GGS:บทที่ 809 ลูกศิษย์ผู้ร้ายกาจ

 

เหล่าผู้ที่สนับสนุนซูจิ้งในตอนนี้ต่างเป็นกังวลแทยเสี่ยวไจ๋ขึ้นมา พวกเขาเกรงกลัวว่าเสี่ยวไจ๋จะรับมือศึกนี้ไม่ไหวจนกลายเป็นประเด็นร้อนบนโลกอินเตอร์เนต

โดยพวกเขาต่างก็ให้ความเห็นเรื่องนี้ในไมโครบลอกของซูจิ้ง มีบางคนก็ได้แนะนำเขา บ้างก็บอกให้เขาไปสู้แทนเสี่ยวไจ๋ แต่ซูจิ้งก็ไม่ได้สนใจอะไร

 

“ฮ่าฮ่า ซูจิ้งกับนิกายของเขานี้จะหยิ่งยะโสขนาดนี้ นี่ทำให้ประชาชนโกรธเขาไม่น้อยเลย”

เมื่อจินชิซูเห็นข่าวนี้เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา เขารู้สึกว่าซูจิ้งได้ทำเรื่องผิดผลาดเอาไว้สองอย่าง

หนึ่งคือการเผยแพร่เพลงหมัดวัวคลั่งโดยไม่ใส่ใจว่าคนที่นำไปฝึกจะเป็นใคร

อีกหนึ่งคือการที่เขาหยิ่งยะโสไม่ยอมฟังคำแนะนำของสาธารณชนและยังทำอะไรโดยไม่สนใครซะอีก

ตอนนี้เขานั้นค่อยๆเสื่อมค่าลงในสายตาสาธารณชนเรียบร้อยแล้ว เมื่อเทียบกับเหล่าสำนักยูโดและเทควันโดทั่วทั้งประเทศจีนได้ผนึกกำลังกันเรียบร้อยแล้ว

ตราบใดที่พวกเรายังรวมตัวกันไว้ไม่มีทางที่ซูจิ้งจะทำอะไรได้แน่นอน

 

“ทำได้ดี เรามาคอยดูกัน” สายตาของคิมูระตาเป็นประกายทันทีที่เห็นข่าว

 

“นี่เขารักษาหายแล้วสินะ” เมื่อโอฉิงซงเห็นข่าวนี้ก็ทำท่าติ่นเต้นขึ้นมาอย่างออกนอกหน้า

ช่วงนี้เขานั้นเข้าหน้าหวังหยานได้ไม่ติด นับวันเธอยิ่งทำตัวเหินห่างเขาไปเรื่อยๆเจอหน้าเขาทีไรก็ไล่กันอย่างเขาเป็นแมลงวันคอยก่อกวน ผิดกับก่อนหน้านี้ที่ยังพอให้เกียรติและไว้หน้าเขาอยู่บ้าง

นี่ทำให้เขาทำตัวไม่ถูกในการจะเข้าหาเธอ

เขาเชื่ออย่างสนิทใจว่าเรื่องทั้งหมดนี่เป็นเพราะซูจิ้ง เป็นการที่เขาไม่สามารถทำอะไรซูจิ้งได้ทำให้เขาเกลียดซูจิ้งอย่างหมดใจ

 

ตอนนี้เหล่าคนที่เคยเกรงกลัวซูจิ้งเพราะถูกจัดการจนไม่กล้าจะหือซูจิ้งได้อีก

เมื่อพวกเขาเห็นเหล่าปรมาจารย์นักสู้ท้าทายซูจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะกระดี้กระด๊าหวังให้พวกเขาทำได้ตามที่พูด

“ทำไงดี เราจะเขาไปช่วยเขารึเปล่า” เมื่อฮัวเฟยหยุนได้ยินข่าวนี้ก็ได้เตรียมตัวที่จะเริ่มสู้ด้วย

 

“ไปด้วยกันแหล่ะ พวกนั้นมีกันสามคน เราก็มีกันสามเท่ากัน ใครจะไปกลัวพวกมันกัน” ไชหวูเฟิงพูดออกมา

“ฉันเอาด้วย” จี้เสี่ยวถิงพูดออกมาเหมือนกัน

“ก่อนจะทำอะไรลองถามซูจิ้งก่อนดีกว่านะ พระรูปนั้นกับเขาก็ดูจะมีความสัมพันธ์ไม่น้อยเลย”

 

ที่ฮัวฮงหยางพูดอย่างนั้นออกมาเพราะเขารู้สึกว่าซูจิ้งน่าจะมีเหตุผลที่เขาสอนเพลงหมัดวัวคลั่งให้พวกเขาทั้งสามรูปแบบ

แถมยังยอมสอนให้คนในนิกายและสำนักศิลปะการต่อสู้สัประยุทธ์ของพวกเขาด้วยนั่นเป็นเพราะว่าพวกเขานั้นเชื่อใจได้และได้รับความวางใจจากซูจิ้งอย่างมาก

 

ผิดกับพระองค์นั้นที่ซูจิ้งไม่น่าจะมีความสนิทสนมซักเท่าไหร่และยังไม่เคยผ่านเหตุการณ์จนเกิดความไว้วางใจกันแต่เขากับยอมสอนเพลงหมัดวัวคลั่งให้เป็นการส่วนตัว พระรูปนั้นน่าจะถูกใจซูจิ้งไม่น้อยเลย

 

เป็นไปได้ว่าการที่ซูจิ้งยอมสอนเพลงหมัดนี้ให้เขาน่าจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่พวกเขาไม่อาจคาดเดาได้

ได้ยินดังนั้นฮัวเฟยหยุนได้โทรหาซูจิ้งและเปิดลำโพงเพื่อจะได้ยินกันหมด แต่ผลคือซูจิ้งบอกเพียงว่าหากเสี่ยวไจ๋มั่นใจว่าจะรับมือได้ก็ปล่อยให้เขาทำ พร้อมทั้งห้ามให้พวกเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆในตอนนี้

 

เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนต่างก็ไม่เห็นด้วย หากเป็นเสี่ยวไจ๋กับซูจิ้งเพียงสองคนพวกเขายังพอรับได้ แต่นี้กับให้เสี่ยวไจ๋รับมือคนเดียวมันดูจะเกินมือเขาไปหน่อย

อย่างไรก็ตามไม่ว่าพวกเขาจะว่ายังไงซูจิ้งก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรพร้อมทั้งยังยืนยันคำตอบเดิมให้เพวกเขาทำตาม

 

อีกฝากหนึ่ง เสี่ยวไจ๋ได้ทำตามที่เขาพูดโดยไม่บิดพลิ้วและไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด หลังเรื่องที่ว่าเขานั้นตรงไปยังสำนักสำนักเทควันโดคนเดียว ซึ่งสำนักนั้นเป็นหนึ่งในแปดสำนักเทควันโดที่ได้รับความนิยมที่สุดของจีน

หลังจากได้ยินข่าวนี้ เหล่าคนที่อยู่ฝั่งเดียวกับซูจิ้งรวมไปถึงนักข่าวบางส่วนต่างก็รีบตรงไปสถานที่ต่อสู้ในทันที

เหตุการณ์นี้เปรียบได้ดั่งเป็นการประลองเพื่อเปรียบเทียบเชิงมวยเลยก็ว่าได้

อย่างที่ชาวเน็ตคาดการณ์กันไว้ สำนักเทควันโดนั้นมีคนที่ลงประลองด้วยกันทั้งหมดสามคน

โดยพวกเขาอ้างว่าก็ในเมื่อเพลงหมัดวัวคลั่งนี้ร้ายกาจจนซัดคนได้ไปกว่า 40 คน ในคราเดียว ก็อีแค่จัดการพวกเขา 3 คน คงจะไม่ใส่ใจอะไร

 

“ช่างหน้าไม่อายจริงๆ การต่อสู้ที่ไม่ยุติธรรมแบบนี้ชนะได้ก็แปลกล่ะ”

“ฉันคิดว่าแผนนี้พวกเขาตั้งใจจะเอามาใช้กับซูจิ้งมากกว่า เพียงแต่เสี่ยวไจ๋นั้นออกหน้ามาพวกเขาก็เลยสนองไปช่างหน้าไม่อายเลยจริงๆ”

“ท่าจะสู้กันแบบนี้อย่าสู้กันเลยซะดีกว่า พวกเขาสามคนรุมเสี่ยวไจ๋คนเดียว นี่เหมือนเป็นการประกาศท้าทายระหว่างสำนักเทควันโดกับนิกายปีศาจวัวเลยนะ”

ไม่ว่าคนอื่นจะว่ายังไงก็ตามแต่เสี่ยวไจ๋ก็ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านแต่ประการใด

เขาสงบนิ่งราวกับซูจิ้งมาลงมือเอง เขาก้าวเดินขึ้นเวทีประลอง หลังจากนั้นการประลองก็ได้เริ่มขึ้น

 

นักเทควันโดทั้งสามคนได้กระจานตัวล้อมเสี่ยวไจ๋เอาไว้

พวกเขานอกจากจะเป็นนักเทควันโดระดับปรมาจารย์แล้ว

พวกเขาเองก็ยังได้ฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งมาแล้วในระดับหนึ่ง และได้ทำการฝึกฝนจนนำมาใช้ร่วมกับวิชาเทควันโดของพวกเขาได้จนชำนาญ

ด้วยเหตุนี้พวกเขาแม้จะมีเพียงสามคน แต่ความแข็งแกร่งเทียบได้ดั่งคนกว่า 40 คนมารวมกัน

 

เหล่าคนที่อยู่ฝั่งเดียวกับซูจิ้งอดไม่ได้ที่จะหลับตาแพราไม่อยากเห็นภาพที่เสี่ยวไจ๋ถูกอัดหมอบกระแตลงไปกองกับพื้น

แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้าของทุกคนกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่พวกเขาคิด ตอนนี้เสี่ยวไจ๋ได้แสดงให้เห็นอานุภาพของเพลงหมัดวัวคลั่งออกมา

 

เสี่ยวไจ๋ได้ใช้กระบวนท่าในรูปแบบที่หนึ่ง เพลงหมัดวัวคลั่งทำการหยุดการโจมตีที่อีกสามคนประเคนเข้ามาได้ในทีเดียว

“ปัง ปัง ปัง” เหล่านักเทควันโดทั้งสามยังคงโจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่ในสายตาของเสี่ยวไจ๋นั้นมองพวกเขาไม่ต่างกับหมาข้างถนน

เขาไม่ได้ทำเพียงแค่ป้องกันเอาไว้ด้วยความกลัวแต่อย่างใด เขากลับจ้องมองทั้งสามด้วยความสงบโดยเหมือนดั่งซูจิ้งทุกประการทำให้เราผู้คนที่กำลังดูอยู่ตอนนี้ต่างประหลาดใจไม่น้อย

 

“อย่างพวกแกเนี่ยนะจะมาท้าทายอาจารย์ฉัน” เสี่ยวไจ๋ได้พูดออกมาในขณะที่กำลังรับมือทั้งสามคนด้วยอาการสงบ เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนี้พวกเขาต่างก็ไม่เข้าใจความหมายแต่อย่างใด ทันใดนั้นเสี่ยวไจ๋ก็ได้เริ่มโจมตีกลับไปบ้าง โดยปกติแล้วในการประลองการที่เขาอยู่ระหว่างการโจมตีแบบรุมกระหน่ำขนาดนี้ สมควรจะป้องกันให้ดีก่อนที่จะโจมตีออกไป การที่เขาอยู่ๆก็โจมตีออกมาแบบนี้นอกจากจะทำให้ป้องกันได้ไม่สมบูรณ์แล้วยังเปิดช่องโหว่ให้โดนโจมตีได้อีก อย่างไรก็ตามการโจมตีของเสี่ยวไจ๋ก็ยังถูกเป้าหมายอย่างไม่พลาดเป้า

 

ทันใดนั้นเองทุกคนได้เข้าใจความหมายของคำพูดของเสี่ยวไจ๋ในทันทีโดยที่เสี่ยวไจ๋ไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม

ชายที่โดนหมัดของเสี่ยวไจ๋ไปนั้น เขาถูกชกที่หน้าอกไปทีเดียวอย่างจัง เขาโดนผลักจากแรงกระแทกจะเซถอยหลังไป หลังจากนั้นหน้าของเขาก็ได้กลายเป็นสีแดง ก่อนที่จะกระอักเลือดออกมากองใหญ่

ถัดมาเสี่ยวไจ๋ได้เปลี่ยนกระบวนท่าจนตอนนี้ดูเหมือนกับว่าเขานั้นไม่ได้ใส่ใจกับการป้องกันอีกต่อไป เหมือนกับเขาในตอนนี้มุ่งเน้นไปในการทำลายล้างเท่านั้น

 

นักเทควันโดอีกสองคนได้ชะงักไปเล็กน้อยหลังจากเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขามองหน้ากันเล็กน้อยและได้ตัดสินใจพุ่งเข้าหาพร้อมกันทั้งหน้าหลัง แต่กับเสี่ยวไจ๋ที่เข้าสู่โหมดวัวคลั่งแล้ว หาได้เป็นปัญาหากับเขาไม่

เขาเพียงลงมือโจมตีออกไปเพียงคนละทีเท่านั้นเอง

 

เพียงยังไม่ถึงสามนาที ปรมาจารย์เทควันโดทั้งสามก็ได้ลงไปกองกับพื้นพร้อมกองเลือดสามกอง แต่เสี่ยวไจ๋นั้นไม่ได้มีท่าทีเหนื่อยอ่อนแต่อย่างใด เขาเดินออกจากสนามประลองด้วยท่าทีสงบ

ตอนแรกพวกศิษย์ในสำนักเทควันโดและเหล่าผู้ชมต่างก็ตกตะลึงกันไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก เช่นเดียวกับจินชิซู คิมูระ โอฉิงซง และผู้คนที่กำลังดูการถ่ายทอดสดอยู่ด้วยสายตาโง่งม แต่กับคนดูที่อยู่ฝั่งเดียวกับซูจิ้งแล้วต่างก็ดีใจจนเฮลั่นออกมาดังสนั่น

 

“โว้ะ ไม่ใช่ว่าเสี่ยวไจ๋ชนะได้สบายๆเลยรึไงกัน”

“เสี่ยวไจ๋นอกจากแข็งแรงแล้ว ลักษณะท่าทางของเขาในระหว่างการต่อสู้นี่เหมือนพี่จิ้งเลยแหะ”

“กลายเป็นว่าเสี่ยวไจ๋สามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่เป็นเราไปกังวลแทนพี่จิ้งซะเองหรือนี่”

“ที่พี่จิ้งไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมากว่าสองวัน เป็นเพราะว่าพี่เขารู้อยู่แล้วสินะว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้”

“ขนาดพวกเราน่าจะคุ้นเคยก็เรื่องแบบนี้อยู่แล้วแต่ก็กังวลกันไปเอง ขายหน้าศิษย์พี่จิ้งแล้ว”

 

ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่นานนักก็ได้มีข่าวใหม่เข้ามาแทรก นั่นคือข่าวการร่วมมือกันของสำนักคาราเต้ทั้งสี่และสำนักเทควันโดทั้งห้าที่ออกมาประกาศจับมือกันเพื่อท้าสู้กับเสี่ยวไจ๋

แต่ยังผ่านไปไม่พ้นสามวัน สำนักทั้งหมดที่ประกาศท้าทายได้ถูกเสี่ยวไจ๋ถล่มยับ

ชื่อของเสี่ยวไจ๋ได้เป็นที่รู้จักไปทั้งประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการศิลปะการต่อสู้ ตอนนี้เสี่ยวไจ๋เปรียบได้ดั่งซูเปอร์สตาร์ของวงการ

เขามีชื่อเสียงได้ด้วยอายุเพียงประมาณ19ปีและยังถือว่าเขาเป็นเพียงศิษย์แต่ในนามของซูจิ้งเท่านั้น