บทที่ 348 แผงลอยริมถนน EnjoyBook
บทที่ 348 แผงลอยริมถนน
โจวเสี่ยวเหมยปล่อยให้เด็กหญิงตัวน้อยทั้งสองคนเล่นกันที่ชั้นล่าง ส่วนตัวหล่อนเองเดินขึ้นชั้นบนมาหาพี่สะใภ้สี่
“มีอะไรเหรอ? แล้วนี่เธอกินข้าวหรือยัง?” หลินชิงเหอเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหล่อน
“เดี๋ยวฉันค่อยกินพร้อมพี่ค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยไม่ได้แสดงท่าทางเหินห่างเป็นคนนอกแต่อย่างใด
หลินชิงเหอพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “กิจการเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”
ซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเหมยเป็นคนขยันขันแข็งมาก พวกเขาเปิดร้านซาลาเปาในตอนเช้าจนกระทั่งหลังเวลาอาหารเย็นไปแล้วพวกเขาถึงจะปิดร้าน นับว่าพวกเขาเปิดร้านเกือบทั้งวันเลยทีเดียว
“นับว่าดีเลยค่ะ” เมื่อพูดถึงธุรกิจของหล่อนแล้ว รอยยิ้มน้อย ๆ ก็ผุดบนใบหน้าของโจวเสี่ยวเหมย
ตอนนี้เกือบจะเป็นสิ้นเดือนตุลาคม และใกล้จะครบสองเดือนนับตั้งแต่ที่พวกเขามาที่นี่แล้ว เดือนแรกที่มาอยู่นั้นพวกเขาทำเงินไปได้มากกว่า 100 หยวน ซึ่งถือว่าเป็นหลักประกันให้หล่อนกับต้าหลินของหล่อนได้ดีทีเดียว
รายได้ของเดือนนี้เป็นหลักฐานแสดงให้โจวเสี่ยวเหมยเห็นว่าร้านซาลาเปาร้านนี้ทำกำไรได้ดีเพียงใด
ซูต้าหลินเป็นคนขยัน เดือนนี้เขาซื้อรถสามล้อมาใช้ ในตอนเช้าเขาจะทิ้งร้านไว้ในความดูแลของโจวเสี่ยวเหมย ซึ่งท่านแม่โจวผู้เป็นแม่ภรรยาก็จะมาช่วยงานที่ร้านบ่อย ๆ
ส่วนตัวเขาเองนั้นขับขี่รถสามล้อออกไปเร่ขายซาลาเปา
เขาใช้กล่องโฟมกล่องหนึ่งบุด้วยผ้าสะอาดด้านในสองชั้น จากนั้นก็รองซาลาเปาด้วยกระดาษไข เท่านี้ก็ดำเนินกิจการได้แล้ว
กิจการค้าขายเป็นไปได้ด้วยดีทีเดียว
เมื่อรวมกับการขายที่ร้านเข้าไปด้วย ทำให้ภายในเดือนนี้ที่ยังไม่ถึงสิ้นเดือน พวกเขาก็ทำรายได้เกินกว่า 200 หยวน
แล้วโจวเสี่ยวเหมยจะไม่ปิติยินดีได้อย่างไร?
“ขยันทำงานเข้านะแล้วอนาคตชีวิตของเธอจะไม่ตกต่ำเลย” หลินชิงเหอพยักหน้า
“พี่สะใภ้สี่คะ เมื่อวานนี้เชิ่งเหม่ยไปดูทีวีที่บ้านแล้วก็บอกว่าพี่เปิดร้านเสื้อผ้าอีกแห่งหนึ่งน่ะค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ย
“พี่แค่เปิดเล่น ๆ น่ะ” หลินชิงเหอตอบด้วยรอยยิ้ม
“เปิดเล่น ๆ อะไรกันคะ? พี่สะใภ้สี่ ทำไมพี่ถึงเก่งขนาดนี้?” โจวเสี่ยวเหมยโพล่งออกมาด้วยความอิจฉา “ถ้าฉันเก่งเท่าพี่สะใภ้สี่แล้วล่ะก็นะ!”
พี่สะใภ้สี่ของหล่อนเป็นผู้หญิงยุคใหม่โดยแท้ ไม่มีอะไรที่เธอทำไม่ได้เลย แถมยังทำได้ดีกว่าผู้ชายอีกด้วย
พี่สะใภ้สี่ของหล่อนเปิดร้านเกี๊ยว หล่อนไม่รู้ว่ากิจการร้านเกี๊ยวเป็นอย่างไรบ้าง แต่คงใช้ร้านซาลาเปาเทียบกันได้อยู่
อย่างมากร้านเกี๊ยวก็ทำกำไรได้มากกว่า 200 หยวนเหมือนกัน แต่ต่อให้มันมากขนาดนี้ก็เทียบไม่ได้เลยกับร้านเสื้อผ้า
โจวเอ้อร์นีไม่ได้พูดอะไร แต่สวี่เชิ่งเหม่ยบอกว่าในช่วงเวลาที่ลูกค้าเยอะ ร้านเสื้อผ้าสามารถทำกำไรไปได้ 2,000 หรือ 3,000 หยวนต่อเดือนเลยทีเดียว
แน่นอนว่ายังมีค่าใช้จ่ายและค่าจิปาถะอื่น ๆ ให้ต้องคำนวณ แต่ถึงอย่างนั้นกำไรที่ได้ก็ไม่ใช่น้อย ๆ
ไม่อย่างนั้นพี่สะใภ้สี่ของหล่อนคงไม่เปิดร้านค้าแห่งหนึ่งในตอนต้นปีกับร้านค้าอีกแห่งหนึ่งในตอนปลายปีหรอกถูกไหม?
โจวเสี่ยวเหมยเดาได้ถูกต้อง กำไรของร้านเสื้อผ้านับว่ามีมหาศาล นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมหลินชิงเหอถึงจ้างหม่าเฉิงหมินหลังจากได้ยินว่าเขาตกงาน
ดูจากผลกำไรของร้านเสื้อผ้าผู้หญิงแล้ว เป็นเพราะการมีร้านตัดเย็บเล็ก ๆ อยู่ด้วยนี่เอง ทำให้ทางร้านค้าได้ผลกำไรมากขึ้นเนื่องจากไม่มีพ่อค้าคนกลางมาเกี่ยวข้อง
ในช่วงที่ขายดี ผลกำไรของร้านเสื้อผ้านั้นมีเกือบจะถึงสามพันหยวน
ดังนั้นการเพิ่มร้านเสื้อผ้าผู้ชายเข้าไปจึงไม่มีปัญหา อย่างไรเสียเธอก็ยังเปิดร้านแรกไว้อยู่แล้ว เช่นเดียวกับร้านค้าทั้งสอง
“พี่สะใภ้สี่คะ พี่คิดว่าอย่างไรคะถ้าฉันจะขอเสื้อผ้าบางชุดจากโรงงานเล็ก ๆ ของพี่ไปตั้งแผงลอยริมถนนขายที่จัตุรัสในตอนเย็น?” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ย
หลินชิงเหอยิ้ม “โรงงานเล็ก ๆ อะไรกัน? มันเป็นแค่ศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าเล็ก ๆ เอง” จากนั้นเธอก็พูดต่อ “ได้สิ เธอเอาไปได้เลย แต่จะขนไปไหวไหม?”
ซูต้าหลินต้องตื่นแต่เช้ามืด แม้เขาจะนอนพักในตอนกลางวันได้ แต่ก็ยังเหนื่อยล้าอยู่ดี จึงเป็นเรื่องดีที่จะเข้านอนแต่หัวค่ำ
“แน่นอนสิคะว่าฉันขนไปได้ พี่ตั้งราคาต่อชุดไว้เท่าไหร่เหรอคะ?” โจวเสี่ยวเหมยถาม
“พี่ให้เธอขายเอากำไร 3 เหมาแล้วให้เสื้อผ้ากับเธอ 5 ชุดต่อวันแล้วกัน” หลินชิงเหอเอ่ยพลางยิ้มกริ่มเมื่อเห็นว่าหล่อนมีความสนใจจะทำจริง ๆ
ราคา 3 เหมาต่อชุดถือว่าไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยเช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงว่ามีชุดให้ขาย 5 ชุดต่อวัน หากหล่อนสามารถขายชุดได้ 2 หรือ 3 ชุดในแต่ละคืน มันก็มีค่าเท่ากับเงินเดือนโดยเฉลี่ยของคน ๆ หนึ่ง
“ก็ได้ค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยไม่รังเกียจเงื่อนไขนี้จึงตอบตกลงไป
เมื่อลองนับวันเวลาดู นานเท่าไหร่แล้วนะที่หล่อนไม่ได้ออกไปทำงานหาเงิน?
ตอนที่หล่อนยังทำงานประจำอยู่ หล่อนได้เงินเดือนเพียง 20 หยวนกว่าต่อหนึ่งเดือน มันไม่ใช่เงินจำนวนมากเลย เพียงครึ่งหนึ่งของเงินเดือนซูต้าหลินเท่านั้น
แต่ต่อให้จะเป็นเงินเพียง 20 หยวนหรือราว ๆ นั้น มันก็เป็นเงินที่หล่อนหามาได้ด้วยตัวเอง หล่อนจึงรู้สึกพอใจอยู่ในใจ
การเป็นแม่บ้านอยู่ที่บ้านไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพียงแต่ว่าโจวเสี่ยวเหมยที่เคยออกไปทำงานหาเงินรู้สึกอยากหางานให้ตัวเองทำขึ้นมาในตอนนี้แล้ว
วันนั้นหล่อนจึงกินอาหารเย็นร่วมกับครอบครัวพี่สะใภ้สี่ที่ร้านเกี๊ยว หลังกินเสร็จหล่อนก็นำเสื้อผ้า 5 ชุดกลับไปด้วย หล่อนปล่อยให้เด็ก ๆ อยู่ในความดูแลของท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจว ก่อนที่โจวเสี่ยวเหมยจะดึงตัวซูต้าหลินไปตั้งแผงลอยริมถนน
ด้วยเสื้อผ้า 5 ชุด เธอจึงสามารถเริ่มเร่ขายของได้
ซูต้าหลินไม่คัดค้านแต่อย่าางใด ร้านซาลาเปาตอนนี้ก็อยู่ตัวแล้วและทำกำไรได้ไม่เลว แต่ในเมื่อภรรยาของเขาอยากทำงานหาเงินบ้าง เขาจึงปล่อยให้หล่อนได้ลงมือทำ
มีเสื้อผ้าที่ต้องขายอยู่ 5 ชุดเท่านั้น ซึ่งในยุคนี้ธุรกิจหาบเร่แผงลอยเป็นที่นิยมอย่างมาก
โจวเสี่ยวเหมยค้นพบสถานที่ที่มีคนอยู่เป็นจำนวนมากจึงร้องประกาศเสียงดัง “เสื้อผ้าใหม่ ๆ! แบบใหม่ออกจากโรงงานเลยค่ะ ราคาเท่าโรงงานเลย ใครสนใจมาลองดูได้นะคะ”
เสื้อผ้าทั้ง 5 ชุดล้วนมีแบบและสีต่างกัน 5 แบบ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพหรือรูปแบบก็ล้วนอยู่ในระดับชั้นยอด
ไม่นานนักผู้คนก็มามุงดู พวกเขาไม่จำเป็นต้องซื้อในตอนที่ได้เห็น แต่ถึงอย่างนั้นเสื้อผ้าทั้ง 5 ชุดนี้ก็ถูกขายออกในที่สุด
เสื้อผ้า 5 ชุดทำให้โจวเสี่ยวเหมยได้เงินมา 1.5 หยวน ซึ่งทำให้หล่อนรู้สึกยินดีปรีดาอย่างมาก
หล่อนขายหมดในเวลาไม่ถึงชั่วโมง
“ต้าหลิน ในเมืองหลวงหาเงินได้ง่ายเหลือเกินค่ะ!” โจวเสี่ยวเหมยรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา
ซูต้าหลินทำเพียงยิ้ม
ในใจของเขารู้สึกสงบสุขเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ตอนที่พวกเขามาถึงครั้งแรกเขาก็รู้สึกไม่สบายใจโดยแท้ แต่เมื่อมาอยู่เมืองหลวงได้สองเดือน เขาก็ตระหนักได้ว่าตราบใดที่ตัวเองไม่ขี้เกียจ เขาก็ยังหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวของเขาได้
“ฉันจะไปขอพี่สะใภ้สี่ว่าเราสามารถขนเสื้อผ้ามาขายได้มากกว่านี้หรือเปล่านะคะ” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ย
หล่อนมาหาพี่สะใภ้สี่ในวันต่อมา
หลินชิงเหอรับรู้ท่าทางของหล่อนดีว่าหล่อนขายเสื้อผ้าหมดเกลี้ยงแล้ว
“พี่สะใภ้สี่คะ พี่ให้เสื้อผ้าจากโรงงานเล็ก ๆ ของพี่กับฉันเพิ่มได้ไหมคะ? ฉันอยากขนไปขายอีกน่ะค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยพูด
“ศูนย์ตัดเย็บของพี่ทำไม่ได้หรอกเพราะต้องส่งให้ร้านของพี่สองร้าน” หลินชิงเหออธิบาย “แต่ถ้าเธออยากได้เสื้อผ้าที่มาจากโรงงานผลิตเสื้อผ้า พี่ก็ให้ได้เป็นจำนวนมาก ๆ เลย แต่เธอจะได้กำไรเพียง 2 เหมาเท่านั้น”
เธอนำสินค้ามาจากโรงงานผลิตเสื้อผ้า ดังนั้นราคาจึงสูงเป็นธรรมดา หลินชิงเหอจึงไม่คิดจะส่งของให้โจวเสี่ยวเหมยด้วยราคาสูงเท่านั้น
เป็นเพราะเธอเองก็ต้องค้าขายเหมือนกัน เป็นโจวชิงไป๋กับเธอที่คุยสัญญากับหวังหยวนในทุกครั้ง และโรงงานของหวังหยวนก็เพิ่งก่อตั้งขึ้นหลังจากที่เธอกับโจวชิงไป๋เปลี่ยนโรงงานผลิตมาแล้วหลายหน
โรงงานก่อนหน้านั้นไม่ใช่โรงงานที่ดีเลย
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือหากเสื้อผ้าเหล่านี้ไม่ได้ถูกขายส่งให้กับโจวเสี่ยวเหมย เธอก็สามารถนำเสื้อผ้าเหล่านี้ไปลงร้านของเธอได้เหมือนกัน เหตุผลที่เธอขายให้โจวเสี่ยวเหมยในราคาขายส่งก็เพราะอยากให้หล่อนได้ลิ้มรสความหวานบ้างในฐานะที่ทั้งคู่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
ถ้าเป็นคนอื่นล่ะ? เธอจะให้ราคาขายส่งเอากำไรแบบนี้ไหม?
ดังนั้นอย่าหาว่าเธอเป็นคนใจดำเลย นี่เป็นเรื่องของธุรกิจ มันเป็นธุรกิจที่ตั้งอยู่ในผลประโยชน์ร่วมกันด้วย เธอจะไม่ใช่คนหยิ่งเพราะไม่เอาผลกำไรมหาศาลเหล่านั้น ส่วนโจวเสี่ยวเหมยก็มีรายได้จากน้ำพักน้ำแรงของหล่อนเอง เป็นสถานการณ์ที่ได้เปรียบกันทั้งสองฝ่าย
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แม่เปิดร้านเล่น ๆ แต่ทำกำไรจริงจังนะคะ
เสี่ยวเหมยรู้สึกติดใจกับการเป็นแม่ค้าแผงลอยไปแล้วค่ะ ขอให้กิจการรุ่งเรืองนะคะ
ไหหม่า(海馬)