หลังจากส่งเฝิงจื้อหย่งออกไปแล้ว หลี่อันหลานรู้สึกว่าขาของตัวเองกำลังอ่อนแรง ที่จริงแล้วอวิ๋นเยี่ยไม่ใช่ไม่สนใจนางกับลูก แต่เขายังเดินทางมาตั้งไกลเพื่อมาเยี่ยมตัวเองและลูกที่หลิ่งหนาน ถึงแม้นางจะรู้สึกว่าอวิ๋นเยี่ยต้องการมาหาลูกมากกว่ามาหาตัวเองร้อยพันเท่า แต่นางก็ไม่อยากยอมรับเรื่องนี้ คิดว่าอวิ๋นเยี่ยอยากมาหาตัวเองอย่างดื้อรั้น
ถึงแม้ว่านางจะหมกมุ่นอยู่กับสิทธิและเสรีภาพ แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนการเป็นผู้หญิงคนหนึ่งของนางได้ นึกถึงเรื่องอดีตในพระราชวัง นางก็หน้าแดงขึ้นมา ทำเรื่องไร้สาระเช่นนั้นต่อหน้าพวกขันทีและพวกหญิงรับใช้ในวัง แต่นางกลับไม่รู้สึกเสียใจ ไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่วินาทีที่อวิ๋นเยี่ยรุกรานเรือนร่างของนาง นางรู้สึกตื่นเต้นด้วยซ้ำ
ตอนนี้เขากำลังจะมา มาหานางจากทางไกล ข้าต้องเผชิญหน้ากับเขาด้วยท่าทีแบบไหน เย็นชาหรืออ่อนโยน ไม่รู้ว่าเขาจะค้างคืนหรือไม่
ชุดสีแดงไม่สวย เขาชอบสีฟ้าอ่อนๆ ก็คงจะไม่ชอบสีสดใสเป็นแน่ หรือสีดำเทาดี แต่ข้าไม่ใช่แม่ม้ายสักหน่อย สีม่วงล่ะ แพงเกินไป เขาไม่ชอบ สีขาวดีหรือไม่ สีของลูกกตัญญู แต่ว่าใส่แล้วเหมือนผี…
หลิงตังเบิกตากว้างมองดูองค์หญิงรื้อหาชุดในตู้เสื้อผ้า เสื้อผ้ากระจัดกระจายเต็มพื้น องค์หญิงใส่แค่ชุดชั้นใน เปลือยขาทั้งสองข้าง ลองชุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลองจนหมดทั้งตู้แล้ว แต่ก็หาชุดที่เหมาะสมไม่พบสักชุดเดียว นั่งฟุบอยู่ในกองเสื้อผ้า สายตาเต็มไปด้วยเสื้อผ้าหลากสี แต่กลับไม่รู้ว่าอันไหนเหมาะสม
“องค์หญิง ท่านกำลังหาชุดอยู่หรือคะ” หลิงตังยืนถามหลี่อันหลานอยู่ตรงนั้น องค์หญิงไม่เคยสนใจว่าตัวเองจะใส่ชุดอะไร บางครั้งแม้แต่ชุดของผู้ชายนางก็ใส่ มัดหางม้าก็สามารถออกไปเดินเล่นได้ทั้งวัน วันนี้เกิดอะไรขึ้น แก้มแดงระเรื่อ หัวใจสั่นไหว ครั้งก่อนที่ตัวเองคิดถึงอวิ๋นเยี่ยตอนอยู่บนเรือองค์หญิงพูดเช่นนี้ ตอนนี้นางก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ
หลี่อันหลานดึงหลิงตังมากอด หน้าอกที่อวบอิ่มวางอยู่บนหน้าอกของหลิงตัง หน้าของหลิงตังแดงไปหมด จมูกได้กลิ่นหอมอ่อนๆ เขินอายจนอยากจะผลักนางออก
“ยัยเด็กโง่ ยังจะมาเขินอาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านพี่กำลังจะมา คราวนี้ถือว่าเขามีจิตสำนึก ยังรู้จักมาเยี่ยมเรา”
“ใคร? ใครจะมาเยี่ยมเราหรือคะ เราไม่มีเพื่อนที่ไหน” หลิงตังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเป็นอวิ๋นเยี่ย แต่เมื่อนึกถึงสถานะของเขา นางก็รู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะออกไปไหนก็ได้ตามอำเภอใจ ส่วนคนอื่น นางไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ใครจะมาก็ไม่เกี่ยวกับนาง
“ยัยเด็กโง่ เราก็มีเพื่อนอยู่แค่คนเดียว ยังถือได้ว่าเป็นคนรัก ข้ากับเขาถึงขั้นมีลูกด้วยกันแล้ว เขามาเยี่ยมพวกเราก็ไม่ผิดอะไร ใครกันที่ยืนตะโกนอยู่ข้างเรือว่าพี่อวิ๋น ตะโกนจนข้าปวดใจ ใครกันที่ฝันแล้วเอาแต่พูดว่า พี่อวิ๋นไม่ต้องการข้า ไม่ต้องการข้า เจ้าบอกข้าได้ไหมว่าในฝันเขาทำอะไรกับเจ้า”
หลิงตังจะตายแล้ว หน้าแดงราวกับเลือดจะไหลออกมา หลี่อันหลานจูบที่ติ่งหูของนางอีกครั้ง ร่างกายนางอ่อนแรงไปหมด หลี่อันหลานปล่อยหลิงตังออกแล้วยิ้มอย่างมีความสุข เด็กคนนี้อ่อนไหวถึงเพียงนี้ แค่นี้ก็อายแล้วหรือ
หลังจากเลือกอยู่นาน ในที่สุดก็หาชุดที่ถูกใจเจอ ใส่เสร็จเรียบร้อยก็ตกตะลึงไปเลย ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยยังไม่มา หากพวกหลิวจิ้นเป่ารู้ พวกเขาควรจะได้รับจดหมายแล้ว เดินทางจากฉางอันมาหลิ่งหนานต้องใช้เวลากว่าสามเดือน ตอนนี้เขายังมาไม่ถึง
มองหลิงตังที่กำลังเขียนคิ้วด้วยความเสียใจ จิตใจปวดร้าว ยัยเด็กโง่ เขียนคิ้วก็ไม่เป็น ยิ่งเขียนยิ่งดูน่าเกลียด ตอนนี้ดูเหมือนมีแมลงสองตัวเลื้อยอยู่บนหน้า
นางเช็ดออกแล้วจึงเขียนให้หลิงตังใหม่ ครั้งก่อนอวิ๋นเยี่ยก็เช็ดเครื่องสำอางที่แต่งเหมือนตูดลิงออกให้ ตอนนี้ตัวเองใช้ความพยายามไม่น้อย ผ่านไปพักหนึ่งก็เขียนคิ้วให้หลิงตังเสร็จ เลือกหยิบเครื่องประดับลายเปลวไฟชิ้นหนึ่งออกจากกล่อง ใส่ให้นางอย่างระมัดระวัง กอดหลิงตังและกระซิบว่า “ยัยเด็กโง่ เขาจะมาไม่มามันก็เป็นเรื่องของอีกสามเดือน เราดีใจกันเร็วเกินไป”
หลิงตังที่กำลังตื่นเต้นก็หยุดตื่นเต้นทันที ก้มหน้าและร้องไห้ “องค์หญิง ข้าคิดถึงพี่อวิ๋นจริงๆ บนโลกใบนี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่ดีกับข้าที่สุด ข้าขโมยกินขาไก่ของเขา เขาไม่เพียงแต่ไม่โกรธ แถมยังช่วยข้าปกปิด ข้าขโมยอาหารของรัชทายาท เขาก็บอกว่าเขาเป็นคนกินเอง ลูกสุนัขติดอยู่ในพุ่มไม้ เขาก็บอกให้คนไปช่วยมันออกมา เขายังยืนส่งพวกเราอยู่บนฝั่ง ส่งหลิวจิ้นเป่าให้มาคอยปกป้องพวกเรา ฆ่าถู่อ๋องคนนั้นแทนพวกเรา มิเช่นนั้นข้าคงจะตายไปนานแล้ว เห็นพี่อวิ๋นยืนอยู่บนโขดหินตามลำพัง ตอนนั้นข้าอยากจะกระโดดลงไป ว่ายไปอยู่ข้างๆ เขา แต่ข้าว่ายน้ำไม่เป็น หากจมน้ำตาย พี่อวิ๋นคงจะเสียใจยิ่งกว่า องค์หญิง ข้าคิดถึงเขาเหลือเกิน ฮือๆ”
หลี่อันหลานตกใจ ที่แท้อวิ๋นเยี่ยทำแทนตัวเองมากมายเช่นนี้ ยังมีอีกเยอะที่หลิงตังไม่รู้ หากให้นางนับ นางคงจะพูดมากกว่านี้ ตอนนี้ตัวเองได้เพลิดเพลินกับชีวิตอิสระ ล้วนแต่ต้องขอบคุณผู้ชายคนนี้ แต่สิ่งที่ตัวเองทำกับเขา มีเพียงการทำร้ายและการหลอกลวง มีผู้ชายเช่นนี้คอยปกป้องตัวเองอยู่เบื้องหลัง หลี่อันหลานก็รู้สึกว่าตัวเองมีพลังขึ้นมามาก ไม่มีอะไรสามารถบังตานางได้ ไม่แปลกใจที่ซินเย่วจะหวงผู้ชายของตัวเอง เขาไม่เหมือนคนอื่นๆ ไม่เหมือนกับผู้ชายทุกคนในต้าถัง เขาเป็นคนอบอุ่น มีความอดทนและมีความสามารถหลากหลาย แม้แต่ฝีมือการทำอาหารที่คนส่วนใหญ่คิดว่าต่ำต้อย เขาก็ยังเชี่ยวชาญถึงขั้นปรมาจารย์ มีผู้ชายเช่นนี้คอยปกป้อง เป็นครั้งแรกที่หลี่อันหลานรู้สึกว่าพระเจ้ายุติธรรมกับตัวเอง พระเจ้าไม่ทิ้งนางไปไหน แต่เป็นนางที่ละทิ้งพระเจ้า
ผู้หญิงสองคนกอดคอพูดคุยกัน ตั้งแต่วันที่พวกนางได้รู้จักกับอวิ๋นเยี่ย หลี่อันหลานมีความสุขที่ได้พูดถึงเรื่องที่ตัวเองต่อยอวิ๋นเยี่ยจนกลายเป็นหมีแพนด้า รู้สึกโมโหเมื่อพูดถึงอวิ๋นเยี่ยตอนที่เขาใส่ร้ายนางต่อหน้าท่านอาจารย์ แต่หลิงตังจำได้แค่ว่าอวิ๋นเยี่ยทำอาหารอร่อยๆ ให้นางกินตั้งมากมาย ตอนนั้นนางราวกับอยู่บนสวรรค์
หลิวจิ้นเป่าอุ้มนายน้อยเข้ามาที่ห้องด้านในสุด อวิ๋นเยี่ยรับลูกชายมาทันที ลูกน้อยยังพูดไม่เป็น เห็นว่าคนที่มีกลิ่นตัวหอมเข้ามากอดตัวเองอีกครั้ง เขาก็กระโดดโลดเต้นอยู่ในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ย ร่าเริงสดใสราวกับลูกเสือตัวน้อย
อวิ๋นเยี่ยเห็นเด็กคนนี้ครั้งแรกเขาก็มั่นใจว่านี่คือสายเลือดของตระกูลอวิ๋น หน้าตาเหมือนตัวเองตอนเด็กมาก เหมือนลูกชายของตัวเองในยุคหลังเป็นอย่างมาก เขาถึงขึ้นสามารถวาดภาพเด็กคนนี้ตอนอายุตั้งแต่หนึ่งขวบถึงสิบห้าขวบได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่อะไร เพราะว่าในโทรศัพท์มีรูปถ่าย
เห็นเด็กคนนี้เขาก็รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองได้ขยายออกไปอีก เมื่อก่อนเป็นเพียงความฝัน แต่ตอนนี้มีเด็กคนนี้ ในที่สุดอารมณ์ที่คลุมเครือเหล่านั้นก็ถูกล้างออกไปจากสมองของเขา
หลิวจิ้นเป่าเช็ดน้ำตาแล้วก็เปิดประตูเดินออกไป เขาไม่กล้าจะจินตนาการว่าท่านโหวต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในป่ามากถึงเพียงใด ทั้งๆ ที่สามารถปฏิเสธ แต่กลับเลือกที่จะมาหลิ่งหนาน คำพูดที่คนพิการคนนั้นพูด นั่นอาจจะเป็นประสบการณ์ตรงของท่านโหวเลยหรือเปล่า
ตอนนี้พ่อลูกได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ก็ถือว่าพระเจ้าได้ชดเชยให้กับท่านโหว มาถึงคอกม้า วั่งไฉที่ตัวอ้วนท้วนได้กลายเป็นม้าที่รูปร่างแข็งแรง กล้ามเนื้อบนตัวเห็นได้อย่างชัดเจน ยืนขึ้นทีก็สูงกว่าม้าตัวอื่นๆ แต่มันชอบนอนมากกว่า เตะเท้าใหญ่ไปมาสองสามที นอกจากไขมันบนตัวที่หายไป วั่งไฉยังคงเป็นม้าที่มีคุณธรรม เห็นหลิวจิ้นเป่าเดินเข้ามา มันเห็นว่าเขาไม่ได้พกหม้อข้าวมาด้วย ก็เอาหน้าวางลงบนหญ้าแห้งเหมือนเดิม ส่งเสียงเบาๆ มันไม่ค่อยคุ้นชินกับอากาศชื้นของที่นี่
จากที่เมื่อก่อนวั่งไฉไม่เคยกินขนมหวาน แต่ตอนนี้กลับกินอย่างเอร็ดอร่อย เห็นได้ชัดว่ามันต้องเจอกับอะไรมาบ้าง ท่านโหวมักจะพูดว่าตัวเองสุขสบายดี แต่รอยด้านที่มือไม่สามารถปกปิดได้ ตอนที่แม่บ้านเหออาบน้ำให้ท่านโหว ตรวจสอบดูทั่วร่างกาย ไม่มีรอยแผลอะไร แต่ตรงเท้ามีรอยด้านที่หนามาก ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านโหวต้องเดินทางไกลถึงเพียงไหน ถึงได้เป็นเช่นนี้
แม่บ้านเหอมาเอานายน้อยไป เห็นท่าทางเสียใจของอวิ๋นเยี่ย หลิวจิ้นเป่าก็รู้สึกโมโห เรื่องเลวร้ายเหล่านั้นทำให้ตอนนี้ท่านโหวแค่อยากจะใช้เวลาอยู่กับลูกให้นานกว่านี้ก็ไม่ได้ เช่นนั้นเย็นวันนี้ข้าจะออกไปจัดการไอ้พวกนั้นให้หมด
“จิ้นเป่า เก็บกลิ่นอายความอาฆาตของเจ้าสักหน่อย ไม่อนุญาตให้ออกไปหาเรื่องคนพวกนั้น พรุ่งนี้จะต้องตื่นเต้นมากกว่านี้แน่นอน คอยดูเรื่องสนุกเถอะ หากตระกูลของเรารู้จักแค่การฆ่าฟัน มันคงทำให้ข้าผิดหวังเป็นอย่างมาก”
“ท่านโหว คนของตระกูลเรากำลังจะกลับมาแล้ว พี่หงเฉิงก็กำลังจะกลับมา ท่านจะกังวลอะไร จัดการพวกมันให้หมด ดูสิว่ายังจะมีใครกล้ามาหาเรื่องตระกูลของเราอีก ที่ดินแห่งนี้เป็นที่ดินของนายน้อย ปล่อยให้พวกมันก่อเรื่องไปทั่ว ข้าน้อยแค่มองดูยังรู้สึกเสียใจ ที่แห่งนี้กับหมู่บ้านของตระกูลเราแตกต่างกันเช่นไร”
“บอกให้เจ้าขยันเรียนหนังสือเจ้าก็ไม่ฟัง หากการฆ่าฟันกันสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้คงไม่ต้องให้เจ้าพูด ข้าไม่อยากทิ้งปัญหาไว้ให้กับผู้คนในดินแดนแห่งนี้ ดูจากหมู่บ้านของตระกูลเหมิงก็รู้แล้วว่าพวกเขาเป็นคนดี ไม่มีใครที่เลวร้ายขนาดนั้น ส่วนใหญ่ก็มีแค่คนแข็งแกร่งที่ต้องการให้คนของตัวเองได้กินอิ่มนอนหลับก็แค่นั้น พวกเขาไม่มีแนวคิดที่เป็นระบบแคว้น ไม่มีแนวคิดในการรับใช้ใครตามแบบแผน พวกเขาล้วนแต่สนับสนุนเรื่องของเสรีภาพ รักในความสนุกสนาน คนเช่นนี้ไม่ควรเรียกพวกเขาว่าคนป่าเถื่อน พวกเขามีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่โตของต้าถัง ดังนั้นความอดทนและการศึกษาจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ต้องได้รับคำแนะนำ ต้องทำให้พวกเขาเห็นว่าการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของต้าถังนั้นปลอดภัยและเจริญรุ่งเรือง เช่นนี้ถึงจะได้ครอบครองดินแดนแห่งนี้อย่างแท้จริง เมื่อได้รับความจงรักภักดีของพวกเขา พวกเขาก็จะเชื่อฟังแต่เรา ข้าถึงได้บอกว่าฆ่าคนฆ่าได้ แต่เจ้าต้องแบ่งเป้าหมาย อดทนเอาหน่อย ปล่อยให้พวกเขาร่าเริงอีกสักสองสามวัน เราควรจะใจกว้างกับคนที่กำลังจะใกล้ตาย”
หลิวจิ้นเป่าตอบตกลงแล้วก็เดินออกไป ดูจากพลังที่แรงกล้าของเขา อวิ๋นเยี่ยรู้เลยว่าสิ่งที่เพิ่งพูดไปเมื่อครู่มันไร้ประโยชน์
ม้าเร็วที่ไปส่งจดหมายออกเดินทางไปสามวันแล้ว ไม่จำเป็นต้องเร่งอะไร พวกเขาจะต้องรีบเดินทางไปโดยไม่หยุดพักอยู่แล้ว อวิ๋นเยี่ยบอกให้พวกเขาเอาลิ้นจี่ตะกร้าเล็กไปด้วย ไม่รู้ว่าพอถึงฉางอันมันจะเสียหรือไม่ ม้าวิ่งเร็วเห็นแค่เพียงควันและฝุ่นละออง ไม่มีใครรู้ว่ามีลิ้นจี่ แค่อยากทดสอบประสิทธิภาพม้าเร็วของตัวเอง ว่าจะเร็วกว่าบุรุษไปรษณีย์ของถังเสวียนจงหรือไม่ ถึงฉางอันเร็วขึ้นหนึ่งวัน พวกท่านย่าก็จะได้สบายเร็วขึ้น ซินเย่วก็จะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานเช่นนั้น ช่วงเวลานี้ที่บ้านคงจะไม่สงบสุขเป็นแน่ ในฉางอันมีพวกขุนนางที่มีเจตนาไม่ดีตั้งมากมาย หวังว่าซินเย่วคงรับมือกับมันไหว จะอ่อนแอไร้เดียงสาเห็นจะไม่ได้