บทที่ 2481 แม้แต่วิธีการเช่นนี้ก็คิดออกมาได้! / บทที่ 2482 เขาเคยโตกว่านางมากมายนัก

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2481 แม้แต่วิธีการเช่นนี้ก็คิดออกมาได้!

สองคนนี้คือหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี สตรีสวมชุดแดงดั่งอัคคี บุรุษสวมชุดขาวพิสุทธิ์ดุจหิมะ

รูปโฉมล้วนงดงามเลิศล้ำทั้งคู่ เป็นประเภทที่ปล่อยไว้กลางฝูงชนแล้วจะเรียกเสียงกรี๊ดและเกิดจลาจลได้

เพียงแต่ เห็นได้ชัดว่ารอบกายสองคนนี้ติดตั้งค่ายกลอันใดเอาไว้ มีหนุ่มสาวมาท่องเที่ยวที่ยอดเขานี้มากมาย ทว่าไม่มีใครเห็นพวกเขาเลยสักคน

บุรุษผู้นั้นชมทิวทัศน์อย่างรื่นรมย์อยู่ครู่หนึ่ง ทอดถอนใจ

“เสวี่ยโม่ ที่แท้นี่ก็คือยุคสมัยใหม่ที่เจ้าคะนึงหามาโดยตลอด นอกจากแสงไฟที่มากมายกว่าเล็กน้อย ตึกรามอาคารที่สูงกว่านิดหน่อย ก็ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย”

“มหาเทพ ท่านไม่เข้าใจหรอก จันทราเป็นแหล่งกำเนิดแสง ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็เคยเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของข้า ข้าย่อมรู้สึกว่ามันดี ยากนักกว่าเราจะข้ามมายังโลกนี้ได้ แถมยังทันช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ด้วย เป็นวันที่ครอบครัวมารวมตัวกันพร้อมหน้า ท่านอย่าเอ่ยคำพูดที่ทำให้รู้สึกกร่อยพวกนี้ได้ไหม? ”

ชายหญิงคู่นี้ก็คือเสินจิ่วหลีและหนิงเสวี่ยโม่

พวกเขาเดินทางข้ามมิติ พลัดเข้าสู่รูหนอนอวกาศ[1]โดยบังเอิญ ทะลุมายังโลกนี้

ตรงกับเทศกาลไหว้พระจันทร์พอดี หนิงเสวี่ยโม่จึงลากเขามาเที่ยวที่ทะเลสาบไท่หู

“วันไหว้พระจันทร์เป็นเทศกาลของครอบครัว ถ้าเนี่ยนโม่อยู่ด้วยก็คงดี”

หนิงเสวี่ยโม่จิบสุราคำหนึ่งทอดถอนใจเบาๆ นางยังคงพะวงถึงบุตรชาย หากว่าเป็นไปได้ นางอยากจะข้ามมิติไปดูที่แดนอสุราสักหน่อย

แต่มหาเทพไม่ยินยอม พูดอะไรทำนองว่านี่คือด่านเคราะห์ด่านหนึ่งของเนี่ยนโม่ เขาต้องข้ามผ่านไปเองถึงจะดี มิเช่นนั้นจะเกิดปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิมขึ้น

ด้วยเหตุนี้หนิงเสวี่ยโม่จึงทำได้เพียงยอมวางมือ

แน่นอน เพื่อป้องกันไม่ให้นางพะว้าพะวง มหาเทพก็จะเปิดคันฉ่องวารีเพื่อดูสถานการณ์ในฝั่งของบุตรชายบ้างเป็นครั้งคราว

การเปิดคันฉ่องวารีเป็นเวทย์วิชาแขนงใหม่ที่มหาเทพได้เรียนรู้มา เคยใช้ไปแล้วหนึ่งครั้ง นับว่าคล่องมือแล้ว

ครั้งแรกที่มหาเทพเปิดคันฉ่องวารีดู ฉากที่ได้เห็นทำให้เขาปวดประสาทยิ่งนัก

เขาเห็นตัวเอง…

ว่ากันตามจริงคือ เห็นมัจฉาคุนตัวนั้นที่สวมรอยเป็นตน

คุนเสวี่ยอี๋ผู้นั้นมีความสามารถนัก ไม่น่าเชื่อว่าจะลอกเลียนแบบเขาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนเลยสักนิด สมจริงยิ่งนัก

หลังจากหนิงเสวี่ยโม่ที่อยู่ข้างๆ ได้เห็น ก็อดใจไม่อยู่มองคนในคันฉ่องจากนั้นก็มองมหาเทพที่อยู่ข้างกายต่อ

“เหมือนจริงๆ!”

แล้วเอ่ยชมเชยอีกประโยค

“ลูกชายสุดที่รักของพวกเราช่างวางแผนโดยแท้ แม้แต่วิธีการเช่นนี้ก็คิดออกมาได้!”

จากนั้นก็เพ่งพิศอวิ๋นเยียนหลีเล็กน้อย ขมวดคิ้วนิดๆ

“สรุปแล้วเขาใช้วิธีพิสดารอันใดกันแน่? พลังยุทธ์ถึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้! ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นซ่างเสินแล้ว”

เสินจิ่วหลีตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย

“มนต์ดำบรรพกาล เจ้าลืมลั่วจิ่วเฉินในยามนั้นไปแล้วหรือ? เขาก็สามารถสร้างศาตราวุธล้างโลกาชิ้นหนึ่งได้ภายในไม่กี่เดือนเช่นกัน เกือบจะทำลายล้างโลกแล้ว…อวิ๋นเยียนหลีคล้ายกับศาสตราวุธนั้นในฉบับที่ปรับปรุงแล้ว หรือว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังเขาจะเป็นลั่วจิ่วเฉิน?”

หนิงเสวี่ยโม่ส่ายหน้า

“ลั่วจิ่วเฉินถูกผนึกไปนานแล้ว เพิ่งถูกปล่อยออกมาตอนเนี่ยนโม่เกิดได้ไม่นาน แล้วก็ถูกจับขังอย่างรวดเร็วยิ่ง คำนวณเวลาดูแล้วเขากับอวิ๋นเยียนหลีไม่น่าจะติดต่อกันได้”

เสินจิ่วหลีพยักหน้า

“นี่ก็ใช่ เห็นทีว่าตัวการที่อยู่เบื้องหลังจะเป็นคนอื่น”

หนิงเสวี่ยโม่ไม่สบายใจแล้วเช่นกัน

“มหาเทพ ตอนนี้พลังยุทธ์ของเนี่ยนโม่ต่ำเกินไป อาจจะรับมืออวิ๋นเยียนหลีคนเดียวไม่ไหว หากว่ายังมีตัวการใหญ่อยู่เบื้องหลังอีก ข้ากลัวว่า…มิสู้พวกเราไปเยือนแดนอสุรากันสักรอบเถิด!”

เสินจิ่วหลีนับนิ้วคำนวณชะตาอยู่ครู่หนึ่ง ส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“ไม่จำเป็น เสวี่ยโม่ นี่คือด่านเคราะห์ใหญ่ของเนี่ยนโม่ พวกเราสอดมือยุ่งไม่ได้ มิเช่นนั้นเกรงว่าเรื่องราวจะเลวร้ายยิ่งขึ้น!”

“เช่นนั้นเขาจะฝ่าด่านเคราะห์นี้ไปได้ไหม?”

เสินจิ่วหลียิ้มนิดๆ เอ่ยเพียงสามคำ

“วางใจเถอะ”

ไม่พูดพร่ำอันใดอีกปิดคันฉ่องวารีไปเสีย พานางท่องเที่ยว

————————————————————————————-

บทที่ 2482 เขาเคยโตกว่านางมากมายนัก

แต่สุดท้ายหนิงเสวี่ยโม่ก็ยังไม่วางใจ ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงก็จะพูดแบบเดิมอีกครั้ง รบเร้าให้เสินจิ่วหลีเปิดคันฉ่องวารีส่องดูบุตรชายอีก พูดจาทำนองว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นวันของครอบครัว แม้ว่าครอบครัวจะมารวมตัวกันจริงๆ ไม่ได้ ขอมองเขาผ่านคันฉ่องวารีสักหน่อยก็ยังดี

เสินจิ่วหลีทัดทานนางไม่ได้ ทำได้เพียงเปิดใช้งานอีกครั้ง

ฉากที่ปรากฏขึ้นมาในคันฉ่องวารีก็คือฉากที่กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีอยู่ในผังดารา…

เสินจิ่วหลีกับหนิงเสวี่ยโม่ก็พินิจดูผังดวงดาวนี้อยู่เนิ่นนานเช่นกัน

ถึงอย่างไรหนิงเสวี่ยโม่ก็เป็นจอมมาร นางมองแวบเดียวก็เห็นวิญญาณอาฆาตที่สิงอยู่ในผลึกวิญญาณแล้ว ขมวดคิ้วแน่น หันไปถามเสินจิ่วหลีที่อยู่ข้างกาย

“นี่คือค่ายกลอันใด? ดูชั่วร้ายเหลือเกิน!”

เสินจิ่วหลีก็ดูเคร่งเครียดอย่างที่ยากจะได้เห็น

“มิน่าเล่าแดนอสุราถึงได้ไร้ไอวิญญาณ ที่แท้ก็เพราะมีค่ายกลชั่วร้ายเช่นนี้อยู่! หากข้าเดาไม่ผิด ค่ายกลนี้มิได้มีเพียงหนึ่ง อย่างน้อยก็มีแปดค่ายขึ้นไป ใช้พลังพยาบาทจากวิญญาณอาฆาต ช่วงชิงโชคมงคลจากฟ้าดิน มอบให้คนผู้หนึ่งหลอมกระดูก…หากไม่เหนือไปจากที่คาดไว้ ค่ายกลนี้เป็นแหล่งบำเพ็ญของอวิ๋นเยียนหลี ที่พลังยุทธ์ของเขาก้าวหน้ารวดเร็วขนาดนี้ เป็น ‘ผลงาน’ ของค่ายกลนี้!”

“ท่านทำลายได้หรือไม่?”

หนิงเสวี่ยโม่ก็มั่นใจว่าตนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลเช่นกัน แต่ค่ายกลนี้กลับทำให้สัญชาตญาณของนางสัมผัสถึงอันตรายได้

เสินจิ่วหลีใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง

“ด้วยพลังยุทธ์ของข้า ทำลายได้ไม่ยาก ระเบิดทิ้งเสีย จากนั้นก็ส่งวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นไปสู่สุขคติก็พอ แต่ถ้าทำแบบนั้น เกรงว่าจะอันตรายต่อแดนอสุราทั้งทวีป เนื่องจากเจ้าไม่รู้เลยว่าค่ายกลนี้เชื่อมโยงไว้กับสิ่งใด ถ้าระเบิดพลังทำลายทิ้งอาจจะเป็นการทำลายสมดุลอันเปราะบางไปด้วย…”

ทั้งสองดื่มสุราไปพลาง วินิจฉัยกันไปพลาง คันฉ่องวารีนี้ของเสินจิ่วหลียอดเยี่ยมนัก ไม่เพียงแต่ถ่ายทอดสถานการณ์ได้ ยังถ่ายทอดเสียงได้ด้วย บทสนทนาระหว่างกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีเขาก็ได้ยินอย่างชัดเจนเช่นกัน

หนิงเสวี่ยโม่เห็นบุตรชายร่วมมือกับผู้อื่น ได้ยินตี้ฝูอีเรียกขานกู้ซีจิ่ว่า

‘เด็กน้อย’

นางก็อดยิ้มไม่ได้

“แม่นางกู้ผู้นี้อย่างน้อยก็อายุหลายพันปีแล้วกระมัง? เนี่ยนโม่เพิ่งอายุเท่าไหร่กัน? นางต้องเรียกเขาว่าเด็กน้อยสิถึงจะถูก…”

เสินจิ่วหลีจิบสุราคำหนึ่ง

“ความจริงแล้วแม่นางกู้ผู้นี้เพิ่งอายุสองร้อยกว่าปีเท่านั้น ส่วนเนี่ยนโม่…เขาเคยโตกว่านางมากมายนัก!”

“เคย?”

เห็นได้ชัดว่าหนิงเสวี่ยโม่จับใจความสำคัญได้

“ท่านจะบอกว่าเนี่ยนโม่เป็นผู้ใดกลับชาติมาเกิดงั้นหรือ?”

เสินจิ่วหลีใคร่ครวญเล็กน้อย ราวกับกำลังพิจารณาว่าจะพูดดีไหม หนิงเสวี่ยโม่จึงดึงแขนเสื้อเขาเสียเลย

“อย่ามาทำยึกๆ ยักๆ รีบบอกมาตามตรง!”

เสินจิ่วหลีนิ่งไปแวบหนึ่ง ถอนหายใจ พูดสักหน่อยคงไม่เป็นไร

“ชาติก่อนเนี่ยนโม่คือคนรักของแม่นางผู้นี้…”

หนิงเสวี่ยโม่ตกตะลึง

นางก็ฉลาดเฉลียวเช่นกัน อนุมานออกมาได้รวดเร็วยิ่ง

“ชาติก่อนเขาชื่อตี้ฝูอีใช่ไหม?”

“ใช่”

“มิน่าล่ะท่านถึงยอมให้เขาเปลี่ยนชื่อ แม้แต่แซ่ก็ให้เปลี่ยนได้เช่นกัน”

หนิงเสวี่ยโม่ก็เคยได้ยินเรื่องราวของกู้ซีจิ่วมาบ้าง

“เช่นนั้นที่นางตามหาคนผู้หนึ่งในดินแดนเบื้องบนมาโดยตลอด คนที่ตามหาก็คือเนี่ยนโม่สินะ แล้วเหตุใดเมื่อก่อนนางถึงคล้ายว่าจะจำเขาไม่ได้เล่า?”

“ตี้ฝูอีในชาติก่อนหลังจากสิ้นชีพก็ถูกลิขิตสวรรค์ลบตัวทิ้งอย่างสมบูรณ์ แม่นางกู้ย่อมจำไม่ได้ นางอาศัยสัญชาตญาณในการตามหา…”

เสินจิ่วหลีถอนหายใจเบาๆ

“ชาติพวกเขารักกันมากเหลือเกิน…”

หนิงเสวี่ยโม่เงียบไปครู่หนึ่ง สายตาทอดลงบนร่างบุตรชาย

“เช่นนั้นที่เนี่ยนโม่หน้าตาไม่เหมือนท่านกับข้า…หรือจะเป็นเพราะรูปโฉมในปัจจุบันของเขาคือรูปโฉมในชาติก่อน?”

เสินจิ่วหลีเอ่ยอย่างเฉยเมย

“ไม่ว่าเขาจะไปเกิดใหม่เป็นบุตรชายของผู้ใด รูปโฉมล้วนไม่แปรเปลี่ยนไปทั้งสิ้น นี่คือรูปโฉมดั้งเดิมของเขา”

หนิงเสวี่ยโม่พูดไม่ออกแล้ว

ทรงพลังเหลือเกิน!

แม้แต่สายเลือดเทพมารก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเขาได้…

————————————————————————————-

[1] รูหนอนอวกาศ เป็นแนวคิดเรื่องเส้นทางลัดข้ามจักรวาล ซึ่งเกิดจากการบิดเบี้ยวพับตัวของปริภูมิ-เวลา (space-time) ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์