บทที่ 494 ประชันอาวุธจักรพรรดิ

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 494 ประชันอาวุธจักรพรรดิ

แน่นอนว่าเด็กหญิงคนนี้ก็คือ หนิงฉิง คนที่เคยรับอาสามาที่นี่เพื่อตรวจสอบจุดประสงค์ของตงฟางจุน ส่วนระดับการบ่มเพาะของนางนั้นเนื่องจากเหตุผลบางประการนางจึงยังคงมีระดับการบ่มเพาะอยู่แค่ระดับสวรรค์สามัญ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่านางจะระดับการบ่มเพาะที่ต่ำเตี้ยแต่ด้วยปัจจัยที่นางได้บ่มเพาะวิชาลับของสำนักวิญญาณโลหิต ความแข็งแกร่งของนางจึงไม่อาจวัดได้จากระดับการบ่มเพาะ

และเป็นเพราะนางใช้วิชาลับของสำนักวิญญาณโลหิต นางจึงสามารถแอบมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนได้โดยที่ไม่มีใครจับได้และเข้าใจว่านางโผล่ออกมาจากตึกที่ถูกฟื้นฟู

แต่น่าเสียดายที่แม้ว่าการกระทำของนางจะสามารถหลบพ้นสายตาของผู้คนส่วนใหญ่ได้ แต่มันก็ไม่สามารถหลอกหลิงตู้ฉิงได้ เนื่องจากในอดีตหลิงตู้ฉิงได้รู้เห็นวิธีการลับต่าง ๆ ของสำนักวิญญาณโลหิตมาแล้วทุกประเภท

ไม่เพียงแค่นั้น เขายังสามารถเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกับร่างกายของหนิงฉิง ซึ่งเป็นปัญหาของนางมาโดยตลอดได้

ด้วยจุดอ่อนของหนิงฉิงเช่นนี้ เมื่อไหร่ที่หมิงยู่เข้าควบคุมสำนักวิญญาณโลหิต การขอความช่วยเหลือจากคนอย่างนางนั้นจึงง่ายกว่ามาก นั่นคือเหตุผลที่เขาเรียกให้หนิงฉิงมาพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับเขา

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหนิงฉิงกลับเอ่ยขึ้นมาว่านางเป็น ‘วิญญาณภูตพิทักษ์มิติลับ’ ตัวตนของนางจึงอยู่ในสถานะที่ซับซ้อนต่อทุกคนทันที

“นี่เจ้า! ก่อนหน้านี้พวกเจ้าก็หยิบสิ่งของที่ปรากฏขึ้นระหว่างทางไปมากมายแล้ว ตอนนี้เจ้ายังกล้าที่จะช่วงชิงนางไปจากพวกข้าอีกงั้นหรือ?” ตงฟางไป๋มองไปที่หลิงตู้ฉิงและพูดอย่างเย็นชา “ถ้าไม่ใช่เพราะหลานชายของข้า พวกเจ้าคงไม่สามารถเข้าสู่สำนักวิญญาณโลหิตได้ แม้ว่าพวกเจ้าจะมีความสัมพันธ์อันดีกับหลานชายของข้า แต่เจ้าควรรู้ข้อจำกัดของตัวเองด้วย อย่าคิดว่าเจ้าสามารถฉกบางสิ่งไปจากมือของเราได้ง่าย ๆ เพียงเพราะคนในกลุ่มของพวกเจ้าบางคนมีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด พวกเจ้าควรจะรู้อยู่แก่ใจหากไม่เป็นเพราะความสามารถของหลานชายข้า วิญญาณภูตพิทักษ์ตนนี้คงไม่มีทางปรากฏขึ้นเด็ดขาด ดังนั้นนางจะต้องมากับพวกข้าสำนักวิญญาณกระบี่เท่านั้น หากพวกเจ้าคนใดไม่เห็นด้วย พวกเจ้าสามารถมาต่อรองกับอาวุธระดับจักรพรรดิในมือของข้าได้!”

หลิงตู้ฉิงไม่ได้พูดอะไร แต่ตงฟางจุนกลับกลัวจนแทบฉี่ราด จากรูปการณ์แม้ว่าทุกคนจะบอกว่าเขาคือเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิด แต่เขารู้ตัวดีว่าเขานั้นไม่น่าจะใช่ ส่วนคนที่น่าจะเป็นมากที่สุดมันน่าจะเป็นคนที่ปู่ของเขาตอนนี้ทะเลาะด้วยมากกว่า! ซึ่งตอนนี้ปู่ของเขากลับยั่วยุคนที่น่ากลัวที่สุดในที่นี่ให้ไม่พอใจซะอย่างนั้น!

ตงฟางจุนรีบพูดอย่างรวดเร็ว “ท่านปู่ ท่านจะพูดแบบนั้นไม่ได้ ข้าแค่ดูดซับเจตจำนงของเทพกระบี่ได้เพราะโชคช่วยเพียงเท่านั้น ซึ่งสำหรับพวกเราแล้วนี่นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจพอแล้ว ส่วนเรื่องอื่น ๆ เราค่อยเจรจากันเอาก็ได้อย่าทะเลาะกันเลย!”

หลิงตู้ฉิงมองไปที่ตงฟางจุน และไม่สนใจการแสดงออกที่เป็นกังวลของเด็กหนุ่มผู้นี้ เขาหันหน้าไปทางตงฟางไป๋และพูดว่า “ถ้าข้าไม่เห็นด้วย เจ้าและอาวุธระดับจักรพรรดิของเจ้าจะมีอะไร?”

ตงฟางไป๋ยิ้มเยาะและตอบกลับ “ข้าก็จะแสดงให้เจ้าเห้นถึงความแข็งแกร่งของอาวุธระดับจักรพรรดิในมือของข้า!”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อย “ข้ารู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อยกับอาวุธระดับจักรพรรดิในมือของเจ้า ดูเหมือนว่ามันคือกระบี่ดาราวิบัติ ที่จักรพรรดิดาราวิบัติของสำนักเจ้าเคยใช้”

“ถูกต้อง! นี่คืออาวุธวิเศษแห่งชะตาชีวิตจักรพรรดิของปรมาจารย์ดาราวิบัติ เนื่องจากเจ้ารู้จักมัน เจ้าเองก็ควรจะเป็นผู้ที่ไม่ธรรมดาแต่ไม่ว่าจะยังไงถึงแม้เจ้าจะไม่ธรรมดาแค่ไหน วิญญาณภูตพิทักษ์ตนนี้ต้องเป็นของพวกข้า จงอย่าได้คิดแย่งนางไปจากพวกข้าเป็นอันขาด!” ตงฟางไป๋พูดอย่างเย็นชา

โดยปกติแล้วผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับเพียงแค่ขอบเขตประสานทะเลปราณธรรมดาจะไม่มีทางรู้จักกระบี่ดาราวิบัติได้แน่นอน นอกจากว่าคนผู้นั้นจะเป็นผู้ที่กลับชาติมาเกิดเท่านั้นถึงจะเป็นไปได้

หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอาวุธวิเศษแห่งชะตาชีวิตของจักรพรรดิ แต่ในสายตาของข้ามันก็เป็นแค่อาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิอันหนึ่งเท่านั้น ทำไมเจ้าถึงคิดว่ามันวิเศษวิโสอะไรนักหนา? นอกจากนี้เจ้าคิดว่าข้ามีอาวุธระดับจักรพรรดิอยู่คนเดียวงั้นเหรอ?”

เมื่อหลิงตู้ฉิงพูดจบ ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาก็ปรากฏขึ้นออกมาจากร่างกายของเย่ชิงเฉิง รวมไปถึงอาวุธระดับจักรพรรดิที่ถูกใช้เป็นแกนกลางของค่ายกลกระบี่เหินเมฆาก็ปรากฎขึ้นให้เห็นด้วยเช่นกัน

เย่ชิงเฉิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ถึงแม้ว่ากระบี่ดาราวิบัตินั้นจะไม่เลว แต่ ตะขอเงิน ของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของข้าก็ไม่เลวเช่นกัน!”

นางเปิดเผยตัวตนฐานะสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของนางทันทีเมื่อมันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มากมาย

เมื่อได้ยินชื่อสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ ตงฟางไป๋ก็ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจากทั้งชื่อเสียงของสำนักและอาวุธของอีกฝั่งไม่ได้อ่อนแอไปกว่าของเขาเลย

ยิ่งไปกว่านั้นอาวุธระดับจักรพรรดิทั้งสองนี้เป็นอาวุธวิเศษแห่งชะตาชีวิตระดับจักรพรรดิของตัวตนระดับจักรพรรดิในอดีตเหมือนกัน หากพวกเขาต่อสู้กันจริง ๆ มันก็คงยากที่จะรู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ

ตงฟางจุนมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตากังวลปนสงสัย ผู้อาวุโสคนนี้เป็นใครกัน? ทำไมเขาถึงมีความเกี่ยวข้องกับผู้คนมากมายได้ขนาดนี้? ทั้งภูเขาฟีนิกซ์ เผ่าภูตนางฟ้าและตอนนี้ยังเกี่ยวข้องกับสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์อีกต่างหาก

“ท่านปู่ พี่หลิง อย่าทะเลาะกันเลย” ตงฟางจุนรีบชักชวน “เอางี้ไหม พวกเรามาเข้าไปในมิติลับด้วยกัน ส่วนผลประโยชน์นั้นพวกเราแบ่งมันคนละครึ่งดีไหม?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ตงฟางไป๋พยักหน้าเล็กน้อย “ในฐานะที่พวกเขาคือคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์และถือครองตะขอเงิน ข้ายอมรับเงื่อนไขนี้ได้!”

ความหมายเบื้องหลังคำพูดของเขาคือนอกจากกลุ่มของหลิงตู้ฉิงแล้ว เขาจะไม่ยอมให้ใครมีส่วนร่วมเพิ่ม

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของผู้คนกลุ่มอื่นที่อยู่ด้านหลังก็กลายเป็นบูดเบี้ยวทันที ไม่มีใครในพวกเขาเต็มใจยินยอมทิ้งโอกาสที่จะได้เข้าไปในมิติลับเพื่อค้นหาสมบัติต่าง ๆ ซึ่งด้านในมันคงจะมีสมบัติมากมายอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อตงฟางไป๋เอ่ยขึ้นมาถึงขนาดนี้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจแต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้

ต้องเข้าใจว่าพวกเขาเป็นเพียงคนที่ไม่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งอะไรมากนัก หากพวกเขาขัดใจคนจากสำนักมหาอำนาจที่ถืออาวุธระดับจักรพรรดิอยู่ในมือเช่นนี้มันก็เท่ากับว่าพวกเขารนหาที่ตาย

ตงฟางจุนไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เขาถามหลิงตู้ฉิง “พี่หลิง เมื่อพวกเราเข้าไปในมิติลับได้แล้วพวกเราแบ่งสมบัติที่อยู่ในนั้นกันคนละครึ่งได้ไหม?”

หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถ้าเป็นเพียงแค่สมบัติในมิติลับ ข้าก็ไม่ขัดข้องอะไร แต่ไม่ว่าจะยังไงข้าต้องได้พูดกับนางก่อน”

“ข้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่!” คิ้วของตงฟางไป๋ขมวดมากขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นด้วย

“หากเจ้าไม่เห็นด้วย เจ้าก็ลองโจมตีมาแต่ข้าขอบอกไว้ก่อนว่าเจ้าอย่าได้มาเสียใจทีหลัง” หลิงตู้ฉิงเอ่ยกับตงฟางไป๋ จากนั้นเขาก็หันกลับไปที่หนิงฉิงและเอ่ยขึ้นต่อ “ส่วนเจ้ามาหา ข้ามีคำถามบางอย่างสำหรับเจ้า และอย่าได้คิดที่จะใช้เลือดของเจ้าเพื่อหลบหนี สถานที่แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากห้องโถงใหญ่แล้ว การใช้เลือดเพื่อหลบหนีมันไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตายเจ้าเองก็น่าจะรู้”

หลิงตู้ฉิงไม่สนใจกับปฏิกิริยาของตงฟางไป๋ เพราะถ้าตงฟางไป๋กล้าโจมตีเขาก็มีวิธีที่จะสยบกระบี่ดาราวิบัติ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรกับตงฟางไป๋มากมาย

ส่วนทางด้านของหนิงฉิง จากมุมมองของเขานางเป็นแค่พวกที่เหลือรอดของสำนักวิญญาณโลหิตเท่านั้น ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องสุภาพอะไรกับนาง อันที่จริงการที่เขาไม่กำจัดนางตั้งแต่แรกเห็นก็นับได้ว่าเป็นความปราณีมากแล้ว

การแสดงออกของหนิงฉิงเปลี่ยนไปอย่างมาก เมื่อนางได้ยินหลิงตู้ฉิงพูดถึงการหลบหนีด้วยเลือด

มันมีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงหมายถึงอะไร

ต่อหน้าผู้คนจำนวนมากเช่นนี้ หากนางต้องการหลบหนี นางมีทางเลือกเดียวคือการใช้เลือดของนางในการหลบหนี ซึ่งมันจะนำไปสู่หายนะอย่างแท้จริง ไม่ต้องพูดถึงนาง แม้แต่คนของสำนักวิญญาณโลหิตทั้งหมดที่ยังเหลือรอดอยู่ก็ไม่พ้นคงถูกฆ่าจนหมดไม่มีเหลือแน่นอน ดังนั้นนางจะกล้าหนีไปได้อย่างไร?

นางแสร้งทำเป็นไม่รู้ขณะที่นางถามหลิงต็ฉิงว่า “ท่านต้องการถามอะไร?”

หลิงตู้ฉิงสั่ง “ตามข้ามา หมิงยู่ เจ้าเข้ามาด้วย!”

จากนั้นหลิงตู้ฉิงจึงเดินเข้าไปในค่ายกลกระบี่เหินเมฆา

เมื่อตงฟางจุนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขารีบส่งสัญญาณเสียงเพื่อบอกตงฟางไป๋ว่า “ท่านปู่ อย่าทำอะไรผลีผลามเด็ดขาด!”

“เกิดอะไรขึ้น?” ตงฟางไป๋ถาม

“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเช่นกัน ครั้งแรกที่ข้าพบกับเขาก็คือในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ซึ่งในตอนนั้นข้าได้เห็นวิธีการอันพิสดารมากมายของเขามาก่อน ซึ่งข้าแน่ใจว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน แล้วยิ่งตอนนี้เขากลับมีความสัมพันธ์กับสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ด้วยแล้วท่านปู่อย่าพึ่งทำอะไรผลีผลามเป็นอันขาด!” ตงฟางจุนพูดด้วยความสับสน

“คนผู้นี้มันช่างแปลกประหลาดจริง ๆ!” ตงฟางไป๋พึมพำ “แต่ไม่ว่าเขาจะแปลกยังไง เรื่องมิติลับปู่จะไม่ยอมเขาอย่างแน่นอน!”

“ถึงแม้ว่าเขาจะแปลก แต่ข้ารับประกันได้ว่าเขาเป็นคนที่น่าเชื่อถือมาก ตราบใดที่เขาตกลงเขาจะไม่มีวันกลับคำพูดของเขา ส่วนเรื่องของวิญญาณภูตพิทักษ์ ข้าเกรงว่าเขาคงมีเรื่องสำคัญจริง ๆ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่แสดงท่าทีเช่นนั้นออกมา” ตงฟางจุนกล่าวขึ้นพลางยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน

พวกเขายังคงคิดจริง ๆ ว่า หนิงฉิงเป็นวิญญาณภูตพิทักษ์ที่คอยปกป้องมิติลับ…