บทที่ 741 พอๆกัน ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องหัวเราะใคร

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 741 พอๆกัน ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องหัวเราะใคร
เวินเส้าหยีอยู่ที่นี่ได้ยังไง?

เป็นผู้อาวุโสใหญ่ให้คนพามาไว้ที่นี่หรือ?

นี่นับว่าเป็นการไว้หน้านางหรือว่าเอาใจนางหรือ?

กู้ชูหน่วนเดินไปเบื้องหน้าของเวินเส้าหยีทีละก้าว

ข้างกายของเขายังมีถ้วยอยู่ใบหนึ่งด้วย ในถ้วยมีข้าวต้มอยู่ครึ่งชาม อยู่ห่างเล็กน้อยก็ได้กลิ่นเหม็นโชยมาจากในถ้วยแล้ว

ข้าวต้มนี่ อย่างน้อยก็วางไว้สามวันแล้ว เปลี่ยนรสชาติไปนานแล้ว

กู้ชูหน่วนเตะถ้วยออกไปทันที ปล่อยให้ข้าวต้มในถ้วยหกเต็มพื้น

กู้ชูหน่วนนั่งยองลง กวาดตามองเวินเส้าหยีที่อยู่ในท่าทางสะบักสะบอมเบื้องหน้า

นางไม่เคยเห็นเวินเส้าหยีที่เป็นแบบนี้มาก่อน ตลอดมาเขาสะอาดสะอ้านสดใส บริสุทธิ์ไร้ราคิน สูงส่งจนไม่อาจล่วงเกินได้

“เกลียดข้าหรือไม่?” กู้ชูหน่วนถามเบาๆ

เวินเส้าหยีพิงกำแพงอย่างไร้เรี่ยวแรง แม้แต่จะขยับสักนิดก็รู้สึกว่ากินแรง

ได้ยินคำพูดของนาง เขาหัวเราะเยาะ แต่ไม่ได้พูด

เกลียด…….

เขาควรเกลียดอะไร?

เกลียดนางที่ไร้ความรู้สึกไร้ความปรานีเหรอ?

หรือเกลียดที่นางจับเขาไว้?

หากนางตกไปอยู่ในมือของเผ่าเทียนเฟิ่น ชะตากรรมก็คงไม่ได้ดีไปกว่าเขามากนัก

นี่คือความแค้นที่มีมานับพันปีระหว่างสองเผ่า คนเพียงผู้เดียวไม่สามารถควบคุมได้

“เอ๊ะ พี่หน่วน ท่านมาได้ยังไง?” หน้าประตู เด็กผู้หญิงตัวน้อยถักเปียเป็นหางแกะเดินเข้ามา

เด็กผู้หญิงตัวเล็กมาก อายุเพียงสิบสามสิบสี่ปี มีดวงตาสดใสฟันขาว เปิดเผยร่าเริง ดวงตาโตมีแววเปล่งประกายคู่หนึ่งแฝงด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

“อินเอ๋อร์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

“ปู่ไป๋เฉ่าบอกว่าเขาบาดเจ็บสาหัสมาก ให้ข้ามาจับตาดูไว้ไม่ให้เขาตาย”

อินเอ๋อร์เดินแกว่งไกวเข้ามา นั่งยองลงบนพื้นเงยหน้าขึ้นมองดูกู้ชูหน่วนด้วยความไร้เดียงสา

“พี่หน่วน ได้ยินมาว่าเรารวบรวมมุกมังกรได้ครบเจ็ดเม็ดแล้ว อีกไม่นานก็จะสามารถหลอมรวมมุกมังกรถอนคำสาปโลหิตได้แล้วใช่หรือไม่?”

“เจ้าได้ยินใครพูด?”

“คนทั้งเผ่าล้วนพูดกันน่ะ ข้าอยากไปหาพี่หน่วน แต่ปู่ไป๋เฉ่าไม่เห็นด้วย บอกว่าหมู่นี้พี่อารมณ์ไม่ค่อยดี ไม่ให้ข้ารบกวนท่าน เพราะการหลอมรวมมุกมังกรมีความยากลำบากใช่หรือไม่?”

มองไปที่ดวงตาแห่งความเฝ้าหวังของอินเอ๋อร์ กู้ชูหน่วนนิ่งเงียบไม่พูดจา

“ไอหยา ไม่เป็นไรนี่นา ความยากลำบากมากมายพวกเราก็ผ่านมาได้แล้ว แม้ว่ามุกมังกรจะหลอมรวมได้ยากลำบากเพียงใดก็ไม่เป็นไร อินเอ๋อร์จะอยู่เป็นเพื่อนพี่หน่วน จนกระทั่งหลอมรวมมุกมังกร หากว่าพี่หน่วนเหนื่อยแล้ว อินเอ๋อร์ก็พาท่านไปจับกระต่ายเล่น”

“ช่วยข้าอย่างหนึ่งได้หรือไม่?”

“พี่พูดเป็นเล่นอีกแล้ว เพียงแค่เป็นคำสั่งของพี่ จะให้ข้าทำอะไรก็ได้”

“ไปเอาน้ำสะอาดมาหน่อยสิ ข้าจะช่วยล้างแผลให้เขาสักหน่อย”

“ได้ อินเอ๋อร์จะไปเดี๋ยวนี้”

“เจ้าไม่กลัวผู้อาวุโสดุเจ้าหรือ?”

“ไม่กลัวหรอก อย่างมากข้าก็บอกผู้อาวุโสว่า ข้าไปเอาน้ำตามคำสั่งท่าน เหล่าผู้อาวุโสยังทำโทษข้าอีกหรือ? อีกทั้งผู้ชายคนนี้ ก็น่าสงสารมากจริงๆ ข้าดูบาดแผลของเขาแล้ว จึจึจึ น่าสงสารจริงๆ……ข้าก็อยากช่วยเขาห้ามเลือดสักหน่อย แต่ข้าไม่มีความกล้าเช่นนั้น”

อินเอ๋อร์พูดพร่ำไปตลอดทาง ไม่ช้าก็เอาน้ำเข้ามาแล้ว และเอามาต่อเนื่องกันสองสามถัง ราวกับรู้ว่าน้ำถังเดียวไม่เพียงพอต่อการล้างทำความสะอาดบาดแผลของเวินเส้าหยี

“ทุกคนแทบอยากจะฆ่าเขา ข้าเห็นเจ้ากลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ไม่คิดแค้นแม้แต่น้อย”

“ข้าก็เกลียดคนของเผ่าเทียนเฟิ่น แต่ผู้ชายคนนี้ดูไม่เหมือนคนเลวที่โหดเหี้ยมอำมหิตอะไร”

เสื้อขาวของเวินเส้าหยีแทบจะถูกย้อมเป็นเสื้อสีเลือด อยู่ติดกับเนื้อหนังของเขา กู้ชูหน่วนลองถอดเสื้อผ้าของเขาออกแต่กลับถอดไม่ออก กลับยังทำให้เวินเส้าหยีเจ็บจนร้องออกมาอย่างอัดอั้นด้วยความเจ็บปวดเสียงหนึ่ง

“บาดแผลของเจ้าเน่าเปื่อยติดอยู่กับเสื้อผ้าแล้ว ข้าใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าออก จะเจ็บเล็กน้อย เจ้าทนหน่อย”

เวินเส้าหยีพยักหน้า เม้มริมฝีปากบางๆไว้ ฝืนทนต่อความเจ็บปวด ปล่อยให้กู้ชูหน่วนตัดและฉีกเสื้อผ้าของเขาทีละนิดๆ โดยไม่เปล่งเสียงแม้สักน้อย”

หลังจากถอดเสื้อออก แม้แต่กู้ชูหน่วนก็สูดหายใจด้วยความตกใจแล้ว

บนตัวของเขานอกจากรอยแส้รอยไม้ที่ไขว้กันระเกะระกะแล้ว ยังมีแผลโดนของร้อนนาบ และแผลจากการโดนเผามากมาย

ผิวพรรณอันขาวกระจ่างในเดิมทีไหม้เกรียมมากมาย มีเนื้อหนังบางที่ที่พลิกม้วนขึ้นมาแล้ว ดูแล้วน่ากลัวเป็นที่สุด

อินเอ๋อร์ก็ตกใจจนอึ้งไปแล้ว

“ทำไมมีแผลจากการโดนนาบมากมายขนาดนี้? เป็นผู้ใดเอาเหล็กร้อนมานาบเขากัน?”

ดวงตาทั้งคู่ของกู้ชูหน่วนเย็นยะเยือกจนน่ากลัว

ทั่วทั้งร่างกายของเขาล้วนเต็มไปด้วยบาดแผล จนกระทั่งนางเองก็ไม่รู้ว่าควรจะลงมืออย่างไร ทำได้เพียงใช้น้ำสะอาดช่วยเขาเช็ดล้างบาดแผลเล็กน้อย แล้วทายา สุดท้ายก็พันแผล

ขณะที่ช่วยเขาทำความสะอาดบาดแผล นางรู้สึกได้ว่าร่างกายของเวินเส้าหยีกำลังสั่นเทา น่าจะเป็นเพราะความเจ็บปวด

แต่บนใบหน้าของเขาไม่มีปฏิกิริยาใด เพียงแค่เม้มริมฝีปากไว้แน่น หากไม่ใช่เพราะร่างกายที่สั่นเทาได้เปิดเผยความคิดของเขา เกรงว่านางก็คงจะต้องสงสัยแล้วว่าเวินเส้าหยีจะเจ็บปวดเกินไปจนไม่เกรงกลัวความเจ็บปวดแล้วรึเปล่า

“หากว่าไม่ล้างแผล ส่วนที่เน่าเปื่อยก็จะค่อยๆขยายตัว ถึงเวลาก็จะรักษายากมาก หากว่าเจ้าเจ็บ ก็ร้องออกมาดังๆเถอะ ไม่มีคนหัวเราะเยาะเจ้าหรอก”

นางพูดเบามากๆ อ่อนโยนมาก เหมือนดั่งการกระทำของนาง

เวินเส้าหยีมองดูกู้ชูหน่วนที่กำลังช่วยเขารักษาบาดแผลด้วยความตั้งใจเงียบๆ

นางมีสมาธิมากขนาดนั้น ทุกการเคลื่อนไหวของมือล้วนอ่อนโยนพิถีพิถัน ราวกับว่ากำลังโอบอุ้มของรักอันล้ำค่าที่สุดในโลก กลัวว่าหนักมือเพียงนิด ก็จะทำให้ของล้ำค่าเสียหาย

เพราะเป็นใบหน้าด้านข้าง เวินเส้าหยีไม่มองเห็นใบหน้าเต็มๆของนาง เห็นเพียงขนตายาวๆของนาง และสายตาแห่งความสงสารของนางภายใต้ขนตานั่น

นาง……

กำลังรู้สึกสงสารเขาหรือ?

หรือว่ากำลังเห็นใจเขา?

ไม่ว่าจะเป็นประเภทไหน เวินเส้าหยีก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เพราะเขาสามารถสัมผัสว่ากู้ชูหน่วนเป็นห่วงเขา

ความเจ็บปวดบนร่างกายของเขาเหมือนจะหายไปในนาทีนี้แล้ว เวินเส้าหยีปล่อยให้นางใส่ยา พันแผล

“คิดอะไรอยู่น่ะ ไม่ได้ยินที่ข้าพูดเหรอ?”

กู้ชูหน่วนกล่าวอย่างไม่พอใจ

เจ็บหนักขนาดนี้ยังจะมีอารมณ์เหม่อลอยอีก

ดูท่าเขายังเจ็บไม่พอสินะ

“อะไร?” เวินเส้าหยีเอ่ยถาม

“บนลำตัวพันแผลเรียบร้อยแล้ว ควรเปลี่ยนมาที่มือแล้ว ยกมือขึ้น”

เวินเส้าหยีออกแรงยกมือซ้ายขึ้น แต่ยังไงก็ยกไม่ขึ้น กู้ชูหน่วนคว้ามือขวาของเขามา เจ็บจนทำให้เวินเส้าหยีตกใจ

“มือขวาของเจ้ากระดูกหักแล้ว ถูกคนตีจนหักสินะ?”

“อืม…..”

“ยังดีที่ไม่ได้บาดเจ็บหนักมากนัก ทนเจ็บหน่อย ข้าจะช่วยเจ้าต่อให้ใหม่”

ไม่รอให้เวินเส้าหยีตอบ กู้ชูหน่วนก็กึกทีหนึ่ง ช่วยเวินเส้าหยีต่อกระดูกใหม่แล้ว การกระทำนั่นเรียกว่าเร็วแม่นและดุดัน

“ซี๊ด……”

เวินเส้าหยีขมวดคิ้ว

ผู้หญิงคนนี้เพิ่งจะชมว่านางอ่อนโยน ก็เผยธาตุแท้ออกมาทันที

“ฮู้ บาดแผลเล็กๆที่เหลือเจ้าจัดการเองละกัน ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”

กู้ชูหน่วนทิ้งยาไว้ตรงหน้าเขา จากนั้นก็ให้อินเอ๋อร์หาเสื้อผ้ามาให้เขาเปลี่ยน เสื้อผ้าชุดนี้ใส่ต่ออีกไม่ได้เป็นแน่แล้ว ถูกตัดจนแทบจะกลายเป็นขยะแล้ว

อินเอ๋อร์ตอบสนองขึ้นมาได้ในภายหลัง “แต่จะไปหาเสื้อผ้าได้ที่ไหน? หากรู้ว่าให้เขาใส่ ทุกคนล้วนไม่เต็มใจ เสื้อผ้าของข้าเขาก็ใส่ไม่ได้”

“ไปยืมจากพี่เฉินเฟย บอกพี่เฉินเฟยว่าข้าขอยืม เขาจะให้ยืมแน่นอน”

“อ๋อ…..ได้…..”

กู้ชูหน่วนและเวินเส้าหยีพิงกำแพงเป็นแนวเดียวกัน ทอดถอนใจเงียบๆ “เจ้าที่เป็นหัวหน้าเผ่าน้อยก็เหมือนว่าจะไม่เท่าไหร่?”

“ไม่ต่างกัน เจ้าที่เป็นหัวหน้าเผ่าหยกก็ไม่เท่าไหร่เช่นกัน?”

แม้กระทั่งตอนนี้ เวินเส้าหยีก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่านางคือหัวหน้าเผ่าของเผ่าหยก