ตอนที่ 91

Summoning the Holy Sword

91 – โครงกระดูกยักษ์

 

วืดดดด!!

 

ลูกธนูพุ่งตัดอากาศและปักลงที่กองหินที่อยู่ไม่ไกลจากโครงกระดูกยักษ์ตัวหนึ่ง เสียงนั้นทำให้โครงกระดูกยักษ์หันกลับมาหาต้นเสียง เปลวไฟในดวงตาของมันทอประกายน่าสะพรึงกลัวและจ้องมายังกองหิน

 

วิญญาณศักดิ์สิทธิ์!!….ทำไมปฏิกิริยาของมันไวแบบนี้!

 

ชายชราวอร์คเกอร์กลืนน้ำลายในทันที เขาคิดว่าเขาเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของโครงกระดูกยักษ์เร็วกว่าที่เขาคิด

 

โครงกระดูกบ้านี่มันเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร? นี่มันบ้าเกินไปแล้ว!

 

จากนั้นเขาได้แต่ถอนหายใจลึกๆ เสียงต่ำๆของโรดส์ดังขึ้นข้างเขา

 

“ถอย”

 

ทั้งคู่ถอยกลับไปอย่างช้าๆ จากนั้นตามคำสั่งของโรดส์ วอร์คเกอร์ยิงลูกธนูอีกดอกไปที่อีกพื้นที่หนึ่ง

 

โครวกระดูกยักษ์ขยับตัวและเดินไปยังต้นเสียง

 

ไม่ไกล ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวของมันจะเชื่องช้าเป็นอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่านี่เป็นเพราะขนาดตัวของมันที่ใหญ่มาก เพียงไม่กี่ก้าวของโครงกระดูกยักษ์ มันเดินเข้ามาใกล้กับกลุ่ม มันอ้าปากและเผยให้เห็นความมืดภายในร่างของมัน จากนั้นมันเอนตัวและตรวจสอบรอบๆด้วยแววตาที่ลุกเป็นไฟ

 

โรดส์ยกนิ้วขึ้น

 

นั่นเป็นสัญญาณ

 

มาร์ลีนยกไม้คทาขึ้น ลำแสงสีเทาพุ่งเป็นเส้นตรงไปยังร่างของโครงกระดูกยักษ์ ในเวลาไม่ถึงวินาที แสงสีเขาก่อตัวเป็นบาเรียครึ่งวงกลมซึ่งปกคลุมร่างของโครงกระดูกยักษ์เอาไว้ราวกับนกที่ติดอยู่ในกรง บาเรียนั้นเปล่งแสง ก่อนที่จะหายไปในอากาศ อย่างไรก็ตาม เส้นบางๆยังคงเชื่อมต่อระหว่างไม้คทาของมาร์ลีนและโครงกระดูกยักษ์อยู่ ในพริบตา ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบกริบอย่างฉันพลัน

 

“พวกเรามีเวลา 30 วินาที!”

 

มาร์ลีนจับไม้คทาของเธอแน่น ขณะกำลังประคองเวทมนตร์ จากนั้นเธอเตือนทั้งกลุ่มทันทีถึงขีดจำกัดของเวทย์ใบ้  สำหรับมอนสเตอร์ขนาดใหญ่แบบนี้ 30 วินาทีคือขีดจำกัดของเธอ

 

แต่ 30 วินาทีก็เพียงพอสำหรับโรดส์ ซีเลียและเซเร็คในการเข้าถึงตัวของโครงกระดูกยักษ์แล้ว

 

“—-!!!”

 

ประสาทสัมผัสของโครงกระดูกยักษ์สัมผัสได้ถึงศัตรูในทันที และมันเงยหน้าขึ้น เมื่อมันรับรู้ได้ถึงออร่าศักดิ์สิทธิ์ของทูตสวรรค์ มันโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที  ในพริบตา มันยกกระบองกระดูกขนาดใหญ่ขึ้นและคำรามออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว

 

เมื่อยกสิ่งที่คล้ายค้อนขึ้นมา โครงกระดูกยักษ์เหวี่ยงกระบองไปที่ร่างนั้น ทำลายกองหินแถวหน้าผาพังทลายไปทั้งหมด ก้อนหินบางก่อนกลิ้งร่วงลงมาและกรพแทกพื้นอย่างรุนแรง แต่กลับไม่เกิดเสียงอะไรแม้แต่น้อย มันเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด….ราวกับกำลังดูละครใบ้

 

ซีเลียเหวี่ยงดาบของเธอไปยังกระบองของโครงกระดูกยักษ์ แม้ว่าจะไม่มีเสียงใดๆเกิดขึ้น แต่ประกายไฟยังเผยให้เห็นความรุนแรงในการต่อสู้ ในตอนแรกด้วยความแข็งแกร่งของโครงกระดูกยักษ์ทำให้ร่างของทูตสวรรค์เซไปบ้างเล็กน้อย แต่เมื่อเธอกางปีกของเธอออกและปลดลอยสายลมกรรโชกซึ่งผลักตัวเธอไปด้านหน้า ทำให้ศัตรูถึงกับชะงัก เห็นได้ชัดว่าโครงกระดูกยักษ์ไม่ได้ยอมแพ้ ขณะเดียวกันนั้นมันก้าวออกมาด้านหน้าและยกกระบองขึ้นฟาดอีกครั้ง มันอยากจะทุบแมลงเล็กๆตัวนี้ให้แหลกละเอียดเร็วที่สุดเท่าที่มันจะทำได้

 

แต่มันไม่สามารถทำได้

 

ดาบเล่มหนึ่งฟันลงไปที่แขนของโครงกระดูกยักษ์ ทำให้มันต้องหยุดโจมตีและให้ซีเลียได้พักหายใจ แม้ว่าเกือบลมแรงจะทำให้เธอหน้าคว่ำ อย่างน้อยเธอก็สามารถหลบออกจากกระปะทะครั้งนี้ได้ จากนั้นโครงกระดูกยักษ์หันไปสนใจโรดส์ซึ่งปรากฎอยู่ใต้เท้าของมัน

 

“—-!!!!”

 

การยั่วยุนี้ทำให้โครงกระดูกยักษ์โกรธมากยิ่งขึ้น สำหรับลูกน้องของอัศวินแห่งความตาย มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ฉลาดนัก เป้าหมายการมีชีวิตอยู่ของมันคือการทำลายชีวิต ซึ่งทำให้มันรู้สึกดีเล็กน้อยหลังจากที่ได้ฆ่า อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านมาเป็นเวลานาน ไม่มีสิ่งใดปรากฎตัวขึ้น นี่ทำให้โครงกระดูกตัวนี้โกรธและมีความเกลียดชังมากยิ่งขึ้น มันจะหยุดก็ต่อเมื่อมันหรือศัตรูของมันตายแล้วเท่านั้น

 

โครงกระดูกยักษ์ยกกระบองขึ้นอีกครั้ง เตรียมที่จะเปลี่ยนโรดส์ให้กลายเป็นเศษเนื้อ เมื่อสัมผัสได้ถึงการโจมตีที่กำลังเข้ามา โรดส์ถอยไปหลายก้าวเพื่อหลบ

 

ในขณะเดียวกัน เสาแสงศักดิ์สิทธิ์ลงมาจากท้องฟ้าและห่อหุ้มร่างของโครงกระดูกยักษ์

 

ไลซ์ยกมือทั้งสองขึ้น เธอกัดริมฝีปากด้วยความกังวล ขณะที่ตั้งสมาธิกับเวทมนตร์ของเธอถัดจากเธอเป็นนักบวชคนอื่นๆที่กำลังร่ายเวทย์ลำแสงศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำให้โครงกระดูกยักษ์อ่อนแอลง

 

มาร์ลีนที่กำลังอยู่ในจุดเดิม เธอจับไม่คทาแน่นอย่างไม่พอใจ เพราะเธอไม่สามารถช่วยกลุ่มของเธอได้เลย ตามแผน เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เวทย์ธาตุที่ทรงพลังใดๆ เนื่องจากมันอาจดึงดูดเหล่าอันเดดตัวอื่นๆเข้ามา มันเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเจ็บใจ

 

“20 วินาที!”

 

กระบองของโครงกระดูกยักษ์ฟาดลงอีกพื้นอีกครั้ง ระเบิดเศษหินออกเป็นวงกว้าง เศษหินบางส่วนกระแทกไปยังร่างของโรดส์

 

โรดส์สามารถหลบมันได้ แต่เขาก็ไม่สามารถกลับเข้าไปโจมตีได้เช่นกัน พลังงานถูกควบแน่นไปที่ดาบจากรอบตัวเขา เมื่อเขาเริ่มใช้พลังวิญญาณ หลังจากนั้นโรดส์ก้าวออกไปครึ่งก้าวและยกมือขวาขึ้น ก่อนที่จะฟันลงอย่างช้าๆ

 

ดูจากภายนอกการโจมตีนี้ดูเหมือนธรรมดา แต่เมื่อดาบชี้ไปข้างหน้า ปลายดาบเกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาทันที เมื่อดาบของเขาสัมผัสกับพื้น แสงสว่างมหาศาลก่อตัวขึ้นที่ปลายดาบและระเบิดออก พื้นราบเรียบถูกแบ่งออกเป็นสองฟากด้วยดาบขนาดยักษ์ ทุกๆคนตกตะลึงอย่างมากเมื่อเห็นแสงสว่างปรากฎขึ้นรอบๆ

 

นี่เป็นสกิลกระบวนท่าดาบใหม่ ‘ดาวตก’ — หลักฐานแห่งความโกรธเกรี้ยว

 

เมื่อเทียบท่าดาบเงาจันทร์กับท่าดาบระบำแห่งความมืดซึ่งต้องใช้ค่า Int และ Agi  ท่าดาบดาวตกเป็นกระบวนท่าดาบที่มีพื้นฐานมาจากความแข็งแกร่ง ดาวตกไม่ได้ยิ่งใหญ่ตระการตาหรือเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับกันพลังที่แท้จริงของมันคือพลังทำลาย แม้ว่าโครงกระดูกยักษ์จะแข็งแกร่งมากจนไม่สามารถหัวเราะเยอะได้ แต่โรดส์กลับมั่นใจว่าสกิลของมันสามารถจัดการมันได้

 

โครงกระดูกยักษ์ที่อยู่ใจกลางการต่อสู้ไม่สามารถป้องกันการโจมตีเข้ามาถึงได้ ร่างขนาดใหญ่ของมันเสียสมดุลและล้มลงไปด้านหลังทันที แต่ก่อนที่มันจะลุกขึ้นมา แสงสว่างอีกครั้งหนึ่งเล็กตรงไปที่ลำตัวของมันที่ปราศจากการป้องกัน

 

ตั้งแต่เวทย์ใบ้กลืนกินเสียงทั้งหมด ในขณะนี้ที่ร่างของโครงกระดูกยักษ์ยังไร้ซึ่งบาดแผล หลังจากรับการโจมตีเข้าไป โครงกระดูกของมันเริ่มแตกร้าว กระดูกส่วนอื่นๆเรื่มสั่นและพร้อมแตกได้เตลอดเวลา เป็นสัญญาณเผยให้เห็นว่าชัยชนะเกือบจะเป็นของพวกเขา แต่โรดส์รู้ดีว่านี่เป็นสถานการณ์ที่อันตรายที่สุด

 

“10 วินาที!”

 

“เซเร็ค”

 

เซเร็คที่กำลังซ่อนตัวอยู่เผยตัวออกมา หลังจากที่เตรียมตัวมาพร้อมแล้ว ทั้งร่างของเขาเรืองแสงและพุ่งตรงไปด้านหน้า ดาบในมือของเขาระเบิดเป็นประกายแสงวงกลมโจมตีไปยังโครงกระดูกยักษ์ ทั้งซีเลียและโรดส์ตามมาและโจมตี โดยการส่งคลื่นพลังดาบ 2 เส้นตรงไปยังโครงกระดูกยักษ์

 

เมื่อมันสัมผัสได้ถึงออร่าของนักดาบ โครงกระดูกยักษ์ตอบสนองในทันที มันยืดแขนซ้ายออกมาโดยสัญชาตญาณและพยายามป้องกันการโจมตี แต่ต้องล้มเหลวไป

 

การโจมตีเต็มกำลังของปรมาจารย์ดาบระดับ 40 ไม่ใช่การโจมตีทั่วไปที่จะสามารถป้องกันได้โดยอันเดดระดับกลางๆ ความจริงแล้วดาบของเซเร็คไม่แม้แต่จะสัมผัสกับมือของโครงกระดูกยักษ์ มันทะลุผ่านไป ในชั่วอึดใจ ดาบของเซเร็คแทงทะลุปากของมัน

 

ในพริบตาเดียว กระโหลกของโครงกระดูกแหลกเป็นชิ้นๆ ขากรรไกรล่างและคางของมันหายไป ทิ้งไว้เพียงเศษกระโหลกที่เหลือที่เต็มไปด้วยรอยแตก ดวงไฟส่องประกายวิบวับราวกับกำลังทำบางอย่าง แต่ในขณะนั้น คลื่นดาบเสี้ยวจันทร์พุ่งเข้าหามันในทันทีและดับเปลวเพลิงอย่างสมบูรณ์

 

เมื่อสูญเสียแหล่งพลังชีวิต ร่างใหญ่ของมันล้มลงกับพื้นซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เวทย์ใบ้ของมาร์ลีนถึงขีดจำกัด