุดจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ตั้งอยู่ริมขอบของทะเลสาบซูเจี่ยน อยู่ติดกับนครลวี่ถงหนึ่งในสี่นครใหญ่ที่อยู่ติดกับทะเลสาบ ผลกลับกลายเป็นว่าเกิดไฟไหม้ลุกโชนขึ้นในค่ำคืนหนึ่ง ชักนำให้เกิดศึกรุนแรงดุเดือดที่ไม่เป็นรองการต่อสู้ของก่อกำเนิดสองคน ผู้ฝึกตนของภูเขาพุดตานและผู้ฝึกตนไม่ทราบชื่อสิบกว่าคนที่แอบแฝงตัวเข้าไปในเกาะลงมืออย่างรุนแรง ประกายแสงเรืองรองสาดสะท้อนไปเกินครึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยน คนหนึ่งในนั้นใช้โคมไฟขนาดใหญ่ยักษ์ที่ปานประหนึ่งตำหนักเซียนบนสรวงสวรรค์มาแขวนห้อยไว้กลางม่านราตรีเหนือทะเลสาบซูเจี่ยนซึ่งน่าตะลึงพรึงเพริดอย่างถึงที่สุด ราวกับจะส่องแสงประชันกับดวงจันทราอย่างไรอย่างนั้น

สุดท้ายก็ยิ่งมีมังกรเพลิงตัวหนึ่งที่ยาวหลายร้อยจั้งเผยกายพร้อมเสียงกู่ร้องคำราม ขดกายโอบล้อมอยู่บนยอดเขาพุดตาน แผ่นดินสะเทือนไหว น้ำในทะเลสาบเกิดคลื่นโถมตัว ทำเอาผู้ฝึกตนใหญ่บนเกาะกงหลิ่วที่เดิมทีคิดจะมุ่งหน้าไปสืบข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นพากันล้มเลิกความคิด สายตาที่ทุกคนมองมายังหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินแฝงไว้ด้วยเลศนัย รวมไปถึงความกริ่งเกรงหวาดกลัวที่มากกว่าเดิม

เจ้าเกาะภูเขาพุดตานเศร้าเสียใจประหนึ่งสูญเสียบิดา

เจ้าเกาะเทียนหมู่ก็ยิ่งเป็นเดือดเป็นแค้น ตวาดด่าหลิวจื้อเม่าว่าทำลายกฎของการประชุม ถึงขั้นลงมือกับภูเขาพุดตานอย่างอำมหิตโดยพลการ!

หลิวจื้อเม่าตอบโต้กลับไปสองสามคำ บอกว่าตัวเองไม่ใช่คนโง่สักหน่อย ถึงจะได้ทำให้ฝูงชนแค้นเคืองในเวลานี้ แล้วจะต้องไปลอบโจมตีภูเขาพุดตานที่ถือว่าเป็น ‘แดนบิน’ (หมายถึงอาณาเขตเป็นของมณฑลหนึ่ง แต่อำนาจการบริหารกลับขึ้นอยู่กับอีกมณฑลหนึ่ง) ของเกาะชิงเสียไปทำไม?

เกาะเทียนหมู่ด่าหลิวจื้อเม่าเสียจนไม่เหลือชิ้นดี หลิวจื้อเม่าไม่พูดไม่จาก็เปิดฉากต่อสู้กับเจ้าเกาะเทียนหมู่ที่แม้จะไม่มีตบะเป็นก่อกำเนิด แต่กลับมีสมบัติอาคมที่หาได้ยากยิ่งชิ้นหนึ่ง

คืนนั้นกู้ช่านกับหนีชิวน้อยยืนเคียงบ่ากัน ทอดสายตามองไปยังมังกรเพลิงบนยอดเขาพุดตานที่พลังอำนาจน่าสะพรึงกลัวตัวนั้น

กู้ช่านถามด้วยรอยยิ้ม “เผ่าพันธุ์เดียวกัน?”

หนีชิวน้อยเช็ดปาก “หากได้กินมัน ไม่แน่ว่าอาจได้เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนโดยตรงเลย แล้วก็ไม่ต้องร้องหิวกับนายท่านอย่างน้อยก็หนึ่งร้อยปี”

กู้ช่านถามด้วยสายตาฉายประกายร้อนแรง “มีโอกาสชนะมากไหม?”

หนีชิวน้อยจ้องแสงเพลิงที่พร่างพราวบนยอดเขาพุดตานเขม็ง น้ำลายมันไหลย้อยออกมา จำต้องยกมืออุดปาก หัวเราะคิกคักตอบว่า “หากแค่ต่อสู้กับมัน ไม่มีผู้ฝึกตนคนใดยื่นมือเข้าแทรก ในทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ก็หกต่อสี่ ข้ามีโอกาสชนะมากกว่าเล็กน้อย”

กู้ช่านคิดแล้วก็กล่าวว่า “เรื่องราวไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น ครั้งนี้พวกเราต้องเชื่อฟังเฉินผิงอัน ไม่ต้องรีบร้อน คนกลุ่มนั้นกล้าลงมือในเวลานี้ ต้องไม่ได้คิดจะพาตัวมาตายเปล่าๆ แน่นอน”

หนีชิวน้อยกล่าวอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะดำลงไปที่ก้นทะเลสาบ ไปแอบมองอยู่ใกล้ๆ ภูเขาพุดตานสักครั้ง?”

กู้ช่านส่ายหน้า “ทางที่ดีที่สุดไม่ควรทำเช่นนั้น ระวังว่าจะพาตัวไปติดกับ รอให้ข่าวของทางฝั่งนั้นส่งไปถึงเกาะชิงเสียก่อน ข้าย่อมปรึกษาหารือกับหลิวจื้อเม่าเพื่อคิดหาแผนการที่รอบคอบรัดกุมแทน”

หนีชิวน้อยกล่าวอย่างน้อยใจ “จิ้งจอกเฒ่าอย่างหลิวจื้อเม่าอาจไม่ยินดีเห็นข้าฝ่าทะลุขอบเขตอีกครั้ง”

กู้ช่านหรี่ตาลง เอ่ยเบาๆ ว่า “แล้วถ้าหลิวเหล่าเฉิงของเกาะกงหลิ่วปรากฏตัวล่ะ? เจ้าคิดว่าอาจารย์ของข้าจะยังนั่งติดอีกไหม?”

หนีชิวน้อยเอียงศีรษะ “ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบคนนั้นแอบกลับมาแล้วหรือ?”

กู้ช่านกระตุกมุมปาก “ขอแค่หลังจากจบเรื่องแล้วแน่ใจว่ามีโอกาสที่จะทำให้เจ้าอิ่มท้องหนึ่งมื้อ เมื่อกินมื้อนี้แล้วจะไม่ต้องหิวไปอีกร้อยปีได้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นต่อให้หลิวเหล่าเฉิงไม่มาเกาะกงหลิ่ว ข้าก็จะต้องทำให้ ‘หลิวเหล่าเฉิง’ ปรากฎตัวที่นครแห่งใดแห่งหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยนให้จงได้ เถียนหูจวิน ลวี่ไช่ซาง หยวนหยวน อวี๋กุ้ย ฯลฯ คนเหล่านี้ล้วนเอามาใช้งานได้ หากคิดจะทำก็ต้องทำการค้าที่ได้กำไรก้อนใหญ่!”

บนยอดเขาพุดตาน

ท่ามกลางม่านราตรี สตรีสวมชุดเขียวมัดผมหางม้าคนหนึ่งสะบัดข้อมือ มังกรเพลิงตัวนั้นก็กลายมาเป็นกำไลข้อมือที่ขดล้อมอยู่รอบข้อมือขาวนวลเนียนของนาง

ต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มจืดเจื่อน นับตั้งแต่ที่พวกเขาฝ่าค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาและแม่น้ำจนขึ้นมาบนภูเขาลูกนี้ ต้องต่อสู้อย่างยากลำบาก ปรมาจารย์วิถีวรยุทธขอบเขตเจ็ดสองคนรบตายไปคนหนึ่ง ผลกลับกลายเป็นว่าแค่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ลงมือครั้งเดียว ทุกอย่างก็ยุติลงแล้ว

สตรีชุดเขียวหันหน้าไปทางอื่น หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมา เริ่มกัดกินขนมชิ้นหนึ่งคำเล็กๆ

ช่วยไม่ได้ อาจารย์ผู้เฒ่าซ่งถึงขนาดต้องใช้วัตถุแห่งชะตาชีวิตอย่างโคมไฟดวงนั้นแล้ว แต่ก็ยังเกือบจะทำให้ผู้ฝึกตนโอสถทองที่เชี่ยวชาญด้านการแยกดวงวิญญาณหนีไปได้

ต้องคอยตามก้นของอาจารย์และศิษย์กลุ่มนี้ต้อยๆ ทำให้นางไม่พอใจอย่างมาก

เพียงแต่ว่าการเดินทางลงใต้ครั้งนี้เหน็ดเหนื่อยกันอย่างยิ่ง นางจึงรู้สึกไม่ดีหากจะให้พูดว่าอันที่จริงตนก็แค่เบื่อมากๆๆ เท่านั้น

เวลานี้เบื้องหน้านางยังมีเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด อาภรณ์ขาดวิ่นอยู่คนหนึ่ง เขากำลังจ้องมองนางด้วยใบหน้าที่เคียดแค้น

นางกินขนมเสร็จแล้ว อารมณ์ก็ดีขึ้นมาอีกนิด จึงมองสบตาเขา ถามว่า “อยากตายรึ?”

เด็กหนุ่มสูงใหญ่ถ่มเลือดออกมาหนึ่งคำ นึกถึงอาจารย์ที่ต้องตายอย่างน่าอนาถเพราะถูกมังกรเพลิงตัวนั้นกลืนลงท้อง ความเคียดแค้นในใจของเด็กหนุ่มก็ท่วมเทียมฟ้า สายตาของเขาเด็ดเดี่ยวหนักแน่นอย่างน่าประทับใจ เห็นเพียงว่าเขากำมือสองข้างเป็นหมัด เอ่ยเย้ยหยันว่า “ไล่ตามพวกเรามาไกลขนาดนี้ ผู้ฝึกตนหน้าสุนัขของต้าหลีอย่างพวกเจ้ามีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่? ก็ไม่ใช่เพราะอยากจะให้ข้ากลับต้าหลีเพื่ออุทิศตนให้แก่พวกเจ้า เพิ่มโชคชะตาบู๊ให้แก่สกุลซ่งต้าหลีของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

นางมองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าฉลาดมาก อันที่จริงเจ้าไม่อยากตายเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เจ้ารู้ดีว่าหน่วยจานกานของต้าหลีย่อมไม่มีทางสังหารเจ้า อีกทั้งเจ้ายังอยากได้ป้ายหยกตระกูลเซียนและสมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งมาจากมือของอาจารย์เจ้า เจ้าถึงได้คอยติดตามอาจารย์เจ้ามาตลอด แต่ข้าก็มองออกว่า เจ้ายังพอจะมีความจริงใจต่ออาจารย์ของเจ้าบ้าง ตอนนี้จึงอยากจะแก้แค้นให้เขาอย่างมาก คิดว่าหากวันใดเล่าเรียนวิชาเซียนที่อยู่ในป้ายหยกได้สำเร็จ หรือหล่อหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้นได้แล้ว เจ้าจะย้อนกลับไปที่ต้าหลี อืม แถมยังคิดที่จะ…จับตัวข้ามา ไม่ได้แล่เนื้อเถือหนังเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น แต่จะจับข้ามาทำเป็นหุ่นเชิดของเล่นที่มีสติปัญญา…เจ้ารอเดี๋ยว”

นางหันหน้าไปกินขนมชิ้นเล็กๆ อีกหนึ่งชิ้น มองขนมดอกท้อไม่กี่ชิ้นที่เหลืออยู่บนผ้าเช็ดหน้า อารมณ์ของนางก็เริ่มย่ำแย่ แล้วจึงหันกลับมามองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่กำลังตื่นตะลึงผู้นั้นอีกครั้ง “เจ้าลองคิดดูอีกหน่อย ข้าอยากมองดูอีกนิด ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี”

ในที่สุดเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็เผยความลนลานหวาดกลัวออกมาให้เห็นเสี้ยวหนึ่ง เขาหันหน้าไปมองอาจารย์ซ่ง หลางจงกองบวงสรวงแห่งกรมพิธีการต้าหลีที่เขามองออกว่ามีฐานะสูงที่สุดแล้วหัวเราะเสียงเย็นว่า “นางบอกว่าจะฆ่าข้า เจ้าคิดว่าทำได้ไหม?”

นางกะพริบตาปริบๆ “ข้าจะฆ่าเจ้า ต่อให้พวกเขาทุกคนร่วมมือกันก็ยังห้ามไม่อยู่”

อาจารย์ซ่งตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ก่อนจะเดินทางลงใต้มาในครั้งนี้ ผู้เฒ่าพอจะรู้เรื่องวงในที่ลับที่สุดบางอย่างมาคร่าวๆ ยกตัวอย่างเช่นเหตุใดราชสำนักต้าหลีถึงได้เคารพเลื่อมใสอริยะหร่วนฉงถึงเพียงนี้ ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบเอ็ดคือบุคคลที่เป็นดั่งขนหงส์เขากิเลนในแจกันสมบัติทวีปก็จริง ทว่าต้าหลีไม่ใช่ราชวงศ์ใดในโลกมนุษย์ของแจกันสมบัติทวีป เหตุใดแม้แต่ตัวใต้เท้าราชครูเองก็ยังยินดีคล้อยตามหร่วนฉงไปเสียทุกเรื่อง?

คำตอบก็อยู่ที่ตัวของแม่นางหน้าตางดงามบุคลลิคอ่อนหวานนุ่มนวลตรงหน้าผู้นี้

ราชครูแค่พูดประโยคเดียวกับหลางจงกรมพิธีการผู้นี้ว่า หากหร่วนซิ่วตาย พวกเจ้าทุกคนก็ต้องตายอยู่นอกอาณาเขตของต้าหลี จะไม่มีใครช่วยเก็บศพให้พวกเจ้า หากหร่วนซิ่วต้องการสังหารพวกเจ้า ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกเจ้าหาเรื่องใส่ตัว ราชสำนักต้าหลีไม่เพียงแต่ไม่ช่วยหนุนหลังพวกเจ้า ยังจะซักไซ้เอาความผิดไปถึงหัวหน้าของพวกเจ้าด้วย

หร่วนซิ่วสะบัดข้อมือเบาๆ ร่างจริงของมังกรเพลิงที่อยู่ในรูปร่างของกำไลเล็กจิ๋วน่ารักก็ ‘ร่วง’ ลงบนพื้น สุดท้ายจำแลงร่างกลายเป็นองค์เทพสวมหน้ากากทององค์หนึ่งที่เดินเข้าหาเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เริ่มอ้อนวอนขอร้อง

ทันใดนั้นทั่วร่างของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็ถูกของเหลวสีทองเป็นเส้นๆ รัดพันไปทั่ว ประหนึ่งกลายมาเป็นกรงขัง ทำให้เขาร้องคร่ำครวญไม่หยุด

เทพร่างทองเพียงแค่บิดศีรษะของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หนึ่งที ครั้นจึงอ้าปากกว้าง เขมือบกลืนทั้งหัวและร่างของเขาลงท้องไปพร้อมกัน

สีหน้าของอาจารย์ซ่งทุกข์ระทม แต่กลับไม่กล้าห้ามปราม

ไล่ตามอย่างยากลำบากมาไกลนับหมื่นลี้ สุดท้ายกลับไม่ต่างจากใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ

หร่วนซิ่วหันหน้าไปมองยังทิศทางของเกาะกงหลิ่ว ครุ่นคิดแล้วก็เปิดผ้าเช็ดหน้า มองขนมที่เหลืออยู่ไม่กี่ชิ้น ก่อนจะหุบผ้าลงอย่างอาลัยอาวรณ์ คิดว่าคงต้องกินประหยัดๆ สักหน่อย ที่นี่ไม่มีร้านขนมของตรอกฉีหลงอยู่เสียด้วย

แม่นางชุดเขียวที่แต่ไหนแต่ไรมาสายตานิ่งสนิทประดุจบ่อโบราณที่ลึกล้ำ พริบตานั้นดวงตาของนางกลับฉายประกายเจิดจ้าระยิบระยับ เอียงศีรษะ ทำสีหน้าเหลือเชื่อ ย้ายเส้นสายตามองไปยังทิศทางหนึ่งที่ห่างจากเกาะกงหลิ่วไประยะทางหนึ่ง

นางเหมือนได้เห็นบุคคลคุ้นเคยที่มีรสชาติหวานหอมยิ่งกว่าขนม

นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาอีกครั้งอย่างว่องไว ยัดขนมใส่ปากคำแล้วคำเล่า และยังสลัดผ้าเช็ดหน้าแรงๆ ก่อนจะเก็บมันใส่ชายแขนเสื้อ สุดท้ายปัดมือ พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

สองแก้มของนางพองโป่ง เหตุใดถึงได้เหมือนคนที่พยายามทำลายของที่ขโมยมาเลยเล่า?

—–