บทที่ 764 เตรียมการการยืนยัน

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

ในเดือนแห่งปรารถนา (มิถุนายน) ทั่วทั้งอัลลินเต็มไปด้วยกลิ่นหอมหวานจากมวลดอกไม้ประหลาดชนิดใหม่

“สตานิสและข้าไม่พบเคานต์เนตรเงินที่ปราสาทแห่งผู้สังเกตการณ์หรือมิติภูเขารัตติกาล ว่ากันว่าเขายังไม่กลับไป เจ้าชายตนอื่นๆ ก็ไม่สามารถสื่อสารกับจันทราสีเงินได้ ดังนั้น แผนการรับมือกับมัลติมุสจำต้องหยุดไว้ก่อน”

เจ้าแห่งพายุรายงานการไปเยือนเทือกเขาไร้แสงอยู่ในห้องประชุมของสภาสูงสุดด้วยความหัวเสีย

ในฐานะมหาจอมเวทผู้มีนิสัยหุนหันพลันแล่น การถูกรบกวนในช่วงเวลาสำคัญขณะอยู่ระหว่างการทำวิจัยนั้นค่อนข้างน่ารำคาญ นอกจากนี้ หลังจากที่เขาเดินทางไปยังเทือกเขาไร้แสงเพื่อทำการใหญ่แต่กลับพบว่าการเดินทางครั้งนี้นั้นไร้ประโยชน์ เขาจึงหัวเสียกับเรื่องนี้ไม่น้อย

ดักลาสพยักหน้าและกล่าวเสียงเรียบนิ่ง “บางที การไม่อยู่ก็เป็นการบอกเป็นนัยๆ ถึงท่าทีบางอย่าง อย่างน้อยมันก็ดีกว่าบอกปฏิเสธโดยตรงล่ะนะ ในระหว่างนี้ ฮาเร็กซ์ที่ถูกเจ้าแห่งนรกครอบงำร่างกาย คงจะทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่การรับมือกับกองกำลังทั้งหลายทางทิศใต้สุดของมหาสมุทร กองกำลังเหล่านั้นได้รับการสนับสนุนจากศาสนจักรฝ่ายใต้ นั่นหมายความว่าศัตรูตัวฉกาจของมันยังคงเป็นไวเค็น”

แม้ว่าพวกเขาจะไม่บรรลุเป้าหมาย แต่เมื่อยามนี้ดักลาสกับมหาจอมเวทท่านอื่นๆ ยังคงนิ่งเฉยและไม่ตื่นตระหนก สมาชิกคนอื่นๆ ของสภาสูงสุดจึงไม่รู้สึกตื่นตัวจนเกินไป ทว่าลูเซียนกลับลอบถอนหายใจ สิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นความแข็งแกร่งของพวกตน มิใช่พันธมิตร กลุ่มคนที่ไม่ได้แข็งแกร่งมากและคนที่ฝันเฟื่องเรื่องการลากพันธมิตรทั้งขโยงมาร่วมมือกับตนมีแต่จะทำให้พวกเขากลายเป็นมื้อค่ำบนโต๊ะอาหารของใครบางคนแทน

“จากข่าวกรองที่ได้รับ เมลแม็กซ์ ผู้ล้างแค้นชั้นศักดิ์สิทธิ์ ได้เดินทางไปยังมหาสมุทรไร้พรมแดนทางทิศใต้แล้ว เพื่อป้องกันมิให้กองกำลังของศาสนจักรถูกโค่นล้มไปเสียสิ้น แต่มนุษย์ครึ่งเทพก็ยังแข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาจะต้านทานไหว ข้าคาดการณ์ไว้ว่าอาณาเขตส่วนใหญ่คงจะถูกทิ้งร้างไป มีเพียงแก่นพลังป้องกันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่พอจะต้านทานมันได้” โอลิเวอร์ที่ รับหน้าที่ดูแลงานในส่วนของคณะกรรมการกิจการ กล่าว

เอกสารเกี่ยวกับทฤษฎีสนามกองหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าบรูก มันเพิ่งส่งกลับคืนมาจากคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานาและเป็นของบรรดาผู้เขียนที่มีความสร้างสรรค์ ดังนั้น เขาจึงขอแลกเปลี่ยนเพื่อมาอ่าน เผื่อว่าเขาจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง ทว่า การประชุมของสภาสูงสุดได้เริ่มขึ้นในตอนที่เขาเพิ่งจะแลกเปลี่ยนมันมา เขาจึงไม่มีเวลาอ่านมันมากนัก “หลังจากที่ปัญหาทางตอนใต้ของมหาสมุทรไร้พรมแดนจบลงแล้ว มัลติมุสคงจะเผยจุดประสงค์อื่นออกมาเอง เราไม่ควรประมาท ด้วยความช่วยเหลือจากสภาเอลฟ์ แม้ว่าการขับไล่มันกลับไปนรกในตอนนี้จะเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ แต่การยึดฐานที่มั่นตรงชายขอบมหาสมุทรก็ยังเป็นเรื่องง่ายทีเดียว”

“เช่นนั้น ผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดคนหนึ่งจำเป็นต้องอยู่ที่หมู่เกาะเพื่อคุ้มกันกำลังเสริมจากราชินีเอลฟ์น่ะสิ” เมื่อเป็นเรื่องสำคัญ เฮลเลนจึงร่วมวงถกปัญหาด้วย

ดักลาสกวาดตามองสมาชิกทุกคนของสภาสูงสุดในห้องประชุม เมื่อเห็นว่าลูเซียน เอริก้า บรูก และอะทาแมนต่างเห็นด้วยกับเฮลเลน เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่ามาเสียใจทีหลัง บรูกกับข้าจะไปที่หมู่เกาะเพื่อให้การคุ้มกัน หลังจากผ่านช่วงที่เราอาจถูกลอบโจมตีไป ผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดจะรั้งอยู่ที่นั่นหนึ่งคน”

“ข้าไม่มีปัญหา การทดลองของข้าทำที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น” บรูกตอบอย่างไม่ลังเล

ดักลาสหันไปมองเฟอร์นันโด “ช่วงนี้เจ้าไม่ควรออกไปไหน อยู่ดูแลอัลลินกับแฮทธาเวย์นี่แหละ เผื่อศาสนจักรฝ่ายใต้จะลอบโจมตี”

ด้วยพลังป้องกันของอัลลินและเหล่าผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุด เขาไม่นึกกังวลเรื่องศาสนจักนฝ่ายเหนือเลยสักนิด

“อย่างไรข้าก็มิมีเวลาออกไปไหนอยู่แล้ว” เฟอร์นันโดบ่น ขณะนึกถึงเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิชชั่นที่ควบคุมไม่ได้และการทดลองอีกมากมายเกี่ยวกับนิวตรอน

“พวกเจ้าควรพยายามไม่ออกไปเตร็ดเตร่ภายนอก เผื่อว่ามัลติมุสจะจับตามองอยู่ มันได้หลอมรวมกับสิ่งพิสดารของปีศาจแห่งบรรพกาลแล้วและการต้านทานก็เป็นเรื่องยากทีเดียว” ดักลายเตือนทุกคนในตอนท้าย

ตลอดการประชุม ลูเซียนแทบไม่ได้พูดอะไรเลย ราวกับว่าเขากำลังครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ สมาชิกคนอื่นๆ ไม่คิดว่านั่นจะเป็นเรื่องแปลกอะไร อย่างไรเสีย บาดแผลของเขาก็ยังไม่หายดี เขาแทบไม่มีทางต่อกรกับเจ้าแห่งนรกได้เลย มันจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่เขาจะกลัดกลุ้ม

หลังจากที่เขากลับมาถึงมิติจักรวาลอะตอม ลูเซียนก็ตรงไปยังชั้นบนสุดของหอคอยเพื่อจัดเตรียมวงแหวนเวทต่อ

“วงแหวนเวทกระโดดข้ามอวกาศระยะไกลโพ้นงั้นรึ” ราตรีกาลมาเยือนโดยมิมีผู้ใดรู้ตัว นาตาชาที่เพิ่งจะเสร็จกิจบ้านเมืองกลับมาที่บาเบล นางสังเกตดูอยู่ครู่ใหญ่และพบว่าสิ่งต่างๆ ดูคล้ายกับการจัดเตรียมของลูเซียนที่นางจำได้ นางใช้ชีวิตอยู่กับลูเซียนมาแล้วหลายปี และครอบครัวนางก็สั่งสอนนางมาเป็นอย่างดี ดังนั้น แม้ว่ามันยังเป็นไปไม่ได้ที่นางจะรับรู้และเข้าใจลวดลายเวทมนตร์อันซับซ้อน แต่นางก็ระบุได้ว่ามันคือวงแหวนเวทหรือเวทมนตร์บทใดได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก

พลังจิตของลูเซียนถูกรีดเค้นออกมาใช้จนเกือบหมด เขาจึงหยุดเตรียมการแล้วกระดก ‘น้ำยาแสงแห่งชีวิต’ ไปขวดหนึ่ง ในรหว่างนั้น เขาก็พยักหน้าและตอบว่า “ใช่”

“เจ้าจะไปสำรวจดาวเคราะห์อีกหรือ เจ้าไขปริศนาภายในมหาสมุทรไร้พรมแดนได้แล้วงั้นรึ มันเกี่ยวกับอะไรกันแน่ แล้วสาเหตุคืออะไรกันแน่” เมื่อนาตาชานึกถึงจุดสำคัญในงานศึกษาวิจัยล่าสุดของลูเซียน ดวงตาสีม่วงเหลือบเงินของนางก็พลันเต็มไปด้วยความประหลาดใจและสงสัยใคร่รู้

ลูเซียนเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มๆ “ข้าได้รู้เกี่ยวกับบางอย่างจากข้อมูลและได้ยืนยันความคิดบางประการที่ข้ามีในอดีต ทำให้ข้าพอจะมีข้อสันนิษฐานขั้นพื้นฐานว่ามีอะไรอยู่ในมหาสมุทรไร้พรมแดน ยามนี้ ข้าต้องประยุกต์ใช้ความคิดที่ได้รับการยืนยันกับปัญหาที่ว่าเรายังคงไม่พบดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ทั้งหลาย ข้าเพิ่งปรับพิกัดในการกระโดดข้ามอวกาศ ก็ได้แต่หวังว่าความคิดของข้าจะได้รับการยืนยันอีกครั้ง”

“หากว่ามันได้รับการยืนยันอีกครั้ง นั่นหมายความว่าดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ทั้งหลายจะถูกค้นพบในเร็วๆ นี้หรือไม่” นาตาชาจ้องมองลูเซียนยิ้มๆ เสียงของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยามเอื้อนเอ่ย

ตั้งแต่เด็ก นางได้ฟังเกี่ยวกับปริศนาลี้ลับที่ว่าดาวเคราะห์กับดาวฤกษ์ทั้งหลายไม่สามารถค้นพบได้จากมารดา ผู้อาวุโส และสามีของนาง นางจึงเกิดความรู้สึกดีๆ อย่างแท้จริงเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกับจอมเวททั่วๆ ไป ด้วยใจหวังว่าปริศนานี้จะถูกแก้ได้ในสักวันหนึ่ง

นางรู้สึกเหมือนกับมีลูกแมวมาข่วนหัวใจในอก นางอยากให้ลูเซียนบอกว่าความคิดที่ได้รับการยืนยันของเขาคืออะไรและข้อสันนิษฐานของเขาคืออะไร แต่ยามนี้ลูเซียนกลับมีท่าทีมีลับลมคมนัย ด้วยความที่เป็นคนเคารพการตัดสินใจของผู้อื่น นางจึงทำได้เพียงเก็บความสงสัยกลับไป

“ข้าหวังว่าข้าจะหามันพบ” ลูเซียนดูเหมือนจะเกิดความรู้สึกหลากหลายปะปนกัน “บอกตามตรง ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าแสงแดดสาดส่องลงบนพื้นและอวกาศก็เต็มไปด้วยรังสีกับดาวเคราะห์น้อย ข้าจึงไม่เคยนึกสงสัยถึงการมีอยูของดาวเคราะห์เลย…”

มันหาใช่เพียงการค้นพบดาวเคราะห์และการยืนยันแสนสมบูรณ์แบบของระบบการเคลื่อนไหวของวัตถุในฟากฟ้า ซึ่งนำไปสู่การเปิดเผยโลกมหัพภาคต่อสายตาทุกผู้คน แต่มันยังหมายความว่าปริศนายิ่งใหญ่เกี่ยวกับความจริงของโลกกำลังจะถูกเปิดเผย ฉะนั้นเหล่าจอมเวทก็จะเข้าใกล้ความจริงได้ผ่านคำตอบของปริศนานี้

“เจ้าจะไปตามหาดวงอาทิตย์ใช่ไหม” นาตาชาถามอีกครั้ง ในเมื่อมันมีเป้าหมายในการยืนยัน ดวงอาทิตย์จึงดูจะสำคัญกว่าและใช้เวลาน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ลูเซียนหันไปมองจักรวาลอะตอมอันมืดมิดไร้ขอบเขต พลางตอบ “ใช่ แบบนั้นจะได้รับการยืนยันในระยะสั้นที่สุด หากว่ามันล้มเหลว ข้าก็ยังสามารถเปลี่ยนวิธีการหรือเปลี่ยนไปที่การคาดเดาอื่นๆ ได้”

นาตาชาเดินไปหาลูเซียน เหม่อมองไปยังจักรวาลภายนอก ที่ที่จุดแสงมากมายกำลังเปล่งประกายระยิบระยับ นางกล่าวด้วยความเสียดาย “หากเราค้นพบดาวเคราะห์ บางทีเจ้าอาจจะได้รับการตอบสนองอย่างใหญ่หลวงเป็นที่สุด เจ้าอาจจะเลื่อนขึ้นเป็นชั้นตำนานระดับสูงสุดได้ก่อนที่ข้าจะเป็นอัศวินชั้นตำนานระดับสองเสียอีกกระมัง”

การเลื่อนลำดับขั้นจากชั้นตำนานระดับหนึ่งนั้นค่อนข้างง่าย นาตาชาจึงเชื่อว่าอีกเพียงหนึ่งปีตัวนางก็จะกลายเป็นอัศวินชั้นตำนานระดับสองแล้ว ทว่า การเลื่อนจากระดับสามไปสู่ระดับสูงสุดนั้นเป็นเรื่องยากสำหรับนางมายิ่งกว่าเหล่านักเวทชั้นตำนาน ซึ่งพิสูจน์ได้จากที่ทั้งโลกมีอัศวินชั้นตำนานระดับสามห้าคนและระดับสูงสุดเพียงคนเดียวเท่านั้น (หลังจากที่ ‘เจ้าแห่งกาล’ ตายไป ก็มีคนอื่นเลื่อนระดับพลังขึ้นมาได้เมื่อไม่นานนี้)

“สมมติว่าข้าค้นพบมันและไขปริศนาได้ว่าทำไมเราจึงไม่เคยค้นพบดาวเคราะห์เลย มันจะส่งผลดีต่ออัศวินชั้นตำนานด้วยเช่นกัน เจ้าคงจะสัมผัสได้จากการขัดเกลาพลังโลหิตและควบคุมพลังเหนือธรรมชาติของเจ้าแล้วว่า มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเลื่อนระดับขึ้นไปอีก นั่นเป็นเพราะทุกๆ ลำดับชั้นนั้นเชื่อมโยงกับความจริงของโลกอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เจ้าต้องทำให้ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ความจริง’ และสะท้อน ‘รูปแบบทั้งหลาย’ ที่โลกดำเนินการอยู่ออกมา เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องไปทางไหนหากเจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความจริงของโลก และเจ้าจะเปลี่ยนแปลงและทำให้ชีวิตบริสุทธิ์ได้อย่างไรกัน”

คำตอบของลูเซียนนั้นอยู่เหนือความคาดหมายของนาตาชา เขาเข้าใจถึงการเติบโตของอัศวินชั้นตำนานอย่างลึกซึ้งทีเดียว นอกจากนี้ เขายังดูเหมือนจะมองปัญหาจากมุมที่อยู่สูงขึ้นไป

นาตาชารู้สึกอบอุ่นในใจ จากนั้นนางก็หัวเราะ “เช่นนั้น ข้าจะขอให้ท่านมหาจอมเวทปูเส้นทางอันสดใสให้กับอัศวินชั้นตำนานทุกคนนะเจ้าคะ แต่มันจะแก้ได้จริงหรือ”

“เมื่อถึงเวลาเจ้าก็จะรู้คำตอบเอง แต่มันอาจจะใช้เวลานานมากข้าจะบอกเจ้าถึงคำตอบที่แท้จริง” ลูเซียนมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทว่าน้ำเสียงเขาช่างฟังดูลึกลับแฝงนัย

ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ภายในโรงเรียนสายสามัญแห่งที่สามของเรนทาโต…

“ผู้ที่สอบได้อันดับแรกของการสอบประจำเดือนของเราทำให้ข้าและอาจารย์ท่านอื่นประหลาดใจอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดเจนจากข้อสอบประจำเดือนเดือนที่แล้วและคำถามที่เขาถามในชั้นเรียนว่าพื้นฐานของเขานั้นไม่ได้ดีเสียเท่าไหร่ แต่เราต่างก็เห็นถึงความมานะอุตสาหะของเขาในช่วงที่ผ่านมา ชื่อของเขาก็คือ…” ไบรอันที่สอนวิชาอาร์คานาพื้นฐาน มองไปทางนักเรียนทางด้านล่างด้วยใบหน้ายิ้มๆ

นักเรียนต่างประหม่ากลัวเพราะลำดับการสอบในครั้งนี้จะเป็นตัวตัดสินว่าพวกเขาจะได้ไปที่ห้องสงเกตการณ์จักรวาลและได้เห็นอวกาศกับตาตัวเองหรือไม่!

อาลีอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นทั้งสองข้าง ช่วงที่ผ่านมา เขาถึงกับลืมเรื่องหลับลืมเรื่องกินและอุทิศตัวให้กับการเรียน เพราะเขารู้ว่าพื้นฐานของเขาอ่อนมากและเขาต้องชดเชยมันด้วยการพยายามให้หนัก

“…ชื่อของเขาก็คืออาลี!”

เปรี้ยง!

เสียงของไบรอันดังก้องในหัวอาลีประดุจเสียงสายฟ้าฟาด เขาพลันรู้สึกวิงเวียน และไม่ได้ยินในสิ่งที่อาจารย์กล่าวต่อ

“…เพราะมีคิวต่อกันยาวเหยียด ช่วงเวลาการไปเยี่ยมชมจึงจัดไว้ว่าเป็นสิ้นเดือนสิงหาคมหรือไม่ก็ต้นเดือนกันยายน…”

‘ข้าทำได้แล้วจริงๆ หรือ’

นั่นคือความคิดแห่งความปีติเพียงอย่างเดียวในหัวของอาลี