ตอนที่ 376 เทียบเชิญประลอง

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 376 เทียบเชิญประลอง โดย Ink Stone_Fantasy

หลังจากที่ทุกคนจัดเตรียมสถานที่เสร็จเรียบร้อย สวีเจิ้นหนานก็ย้ายก้นของเขาไปนั่งข้างเยี่ยเทียน พูดด้วยความภาคภูมิใจว่า “เยี่ยเทียน เป็นไงบ้าง พี่ไม่ได้เล่นบาสแล้วแต่ฝึกมวยวูซูแทน คราวนี้ดูเหมือนเหมือนกับลมที่พัดน้ำเข้ามา”(เปรียบเทียบว่า คราวนี้ได้พบกับสิ่งที่ชอบและทำได้ดีกว่า)

กลุ่มนักบาสในมหาวิทยาลัยไม่เหมือนสมัยมัธยม คนมีฝีมือดีค่อนข้างเยอะ อีกทั้งส่วนสูงก็จำเป็นต้องมีความสูงมาก สวีเจิ้นหนานสูงแค่หนึ่งเมตรแปดสิบกว่า ๆ  ดังนั้นปะปนอยู่ในกลุ่มของนักบาสก็ไม่ค่อยสมปรารถนาสักเท่าไหร่ ไม่คิดมาก่อนว่าจะหาตำแหน่งของตัวเองเจอในชมรมวูซู

แม้ว่าจะไม่ใช่คนที่มีวิชาศิลปะป้องกันตัวมาก่อน แต่ว่าในชมรมวูซูแล้วความสามารถของสวีเจิ้นหนานก็ถือว่าแข็งแกร่งมาก ปีที่แล้วเมื่อพวกศิษย์เก่าเรียนจบไป เขาก็ได้กลายเป็นหัวหน้าคนปัจจุบันของชมรมวูซู แน่นอนว่าไม่ได้เลือกจากความสามารถในวิชากังฟู

“พี่ใหญ่ อย่าให้คนมาชกจนหน้าช้ำดำเขียวอีกละ”

เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมา จากประสบการณ์ของเขาและประสบการณ์ที่เคยรอดตายมาได้หลายหน ไม่เคยให้ความสนใจเกี่ยวกับการประลอง ถ้าเกิดว่าไม่ใช่เพราะสวีเจิ้นหนานต้องมา เขาก็จะไม่เสียเวลามานั่งให้กำลังใจอยู่ที่นี่หรอก

“พอแล้ว อย่าคิดว่าแกมีฝีมือคนเดียว สองปีที่ผ่านมาฉันก็ไม่ได้ฝึกโดยเปล่าประโยชน์”

สวีเจิ้นหนานหัวเราะกับคำพูดล้อเลียนของเยี่ยเทียน เขารู้ว่าเยี่ยเทียนมีวิชากังฟูติดตัว แต่ว่าระดับสูงขนาดไหน      สวีเจิ้นหนานเดาไม่ออก เพราะว่าต่อหน้าของเขา เยี่ยเทียนไม่เคยแสดงฝีมือออกมา

“พวกเขามาแล้ว หรงหรง พวกเธอนั่งอยู่ตรงนี้ดีแล้ว มาดูว่าฉันจะจัดการกับพวกเด็กผีพวกนี้อย่างไร”

ในขณะที่พูดอยู่ ก็มีเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาจากทางเข้าของชมรมวูซู ประมาณสี่ห้าสิบคน สวีเจิ้นหนานพอได้เห็นแล้วก็รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ

เดินไปหาคนที่อยู่ด้านหน้าของกลุ่ม มีชายหนึ่งหญิงหนึ่งคน และมีคนที่อยู่ข้างหลังทั้งสองคนนี้ ดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บ ถูกพวกนักศึกษาประคองเข้ามาในสนาม

“พวกเขาโหดร้ายจริง ๆ”

คนที่อยู่ด้านหลังของพวกนั้น เยี่ยเทียนรู้สึกคุ้นหน้าตามาก กลับเป็นพวกฝรั่งมาราไกย์ทั้งสี่คน เยี่ยเทียนยิ้มไม่ออก ไม่รู้ว่าพวกเขาเข้ามาปะปนอยู่ภายในมหาวิทยาลัยหวาชิงได้อย่างไรกัน

“ช่างมันเถอะ ขอเพียงแค่อย่ามารบกวนตัวเองก็พอ พวกเขาจะทำอะไรก็ทำไป”

พอได้เห็นมาราไกย์นั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากมาย แต่ให้ความสนใจกับชมรมคาราเต้กลุ่มนั้น

“ทั้งหมดนี้เป็นนักศึกษาของหวาชิงหมดเลยหรือ’’

เมื่อได้เห็นชื่อเสียงและบารมีของฝั่งนั้นที่ไม่ได้น้อยไปกว่าฝั่งตัวเอง เยี่ยเทียนก็หันไปข้าง ๆถามอวี๋ชิงหย่า แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจอะไรมากกับการประลองครั้งนี้ แต่มันก็ยังค่อนข้างน่ารังเกียจเกี่ยวกับคนทรยศในหมู่เพื่อนร่วมชาติของเขา

อวี๋ชิงหย่าผงกหัว พูดว่า “ทั้งหมดเป็นนักศึกษาของหวาชิง แต่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ คนจีนก็จะน้อยหน่อย”

“อื้อ ถ้างั้นก็แล้วไป” เมื่อได้ยินคำพูดของอวี๋ชิงหย่า เยี่ยเทียนก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา แม้ว่ามวยวูซูของจีนในยุคปัจจุบันจะลดลง แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกคนญี่ปุ่นจะสามารถมาข่มเหงรังแกได้

“มิยาโมโตะเคนตะ เป็นไรไป ฉันชนะแล้วยังไม่ยอมแพ้ ต้องให้คนมาช่วยหรือ”

ครั้งนี้สวีเจิ้นหนาให้คนไปต้อนรับฝั่งตรงข้ามเรียบร้อยแล้ว เขาไม่รู้จักคู่หนุ่มสาวที่เดินอยู่ด้านหน้านั้น แต่ว่าคำพูดนี้หมายถึงบอกกับคนที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ด้านหลัง

มองสวีเจิ้นหนานที่อยู่ตรงหน้า มิยาโมโตะเคนตะสีหน้าอาฆาตแค้น ตะโกนออกไปว่า “แกมันไม่มีจริยธรรมของผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ เตะท่อนล่างของฉัน ชนะแบบไร้ความยุติธรรม แกมันไม่มีจริยธรรมของผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้”

“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

สวีเจิ้นหนานที่อยู่ข้างหน้ายังไม่ได้พูดอะไร เยี่ยเทียนก็นิ่งอึ้งไปเลย เหตุผลชัดเจนเลยว่านี้ไม่ใช่การประลองธรรมดาแต่นี้เป็นการชำระแค้น

เว่ยหรงหรงที่นั่งอยู่ข้าง ๆอวี๋ชิงหย่าพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกไม่สบายใจว่า “ตอนที่พวกเขาประลองกัน เหมือนกับว่าสวีเจิ้นหนาพูดถึงท่อนล่างกันใช่ไหม”

“แม่ง ท่าเตะหยินพิฆาตหรอ ฮ่าฮ่า”

เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา แม้ว่าในการประลองครั้งนี้เดิมพันไม่ได้ แต่ว่าท่าเตะหยินพิฆาตแท้จริงแล้วสามารถเอาชนะฝั่งตรงข้ามได้ถึงแม้จะเป็นเทคนิคที่แปลก

ท่าเตะหยินพิฆาตคือการใช้เท้าโจมตีไปที่หว่างขาของคู่ต่อสู้ ความเจ็บปวดเกินต้านทาน หนักสุดอาจทำให้เสียชีวิต สิ่งที่น่าอับอายที่สุดที่คนไม่ค่อยกล่าวถึงก็คือ หลังจากได้รับบาดเจ็บแล้วยังทำให้อวัยวะเพศเสียหายอีกด้วย ทำให้ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ สุภาษิตกล่าวว่า สูญพันธุ์

ในยุทธภพ พูดหรือเขียนชี้แนะให้เห็นก็พอ ไม่สามารถทำได้เพราะผิดแนวคิดจริยธรรมของผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ เทคนิคแบบนี้แท้จริงแล้วก็คือหน้าเนื้อใจเสืออย่างที่สุด แต่ว่าสวีเจิ้นหนานก็ไม่ใช่คนในยุทธภพ ใช้เทคนิคนี้กับคนญี่ปุ่น เยี่ยเทียนก็สนับสนุนเห็นด้วย

เสียงหัวเราะของเยี่ยเทียนดังมากกว่าเดิม ทำให้คนที่อยู่ในสนามต้องหันมามอง คนญี่ปุ่นที่ยืนอยู่หน้าสุดมีสีหน้าที่โกรธเคือง พูดภาษาจีนแบบแข็งกระด้างออกมาว่า “ไอ้พวกคนจีน ไม่รู้จักมารยาท”

“เฮ้ ฉันนะ ฉันหัวเราะแล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับแก” เยี่ยเทียนอารมณ์ไม่ดีพูดออกไปว่า “หมัดและเท้าไร้ความปราณี อาวุธที่มองไม่เห็น ประลองแพ้แล้วก็แพ้ไป ยังจะหาเหตุผลอะไรมากมายอีกเพื่ออะไรกัน”

“พูดได้ดี ถ้ากลัวแพ้ก็ไม่ต้องประลองแล้วสิ”

“ก็เพราะว่า หัวหน้าชมรมของพวกเราบาดเจ็บยังไม่หายดี พวกเราก็ไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย”

“คนญี่ปุ่นไม่เคยยอมแพ้ มีปัญญาแล้วค่อยมาประลอง จะว่าไปแล้วหัวหน้าก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะเตะท่อนล่างของเขา”

เยี่ยเทียนพูดออกไป คนของฝั่งสวีเจิ้นหนานก็ส่งเสียงดังขึ้นมา “ว่ากันว่าถ้าเตะไปหว่างขาของฝั่งตรงข้ามก็จะทำให้เขาไม่มีแรงตอบโต้ เดิมทีทำให้คนในชมรมวูซูรู้สึกไร้ศักดิ์ศรี” พอเยี่ยเทียนพูดอกไป ก็ทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงขึ้นมา

จริง ๆแล้วตอนนั้นสวีเจิ้นหนานไม่ได้ตั้งใจ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมิยาโมโตะเคนตะ หลังจากที่ล้มลงอยู่หลายครั้งพร้อมกับหน้าก็โดนต่อยไปสองหมัด ตอนนั้นจะจำอะไรได้บ้าง เตะออกไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ก็ดันไปโดนน้องชายของมิยาโมโตะเคนตะเข้าแล้ว

หลังจากได้ยินฝั่งตรงข้ามส่งเสียงออกมา ดวงตาดำ ๆของมิยาโมโตะเคนตะ เหมือนกับจะเป็นลม ตะโกนเสียงดังออกมาว่า “พวกแก พวกไร้ยางอาย”

เมื่อวันก่อนหลังจากที่ถูกเท้านี้เตะ มิยาโมโตะเคนตะก็รู้สึกร่างกายไม่สบายตลอด พอตกกลางคืนก็ปวดจนทนไม่ไหว กลางดึกก็ต้องถูกส่งไปที่โรงพยาบาลตรวจดู แต่กลับเกิดเรื่องที่สะเทือนใจไม่คาดฝันเกิดขึ้น เขามีโอกาสที่จะเสื่อมสมรรถภาพในการให้กำเนิดบุตร

มิยาโมโตะเคนตะเป็นญาติห่าง ๆของวงศ์ตระกูลคิตะของญี่ปุ่น แม้ว่าจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับวงศ์ตระกูล ถึงแม้ว่ามิยาโมโตะเคนตะจะไม่ใช่ญาติสายตรงแต่ก็มีความสัมพันธ์เป็นญาติห่าง ๆ ถ้าเกิดว่าเขาเสื่อมสมรรถภาพในการให้กำเนิดบุตรจริง ก็จะทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตอย่างแน่นอน

“น้องชาย ไม่จำเป็นต้องคุยกับพวกเขาให้มากมาย คนจีนมีสุภาษิตโบราณว่า ทักษะที่แท้จริงคือกังฟูที่ยอดเยี่ยม” มิยาโมโตะเคนตะที่กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ก็กลับถูกวัยรุ่นที่อยู่ข้าง ๆเขาดึงเอาไว้

“ใช่ พี่ชาย ทั้งหมดนี้ คงต้องฝากไว้กับพี่แล้ว” หลังจากที่ได้ยินคำพูดของวัยรุ่นคนนั้น มิยาโมโตะเคนตะอดกลั้นความปวดที่หว่างขาของเขาไว้อย่างสุดแรง หนีบทั้งสองขาเข้ามา โค้งคำนับไปที่คนตรงหน้าเขา

“ไว้ใจฉันเถอะ”

คนนั้นก็ตบไปที่บ่าของมิยาโมโตะเคนตะ เดินก้าวไปข้างหน้า พูดว่า “ฉันคือคิตะทาโร่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยกรุงโซลในเกาหลี ใต้ และยังเป็นหัวหน้าชมรมคาราเต้และเทควันโด้ของมหาวิทยาลัยกรุงโซล ฉันอยากเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยกรุงโซล อยากจะขอคำแนะนำสักหน่อยเกี่ยวกับมวยวูซูของจีนมหาวิทยาลัยหวาชิง”

“คิตะทาโร่?.

หลังจากที่ได้ยินชื่อนี่ เยี่ยเทียนก็หรี่ตาขึ้นมา ชื่อนี้ตัวเขาเองก็ไม่รู้จัก แต่ทุกครั้งที่มีความรู้สึกถึงการฆ่ากัน เยี่ยเทียนก็จะหรี่ตาโดยไม่รู้ตัว

อยู่ที่ญี่ปุ่น แม้ว่าจะมีคนชื่อคิตะเยอะ แต่สำหรับครอบครัวของศิลปะการต่อสู้ จะมีเพียงตระกูลสำนักดาบคิตะมิยะ เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าวัยรุ่นที่อยู่ในสนามคนนั้น กับตระกูลสำนักดาบคิตะมิยะมีความสัมพันธ์อะไรกันหรือเปล่า

“ดี ก็ยึดตามที่เทียบเชิญประลองเขียนเอาไว้ สามรอบชนะสอง คนที่จะประลองสามคนของพวกแกมีใครบ้าง” สวีเจิ้นหนานไม่อยากจู้จี้ฝั่งตรงข้ามต่อแล้ว พูดถึงเรื่องที่เตะไปที่หว่างขาของคนอื่น เขาก็มีความรู้สึกเสียศักดิ์ศรีนิดหน่อย

“ฉันกับพี่พัคจุนฮีจะประลอง”

ทำให้ทุกคนคิดไม่ถึงเลยว่า ผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆคิตะท่าโร่คนนั้นจะร่วมประลองกับเขา อีกทั้งผู้หญิงคนนั้นก็เป็นคนเกาหลี

“อะไรที่ทำให้คนเกาหลีกับคนญี่ปุ่นดีต่อกันแล้วนะ”

เยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ในสนามเมื่อได้ยินแล้วก็เกิดอาการงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง อย่าลืมว่าเกาหลีได้ถูกญี่ปุ่นทรมานและบีบบังคับอย่างมากในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยใช้ประเทศจีนเป็นฐาน คนเกาหลีทั่วไปมักจะเป็นศัตรูกับญี่ปุ่น แต่ว่าเหตุผลอะไรกันที่สาวเกาหลีคนนี้ถึงช่วยคิตะทาโร่ในการประลองครั้งนี้

“ฉันมีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง”

คิตะทาโร่ทันใดนั้นก็ชี้ไปที่เยี่ยเทียน พูดว่า “ขอยึดตามคำพูดที่นักศึกษาคนนั้นได้กล่าวไว้ว่า อาวุธที่มองไม่เห็นหมัดและเท้าไร้ความปราณี ถ้าเกิดว่าทั้งสองฝั่งเกิดอาการบาดเจ็บอะไร ไม่อนุญาตให้ซักถามความรับผิดชอบแทนฝั่งตรงข้าม ถ้าเกิดว่าทุกคนตกลง การประลองก็สามารถเริ่มได้”

“ใครกลัวใครกันแน่ พวกเราจะไม่เป็นเหมือนกับมิยาโมโตะเคนตะ”

“ก็ใช่ไง ลูกพี่สวี ตอบพวกเขากลับไป หลังจากนั้นค่อยเตะส่งพวกเขาสักหน่อย”

“ไปตายไป ไม่เห็นเหรอว่ามีเด็กผู้หญิงอยู่ ท่าเตะหยินพิฆาตใช้กับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้”

คำพูดของคิตะทาโร่ทำให้ชมรมวูซูฝั่งนี้เกิดความฮือฮาขึ้นมา พวกเขาต่างก็อายุประมาณยี่สิบต้น ๆ เป็นลูกวัวที่ไม่กลัวเสือ

“อยากให้ในสนามมีการประลองที่ดุเดือดถ้าเป็นอย่างนั้นได้ถึงจะน่าดูขึ้นมาหน่อย”

“ได้ ฉันรับเงื่อนไขของแก” เมื่อได้ยินเสียงปลุกระดมของทุกคนในชมรมวูซู สวีเจิ้นหนานรู้สึกอารมณ์เดือดพล่าน เอ่ยปากรับคำ

อาเฟยและหลี่เฟิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ แต่ว่าสวีเจิ้นหนานรับปากไปแล้ว พวกเขาทั้งสองก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีกแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี พวกเรามาเขียนสัญญากันเถอะ เมื่อถึงเวลาฝั่งตรงข้ามจะได้ไม่ก่อกวน”

คิตะทาโร่สีหน้าเย็นชาพูดขึ้น คนที่อยู่ด้านหลังก็ส่งมอบเทียบเชิญประลองหนึ่งใบขึ้นมา เหมือนกับที่พวกสวีเจิ้นหนานได้รับก่อนหน้านี้เป๊ะ ๆ

หลังจากที่คิตะทาโร่ได้เขียนคำพูดลงไปเรียบร้อยแล้ว เซ็นชื่อของตัวเอง ส่งมอบเทียบเชิญให้สวีเจิ้นหนาน

“เขียนก็เขียน ใครกลัวใครกันแน่”

สวีเจิ้นหนานก็ไม่ได้โง่ ภายในใจรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่ว่าในตอนนี้อยู่บนหลังเสือก็ยากที่จะลงมา ถ้าเกิดว่าถอยแล้วก็ ถ้าข่าวแพร่ออกไปก็ไม่มีหน้าจะจัดตั้งชมรมมวยวูซูนี้อีกแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝั่งตรงข้ามเป็นคนญี่ปุ่น ก็ยิ่งจะขายหน้าไม่ได้เลย สวีเจิ้นหนานรับเทียบเชิญนั้นมาแล้ว ดูผ่าน ๆข้อความเหล่านั้น เซ็นชื่อพร้อมกับกัดฟันไปด้วย

“เฮ้  พี่ใหญ่นี้โง่จริง ๆ” เมื่อได้เห็นเหตุการณ์นี้ เยี่ยเทียนส่ายหัวไปมา สวีเจิ้นหนานฝึกวิชามวยวูซูมาสองปี ยังคิดว่าตัวเองจะไร้ศัตรูต่อกรด้วยได้

เทียบเชิญประลองถูกวางอยู่บนโต๊ะกลางสนาม คิตะทาโร่ชี้ไปทีสวีเจิ้นหนาน ตะโกนเสียงดังว่า “เริ่ม รอบแรก ฉันจะท้าประลองกับแก”

พวกแกกลัวว่าฉันจะไม่กล้าลงมือ เมื่อได้เห็นฝั่งตรงข้ามท้าประลองตัวเอง สวีเจิ้นหนานรู้สึกร้อนในใจ ทันใดนั้นก็ถอดเสื้อออก

หลี่เฟิงรู้สึกตั้งแต่แรกแล้วว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ก็รีบดึงสวีเจิ้นหนาน พูดว่า “ลูกพี่สวี ให้ฉันไปก่อน ทำตามแผนของพวกเราเถอะ

 ………