บทที่ 436.2 ชื่อในเรื่องราว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันยังคงมาเยือนสถานที่ทั้งสามแห่งอย่างจวนจูเสียน เกาะตะขอจันทร์และเกาะกาหยกอยู่บ่อยๆ อวี๋กุ้ยแห่งเกาะตะขอจันทร์เป็นคนที่พูดง่ายที่สุด การค้าขายแลกเปลี่ยนก็ราบรื่นมากที่สุด ผู้ฝึกตนใหญ่สำนักหยินหยางแห่งเกาะกาหยกผู้นั้นก็พอใช้ได้ แม้จะไม่ถึงขั้นกระตือรือร้น แต่ก็มีมาดของสำนักการค้าที่พูดจาตรงไปตรงมาน่าเชื่อถือ คนที่เฉินผิงอันรับมือได้ยากที่สุดกลับกลายเป็นผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าที่ตบะต่ำที่สุดคนนี้ เขายังคงยืนกรานว่า เว้นเสียแต่เฉินผิงอันจะสามารถเกลี้ยกล่อมหลิวจ้งรุ่นเจ้าเกาะจูไชได้ หาไม่แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องคุยกัน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงต้องทำตัวเหมือนพ่อสื่อ คอยเทียวไปเทียวมาอยู่ระหว่างเกาะจูไช หลิวจ้งรุ่นนั้นใจแข็งยิ่งกว่าผู้ฝึกตนผีเสียอีก หากเจ้าเฉินผิงอันไม่พูดถึงคนแบกอาหารผู้นั้น เจ้าก็คือแขกผู้มีเกียรติของเกาะจูไช หอไข่มุกมีสุราดีชาเลิศรสและสาวงามพร้อมรอปรนนิบัติ แต่หากเจ้ามาทำหน้าที่เป็นคนพูดแทนนักการชั้นต่ำของเชื้อพระวงศ์สกุลหลิวในปีนั้น ก็อย่าหวังว่าจะได้เข้าประตูภูเขาของเกาะจูไชมา

เฉินผิงอันที่ดื้อดึงก็ไม่เข้าประตูภูเขาจริงๆ แต่ละครั้งจะทำเพียงแค่พูดคุยกับหลิวจ้งรุ่นที่ท่าเรือสองสามคำ แล้วก็พายเรือกลับ

อันที่จริงคนทั้งสองก็น่าจะคุยกันถูกคอ คราวนั้นเขาได้เดินทางท่องผ่านกาลเวลาเกือบสามร้อยปีในพื้นที่มงคลดอกบัว ได้เห็นเรื่องราวของวงการขุนนางและในตระกูลเชื้อพระวงศ์มาแล้วมากมาย เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันในตอนนี้ไม่ยินดีจะแบ่งสมาธิ แล้วก็ไม่สามารถแบ่งสมาธิไปให้ความสนใจเรื่องอื่นได้ ทว่าวันใดที่ต้องไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน เฉินผิงอันจะต้องมาเยี่ยมเยือนเกาะจูไช แล้วสอบถามผู้ฝึกตนหญิงที่ปีนั้นเกือบจะได้เป็นจักรพรรดินีคนแรกของแจกันสมบัติทวีปอย่างหลิวจ้งรุ่นถึงข้อสงสัยบางอย่างที่อยู่ในใจอย่างแน่นอน

แต่ถึงแม้จะไม่สามารถขอจิตหยินมาจากผู้ฝึกตนผีแซ่หม่ามาได้อย่างราบรื่น กระนั้นก็ยังแลกเปลี่ยนเวทคาถาวิชาผีบางส่วนต่อกันได้ เทียบกับอวี๋กุ้ยคนปลิ้นปล้อนที่สามารถพูดจาไร้แก่นสารได้เป็นสองชั่วยามแล้วกลับมีความหมายมากกว่า ส่วนผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางของเกาะกาหยกคนนั้นก็ไม่ใช่คนชอบพูดคุย ต่อให้เฉินผิงอันอยากจะคุยด้วยก็ง้างปากเขาไม่ออก ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมาเยือนจวนจูเสียนแห่งนี้มากกว่า อีกทั้งจวนนี้ก็ตั้งอยู่บนเกาะชิงเสีย เวลาเดินเล่นหลังกินข้าวมักจะมีเรื่องราวที่ขบคิดแล้วไม่เข้าใจ พอเงยหน้าขึ้นก็มาถึงที่นี่แล้ว

วันนี้ยามสนธยา เฉินผิงอันเพิ่งจะได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่งจากกระบี่บินส่งข่าวของเรือนกระบี่ แล้วก็มาผ่อนคลายจิตใจที่จวนจูเสียนแห่งนี้

ทางฝ่ายของฟ่านจวิ้นเม่าแห่งนครมังกรเฒ่าตอบกลับมาแล้ว แต่มีแค่สี่คำเท่านั้น ไม่มีอะไรให้บอก

เฉินผิงอันเองก็จนปัญญา

องค์เทพขุนเขาใต้ของต้าหลีในอนาคต คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ระดับต้นของทวีปที่สามารถทัดเทียมได้กับเว่ยป้อ แล้วนับประสาอะไรกับที่ฟ่านจวินเม่าใจแคบกว่าเว่ยป้อมากนัก จะไปแหยมกับนางไม่ได้เด็ดขาด

แต่ตอนนั้นเฉินผิงอันเขียนไว้บนจดหมายอย่างชัดเจนว่า นี่เป็นทั้งเขาเฉินผิงอันกำลังขอร้องให้ช่วย และก็ยิ่งเป็นการค้าแลกเปลี่ยนของทั้งสองฝ่ายด้วย ตามหลักแล้วฟ่านจวิ้นเม่าไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ถึงจะถูก

วันนี้เฉินผิงอันยังคงเอ่ยทักทาย ‘หญิงชรา’ คนเฝ้าประตูอยู่เหมือนเดิม ก่อนจะไปหาผู้ฝึกตนผีแซ่หม่า

เขาไม่ได้หยุดเดิน ไม่ได้ชวนคุยอะไรมากมาย หงซูที่รูปโฉมกลับคืนมาเป็นสตรีแต่งงานแล้วอายุสี่สิบปีก็ไม่รู้สึกผิดหวัง นางคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดีมากแล้ว น่าแปลกที่มันกลับยิ่งทำให้นางสบายใจ

วันนี้หลังจากที่เฉินผิงอันออกมาจากจวนจูเสียนก็สังเกตเห็นว่ากู้ช่านกับหนีชิวน้อยมายืนอยู่ตรงปลายทางสายเล็ก กู้ช่านถามเฉินผิงอันว่าคืนนี้ว่างหรือไม่ บอกว่าท่านแม่เขาทำอาหารอีกแล้ว

เฉินผิงอันบอกว่าคืนนี้ไม่ได้ เขายังต้องไปดูที่เกาะอีกสองแห่งซึ่งค่อนข้างห่างจากเกาะชิงเสียไปไกล ตอนกลับมาต้องดึกมากแน่ๆ ต่อให้เป็นอาหารมื้อดึกก็คงมาไม่ทัน

กู้ช่านผิดหวังเล็กน้อย

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

กู้ช่านพาเฉินผิงอันมาส่งที่ด้านนอกเรือนตรงหน้าประตูภูเขา เขาพลันถามว่า “เฉินผิงอัน อันที่จริงเจ้ามีความเห็นบางอย่างกับท่านแม่ของข้า ใช่ไหม?”

เฉินผิงอันลูบศีรษะของเขา “เรื่องพวกนี้เจ้าไม่ต้องคิดมาก หากมีเรื่องและปัญหาจริงๆ ข้าจะหาเวลาและหาโอกาสไปพูดคุยกับท่านอาหญิง แต่เมื่ออยู่กับเจ้า ข้าจะไม่มีทางพูดอะไรที่ไม่ดีเกี่ยวกับแม่เจ้าเด็ดขาด”

กู้ช่านคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ จากนั้นเขาก็พาหนีชิวน้อยจากไป

เฉินผิงอันเดินกลับเข้าไปในห้องแล้วก็ก้มหน้าก้มตาอยู่กับกองตำรา

……

ในหอสูงของนครน้ำบ่อ

ชุยฉานวางจดหมายลับฉบับหนึ่งลง

เขานวดคลึงหว่างคิ้วแล้วขบคิดใคร่ครวญอย่างละเอียด

ชุยตงซานยังคงอยู่ในบ่อสายฟ้าสีทองแห่งนั้น ไม่ได้เดินห่างออกมาแม้แต่ก้าวเดียว แต่ตอนนี้กำลังตั้งท่าฟ้าดินเลียนแบบเฉินผิงอัน

ทิศทางการเดินไปของเรื่องราวบนโลกและความขึ้นๆ ลงๆ ของจิตใจคนล้วนมีร่องรอยให้ตามหา นี่เป็นความรู้ของตัวเขาเองที่ชุยฉานให้การศึกษาค้นคว้าอย่างลึกซึ้งมาโดยตลอด

ชุยฉานพูดพึมพำกับตัวเอง “ด้านหนึ่งเพราะเฉินผิงอันมาถึงเร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ นี่เป็นเพราะสมองของกู้เทา แน่นอนว่ายังมีสมองของตัวเฉินผิงอันเองที่ดีกว่าเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวา เป็นเหตุให้ความเป็นไปได้ที่ทั้งหร่วนซิ่วและกู้ช่านจะบาดเจ็บสาหัสพ่ายแพ้กันไปทั้งคู่ถูกลบเลือนหาย แต่เดิมทีนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการฝ่าทำลายสถานการณ์ของเฉินผิงอันอยู่แล้ว ต่อให้เจ้าไม่อยู่ ข้าก็ไม่มีทางขัดขวาง”

“อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะข้าดูแคลนความอดทนของกู้ช่านไปสักหน่อย เขาไม่ได้ลงมืออย่างบุ่มบ่าม ไม่ได้สั่งให้หนีชิวตัวนั้นไปท้าทายหร่วนซิ่วในคืนนั้นโดยตรง ส่วนความรู้สึกอันดีที่หร่วนซิ่วมีต่อเฉินผิงอัน ทำให้ความสนใจของนางย้ายไปจากตัวของหนีชิว รวมไปถึงความทะเยอทะยานของเจ้าเกาะกงหลิ่วอย่างหลิวเหล่าเฉิง ทั้งสองฝ่ายล้วนมากกว่าที่ข้าคาดการณ์เอาไว้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวแปรที่ไม่เล็ก”

“ตามผลการอนุมานจากคลื่นมรสุมในตรอกฉีหลงปีนั้น พอจะได้ข้อสรุปคร่าวๆ อย่างหนึ่งว่า หร่วนซิ่วคือบุคคลที่เสินจวินผู้เฒ่าให้ความสำคัญอย่างมาก ถึงขั้นมากกว่าหลี่หลิ่วและฟ่านจวิ้นเม่าด้วยซ้ำ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่านางจะเป็นท่านผู้นั้นซึ่งเป็นหนึ่งในจิตวิญญาณใหญ่แห่งวิถีเทพ เป็นเหตุให้นางสามารถมองเห็นผลบุญกรรมจากร่างของคนอื่นได้ มีนางอยู่ด้วย ก็เท่ากับว่าเฉินผิงอันได้รู้หัวข้อการสอบเคอจวี่ล่วงหน้า ข้อยากข้อที่สี่นี้ ยากตรงที่มีความยากนับไม่ถ้วน ทว่าความยากนี้ได้ถูกลดทอนไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ข้าก็ยังคงปล่อยให้หร่วนซิ่วที่หาข้ออ้างมากมายเพื่อเสียเวลาอยู่ในนครลวี่ถงไม่ยอมจากไปได้อยู่ต่อในทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างถูกต้องเหมาะสม ทำให้เจ้าต้องยอมแพ้ทั้งกายและใจ”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ชุยฉานก็ยิ้มมองชุยตงซาน

ในเมื่อหลิวเหล่าเฉิงแอบเข้ามาในอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างลับๆ แต่กลับไม่ได้อาศัยช่องทางใดๆ แจ้งข่าวให้สายลับต้าหลีรู้

นี่หมายความว่าหลังจากผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนอย่างหลิวเหล่าเฉิงท่านนี้ไปสนิทสนมกับสวินยวนบรรพจารย์แห่งสำนักกุยหยกแล้ว ก็ได้คิดที่จะทุบหม้อข้าวจมเรือ เลือกที่จะเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดของทะเลสาบซูเจี่ยนมาเป็นเดิมพัน เพื่อเป็นใบรับรองให้สำนักกุยหยกมาสร้างสำนักเบื้องล่างที่ทะเลสาบซูเจี่ยน โดยทั่วไปแล้วหากหลิวจื้อเม่าที่บัญชาการณ์เกาะชิงเสียรวบรวมทะเลสาบซูเจี่ยนให้เป็นปึกแผ่นได้สำเร็จ ในฐานะที่หลิวเหล่าเฉิงคือเจ้าเกาะกงหลิ่ว จึงยังมีความสัมพันธ์เก่าแก่ที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำอีกมากมาย ขอแค่ที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกคือทะเลสาบซูเจี่ยน หลิวเหล่าเฉิงก็ไม่ขาดทุน แถมยังได้กำไรนิดๆ หน่อยๆ อีกด้วย ก็แค่กำไรก้อนใหญ่ล้วนถูกหลิวจื้อเม่าและสกุลซ่งต้าหลีที่อยู่เบื้องหลังคว้าไปก็เท่านั้น เพียงแต่ว่าคนที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ หากเป็นสถานการณ์ดีที่มีโอกาสชนะห้าต่อห้า ใครเล่าจะไม่ยอมเดิมพัน? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุคคลอันดับหนึ่งในบรรดาผู้ฝึกตนอิสระแห่งแจกันสมบัติทวีปอย่างหลิวเหล่าเฉิงนี่เลย บวกกับที่ต่อให้หลิวจื้อเม่าจะมีกองกำลังแข็งแกร่งมากพอ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหลิวเหล่าเฉิงที่มีรากฐานลึกล้ำอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน หากฝ่ายหลังคอยก่อกวน ก็ไม่แน่เสมอไปว่าฝ่ายแรกจะยินดีเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ

นี่ก็คือสถานการณ์ใหญ่

ที่อยู่บนร่างของหลิวเหล่าเฉิง

คนคนหนึ่งที่ได้ยึดครองแนวโน้มของสถานการณ์ที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อไว้เพียงลำพัง

นี่เป็นเรื่องยากถึงเพียงใด

หลิวจื้อเม่ายังห่างชั้นไกลนัก ผลงานครึ่งหนึ่งล้วนอาศัยลูกศิษย์อย่างกู้ช่านและสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง มีพลังอำนาจน้อยนิดราวกับสตรีที่ค่อยๆ เก็บหอมรอมริบทรัพย์สมบัติให้ครอบครัวตัวเอง จะมาเปรียบเทียบกับตะพาบเฒ่าอย่างหลิวเหล่าเฉิงที่ขี่ม้าถือทวนบุกเดี่ยวเข่นฆ่าจนเกิดทางสายโลหิตได้หรือ? ตบะ นิสัยใจคอ ฝีมือ ล้วนไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน หากให้เวลาหลิวจื้อเม่าอีกสักร้อยสองร้อยปี รวบรวมเส้นสายสร้างกิจการของตน จากนั้นเลื่อนเป็นห้าขอบเขต ถึงจะพอเป็นไปได้

หันกลับมามองหลิวเหล่าเฉิง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นวีรบุรุษของพื้นที่แถบหนึ่งที่ตัวชุยฉานเองชื่นชมอย่างมาก

ชุยตงซานเดินกลับหัว เอ่ยชวนคุยว่า “หร่วนซิ่วอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนต่อ เจ้าก็สามารถคล้อยไปตามสถานการณ์ได้เหมือนกัน ตัวแปรที่เกิดจากการชักนำของหมากสำคัญตัวสองตัวที่พัฒนาไปด้วยตัวเอง ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อสถานการณ์ใหญ่เลยแม้แต่น้อย สามารถถ่ายโอนเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ใหญ่ที่เจ้าต้องการได้เหมือนกัน”

ชุยตงซานพลิกตัวกลับมายืนนิ่งอีกครั้ง พูดด้วยสีหน้าไม่อนาทรร้อนใจว่า “แค่หาข้ออ้างให้เจ้าคนแซ่ซ่ง บอกให้พวกเขารีบไปจากนครลวี่ถงก็สิ้นเรื่อง”

ชุยฉานถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมต้องทำแบบนี้? เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้าได้กำไรก้อนเล็กไป แต่เจ้าไม่ต้องการหรือ?”

ชุยตงซานขยี้ซีกหน้าตัวเองอย่างแรง “แน่นอนว่าข้าต้องการเดิมพันครั้งใหญ่! หากแพ้ อย่างมากก็แค่ล้มละลาย หากชนะ ข้าก็จะไปจากสำนักศึกษาซานหยา ช่วยเจ้าวางแผนรับมือกับสถานการณ์ใหญ่ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป”

คราวนี้ชุยฉานคิดแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ จำต้องถามว่า “แล้วทำไมต้องทำแบบนี้?”

ชุยตงซานตอบอย่างหน้าไม่อายว่า “ข้าชอบ! ชอบเห็นเวลาที่เจ้าคิดคำนวณไปมา แต่ผลกลับพบว่าตัวเองคำนวณเจอแต่ผายลม”

ชุยฉานหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องผิดหวังแล้ว”

ชุยตงซานออกหมัดมั่วซั่วคำรบหนึ่ง คราวนี้เป็นฝ่ายที่เขาต้องถามบ้าง “ทำไมล่ะ?”

ชุยฉานยิ้มตาหยี “เจ้าลองเดาดูสิ”

ชุยตงซานพลันถามว่า “หากหลิวเหล่าเฉิงสังหารกู้ช่าน สถานการณ์ครั้งนี้จะไม่กลายเป็นหัวเสือหางงูหรอกหรือ?” (เริ่มต้นได้สวยงามแต่จบลงแบบแย่)

ชุยฉานถามกลับ “คนที่ต้องร้อนใจจริงๆ คือข้างั้นหรือ? ต้องเป็นเจ้าไม่ใช่หรือไง?”

ชุยตงซานหัวเราะหึๆ

ชุยฉานยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องเอ่ยถ้อยคำที่เป็นการทำลายบรรยากาศแล้ว หากเฉินผิงอันเริ่มเผชิญหน้ากับผีที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมซึ่งมีมากมหาศาลเหล่านั้นอย่างตรงไปตรงมาเมื่อไหร่ จะต้องมีเรื่องราวที่น่าสนใจเกิดขึ้นอีกมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ ต่อให้มีเพียงวัตถุหยินตนเดียว หรือญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ของวัตถุหยินตนหนึ่งที่เอ่ยถามเฉินผิงอันต่อหน้าว่า ‘ขอโทษ? ไม่จำเป็น ชดใช้? ก็ไม่จำเป็นอีกเหมือนกัน คิดจะใช้ชีวิตแลกชีวิต เจ้าทำได้หรือ?’ เมื่อถึงเวลานั้น เฉินผิงอันจะจัดการอย่างไร? หลุมในใจหลุมนี้ ควรจะข้ามไปอย่างไร? นี่เป็นเพียงแค่หนึ่งในความยากที่มีมากมายนับไม่ถ้วนเท่านั้น”

ชุยตงซานกระโดดเหยงๆ ใช้สองมืออุดหู “ไม่ฟังๆ ตะพาบเฒ่าท่องคัมภีร์ไม่น่าฟังเลยจริงๆ”

……

ทางฝั่งหน้าประตูเรือนจูเสียน

วันนี้เฉินผิงอันมานั่งอยู่บนธรณีประตู สตรีที่มีนามว่าหงซูผู้นั้น ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่อาศัยปราณวิญญาณที่ดูดซับจากเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญทุกวันมารักษาความเยาว์เอาไว้ ทำให้เพียงไม่นานนางก็กลับคืนมามีลักษณะเป็นหญิงชราเหมือนตอนที่ได้พบกันครั้งแรกอีกครั้ง

และวันนี้จู่ๆ เฉินผิงอันก็ควักกระดาษและพู่กันออกมา ยิ้มกล่าวว่าอยากถามเรื่องในอดีตบางอย่างจากนาง ไม่รู้ว่าจะเหมาะหรือไม่ แต่เขาไม่มีความหมายอย่างอื่น ขอนางอย่าได้เข้าใจผิด

ก่อนจะตอบคำถาม นางที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องด้านข้างอันมืดมิดยิ้มถามว่า “ท่านเฉิน ท่านคือคนของสำนักนักประพันธ์ในบรรดาเมธีร้อยสำนักจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่ แต่ข้ามีสหายคนหนึ่งที่ชอบเขียนบันทึกแห่งภูเขาและแม่น้ำ เขียนได้ดีมากด้วย ข้าหวังว่าในอนาคตเมื่อได้เจอกับสหายคนนี้อีกครั้ง จะเอาเรื่องที่ได้พบเห็นและได้ยินมาไปเล่าให้เขาฟัง หรือไม่ก็บันทึกเอาไว้แล้วเอาให้เขาอ่าน”

นางจับชายกระโปรง เดินเร็วๆ มาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามว่า “นั่งได้ไหม?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ที่นี่คือบ้านเจ้านะ”

นางนั่งลงพร้อมรอยยิ้ม ห่างจากเฉินผิงอันมาระยะหนึ่ง

นางกล่าวอย่างลำบากใจเล็กน้อย “ท่านเฉิน บอกไว้ก่อนเลยนะว่า ข้าไม่มีเรื่องราวอะไรให้เล่ามากนักหรอก หากท่านเฉินฟังจบแล้วอาจจะรู้สึกผิดหวัง อีกอย่างๆ ชื่อของข้าจะไปปรากฏบนหนังสือเล่มนี้ได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ต้องได้แน่อยู่แล้ว ขอแค่เจ้าไม่ถือสา อีกทั้งเมื่อคุยกันจบแล้ว เจ้าต้องเตือนข้าด้วยว่าเรื่องไหนเขียนได้ เรื่องไหนเขียนไม่ได้ เรื่องราวและบุคคลใดที่เขียนได้มากเขียนได้น้อย ถึงเวลานั้นข้าจะได้กำชับเพื่อนคนนั้นของข้า”

สองมือของนางที่กำแน่นวางไว้บนหัวเข่า สีหน้าสดใสเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา

ใบหน้าของเฉินผิงอันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มองนางด้วยสายตาที่อ่อนโยนและใสกระจ่าง ประหนึ่งกำลังมองแม่นางที่ดีงามคนหนึ่ง

นางรีบลุกขึ้นยืน ยอบตัวคารวะอย่างลิงโลดและซุกซนหนึ่งทีถึงได้นั่งลง คลี่ยิ้มราวบุปผาผลิบาน

แล้วนางก็เริ่มพูดจ้อถึงเรื่องราวของตัวเอง ถึงขั้นนึกถึงบุคคลและเรื่องราวมากมายที่นางเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองลืมไปนานแล้ว

เฉินผิงอันจดลงไปทีละเรื่อง

บางครั้งพูดเหนื่อยแล้วนางก็จะจ้องเป๋งไปยังนักบัญชีที่ใบหน้าซีดขาวน้อยๆ ซึ่งกำลังก้มหน้าตั้งใจเขียนตัวอักษรโดยที่ไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไรไม่เหมาะสม

สุดท้ายเฉินผิงอันเก็บพู่กันและกระดาษ กุมหมัดคารวะเอ่ยขอบคุณ

นางปิดปากหัวเราะคิกคักไม่หยุด จากนั้นก็เอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “ท่านเฉิน จำไว้ว่าบอกเพื่อนท่านสักคำว่า ต้องจัดพิมพ์เป็นหนังสือด้วยนะ หากไม่ได้จริงๆ ข้าสามารถช่วยออกเงินเกล็ดหิมะได้สองสามเหรียญ”

เฉินผิงอันยู่หน้า “ไหนเลยจะกล้ารับเงินจากเจ้าอย่างไร้มโนธรรมเช่นนั้น วางใจเถอะ เงินเล็กน้อยแค่นี้สหายข้ายังพอมี อีกอย่างเจ้าเองก็ต้องเชื่อในความสามารถด้านการประพันธ์ของเขา ต้องมีร้านขายหนังสือยินดีซื้อไปขายต่อแน่นอน”

หลังจากเฉินผิงอันจากไปแล้ว

‘หญิงชรา’ คนเฝ้าประตูก็ยังมีรอยยิ้มเต็มหน้า ถึงขั้นอดใจไม่ไหวกระโดดโลดเต้นอยู่ตรงที่เดิม

ผลกลับพบว่านายท่านแห่งจวนจูเสียนมายืนอยู่ข้างกาย

นางรีบหุบรอยยิ้ม

คิดไม่ถึงว่านายท่านผู้เคร่งขรึมเย็นชาจะถามนางว่า “คราวหน้าเจ้าบอกกับเฉินผิงอันหน่อยว่า เรื่องระหว่างข้ากับองค์หญิงใหญ่หลิวจ้งรุ่นก็เขียนลงไปได้เหมือนกัน ขอแค่เขายินดีเขียน ข้าจะให้เงินร้อนน้อยเจ้าหนึ่งเหรียญเป็นค่าตอบแทน”

นางกล่าวอย่างขลาดๆ “หากบ่าวพูดเกลี้ยกล่อมท่านเฉินไม่ได้ล่ะ? นายท่านจะลงโทษบ่าวหรือไม่?”

ผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าสบถด่า หมุนตัวก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูไป “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเขาหูหนวกตาบอด ไม่เกี่ยวกับหญิงอัปลักษณ์อย่างเจ้า มารดามันเถอะ เรื่องราวหยุมหยิมไร้สาระของเจ้าจะสามารถเทียบกับบุญคุณความแค้นที่ฟังแล้วฮึกเหิมระหว่างข้าผู้อาวุโสกับหลิวจ้งรุ่นได้หรือ? เขาเฉินผิงอันไม่ใช่คนโง่สักหน่อย…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้ฝึกตนผีก็กระแอมหนึ่งที หันหน้ามาพูดว่า “เวลาที่เจ้าพูดเรื่องนี้กับเฉินผิงอัน จำไว้ว่าต้องพูดให้ดีๆ พยายามเกลี้ยกล่อมเขาให้ได้”

นางเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก รีบพยักหน้ารับอย่างแรง

แต่จากนั้นนางก็รู้สึกมึนงงเล็กน้อย เอ๊ะ? นายท่านของตนหัดเข้าอกเข้าใจคนอื่นและเป็นคนมีเหตุผลแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

—–