บทที่ 854 สวรรค์แห่งนพภูมิ!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ก่อนหน้านี้ที่หวังเป่าเล่อเข้าไปอยู่ในนิมิตมืด เขาได้เรียนรู้วิชาแห่งศาสตร์มืดมามากมาย แต่ด้วยความที่พลังปราณของเขาต่ำไปจึงไม่สามารถใช้งานพวกมันได้ บัดนี้เมื่อมีปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย ชายหนุ่มก็เริ่มใช้หลายวิชาได้ดังใจนึก

ยกตัวอย่างเช่นวิชาพลังหยางย้อนกลับ ที่เรียกวิญญาณให้เข้าไปอาศัยอยู่ในวัตถุบางอย่างได้ การจะใช้วิชานี้ได้นั้นมีข้อจำกัดมากมาย วิญญาณเหล่านั้นจะต้องไม่ต่อต้านแม้แต่น้อย และยังถือเป็นวิชาต้องห้ามของสำนักแห่งความมืดอีกด้วย

แต่สำหรับหวังเป่าเล่อในตอนนี้ วิชาต้องห้ามไม่มีอยู่จริง ทันทีที่เขาใช้วิชานี้ วิญญาณของจักรพรรดิทั้งสิบสองดวงก็สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง แปรสภาพไปเป็นลำแสงสีแดงสิบสองเส้นที่พุ่งเข้าใส่หุ่นเชิดทั้งสิบสองตัว วิญญาณและหุ่นเชิดพลันหลอมรวมกันทันที

ในตอนนั้นเอง หุ่นเชิดทั้งสิบสองตัวก็สั่นสะท้าน แต่ละตัวระเบิดพลังงานเทียบเท่าพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นออกมา พลังนั้นไม่ได้เสถียรมากและยังต้องการเวลาหลอมรวมกันให้นานกว่านี้ แต่ก็จัดว่าใช้ได้แล้วสำหรับหวังเป่าเล่อที่ไม่ได้รีบร้อนอันใด หลังจากที่ตรวจตราดูจนแน่ใจว่าไม่มีปัญหา เขาก็ยกมือขวาขึ้นโบกเพื่อเก็บหุ่นเชิดกลับไป

หลอมไปอีกสักพักข้าก็จะมีหุ่นเชิดขั้นจิตวิญญาณอมตะสิบสองตัวเอาไว้ในครอบครอง!

และวิญญาณหลายล้านตนนั้นด้วย… หวังเป่าเล่อดีใจจนเนื้อเต้น ไม่เพียงแต่พลังปราณของเขาเท่านั้นที่พัฒนาขึ้นจนน่าตกใจ แต่เขายังได้ของล้ำค่ามากมายมาไว้ในครอบครองอีกด้วย เขาเก็บหุ่นเชิดแสนตัวพร้อมทั้งวิญญาณหลายล้านตนที่อยู่ในนั้นกลับเข้ากระเป๋าด้วยความลิงโลด จากนั้นก็สูดหายใจเข้าและมองไปรอบกาย

ปกติแล้วสุสานจะต้องมีสิ่งของไว้ทุกข์ฝังไว้กับศพ ที่นี่คือสุสานหลวงแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ทั้งจักรพรรดิองค์ก่อนหน้าก็ฝังอยู่ที่นี่ทั้งหมด แปลว่าจะต้องมีของไว้ทุกข์หลายอย่างอยู่แน่ชายหนุ่มดวงตาสว่างวาบขณะส่งสัมผัสสวรรค์ออกตรวจตรา ด้วยพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายของเขา แม้สุสานนี้จะกว้างใหญ่พอตัว แต่สัมผัสสวรรค์ที่ทรงพลังของหวังเป่าเล่อก็ยังเข้าครอบคลุมได้หมดทั้งบริเวณในพริบตา หลังจากที่ตรวจสอบจนทั่วแล้ว ชายหนุ่มก็สะดุ้งเฮือก ดวงตาวาวโรจน์

*ทั้งหมดนี่…*หวังเป่าเล่อหายใจหอบถี่เมื่อเห็นสิ่งที่สัมผัสสวรรค์บอก เขารีบลุกขึ้นก้าวหายไปในทันที ก่อนมาปรากฏตัวอีกครั้งที่ท้องฟ้าเหนือพระราชวัง ชายหนุ่มก้มลงมองเบื้องล่างและเห็นภูเขาสี่ลูกที่สัมผัสสวรรค์ตรวจจับได้ก่อนหน้า! ภูเขาทั้งสี่ห้อมล้อมพระราชวังเอาไว้

ภูเขาทั้งสี่ลูกดูเหมือนเทือกเขาที่ติดกันเป็นแนวยาว แต่ดวงเนตรเทพของหวังเป่าเล่อกลับเปิดโปงความลับของมันออกมาจนหมดสิ้น ภาพที่เขาเห็นทำให้ดวงวิญญาณของชายหนุ่มสั่นสะเทือนด้วยความตกใจ

ภูเขาลูกแรกแปรสภาพไปตามกาลเวลาที่ผันผ่านกลายมาเป็นเทือกเขาหนึ่งลูก ภูเขาลูกนี้เกิดมาจากกองศิลาวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ค่อยๆ หลอมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง ก่อนหน้านั้นหวังเป่าเล่อไม่ทันได้สังเกต เนื่องจากพลังปราณจากศิลาวิญญาณจำนวนมหาศาลได้สลายหายไปหมดแล้ว จนมีหน้าตาเหมือนภูเขาธรรมดาทั่วไป

*ดูทรงแล้วจะต้องมีศิลาวิญญาณอย่างต่ำสิบล้านก้อนเลยทีเดียว…*หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้า เขาตกตะลึงเป็นอันมากจนต้องพาร่างเข้าไปใกล้เพื่อดูให้ชัดๆ เขาทำได้เพียงเอามือทาบอก รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดภายในใจตนเพียงเท่านั้น

ข้ามาช้าไป! ถ้ามาถึงเร็วกว่านี้สักหมื่นปีละก็… หวังเป่าเล่อมีสีหน้าหดหู่ บอกไม่ถูกว่าตนเองรู้สึกอย่างไร หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก เขาก็หันไปมองภูเขาลูกที่สองที่สร้างมาจากโอสถจำนวนนับไม่ถ้วน เสียแต่ว่า…โอสถเหล่านั้นไม่มีพลังปราณหลงเหลืออยู่แล้วเช่นเดียวกับศิลาวิญญาณ โอสถเหล่านี้สูญสิ้นสภาพจากภายในและหมดฤทธิ์ไปเป็นที่เรียบร้อย

ไอ้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นี่มันมีแต่พวกโง่เง่าหรืออย่างไร เหตุใดจึงสุรุ่ยสุร่ายเช่นนี้ หรือว่าก่อนหน้านี้มันเคยรวยมากมาก่อนกันนะหวังเป่าเล่อรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน ขณะที่มาถึงเขาลูกที่สองซึ่งเกิดมาจากโอสถและได้แต่จ้องมองมันด้วยสายตาว่างเปล่า จากนั้นเขาก็ไปที่ภูเขาลูกที่สามและสี่ต่อไปอย่างดฉยชา ภูเขาสองลูกที่เหลือสร้างมาจากสมบัติเวทและเรือบินรบ!

เมื่อหวังเป่าเล่อไปถึงภูเขาลูกที่สาม ความรู้สึกเสียใจก็มากขึ้นเล็กน้อย นั่นเพราะด้วยความที่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวท เขาจึงมั่นใจว่าภูเขาสมบัติเวทลูกที่สามนี้ไม่ได้มีมูลค่ามากขนาดนั้น แม้จะรู้สึกได้ถึงความสูญเสียในใจ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังทำใจจากมันมาได้

ทว่า…ทันทีที่ชายหนุ่มมาถึงภูเขาลูกสุดท้าย และเห็นว่าภูเขาลูกนี้เกิดจากกองเรือบินรบเวทที่สุมขึ้นเป็นภูเขาเลากา อารมณ์ของหวังเป่าเล่อก็ดิ่งลงไปอีกจนเรียกได้ว่าคล้ายคนอกหักเลยทีเดียว

*ให้ตายเถอะ เสียของเป็นบ้า…*หวังเป่าเล่ออยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก โดยเฉพาะเมื่อค้นพบว่ามีภูเขาที่สร้างมาจากเรือบินรบอยู่ด้วย พอชายหนุ่มประเมินได้ว่ามีอยู่ราวพันลำ เขาก็รู้สึกเหมือนโดนหมัดที่มองไม่เห็นต่อยจนพาลสั่นไปหมดทั้งร่าง

*อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ ต่อให้มันจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่ควรเอาเรือบินรบพันลำมากฝังไปกับคนตายสิ ไอ้หน้าโง่ที่ไหนมันเป็นคนคิดกัน!*หวังเป่าเล่อรู้สึกฉุนขาด หัวใจเหมือนโดนความรู้สึกสูญเสียกรีดจนเลือดไหล แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็แอบเคลือบแคลงสงสัยเช่นกัน นั่นเพราะอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นี้ไม่ควรจะแข็งแกร่งอหังการถึงเพียงนี้ หลังจากที่ตรวจสอบดูจนแน่ใจเขาก็ถอนหายใจออกมา

ไอ้ของพวกนี้ไม่ได้ถูกฝังรวมกับคนตายครั้งเดียวแต่แบ่งฝังหลายครั้ง… สงสัยทุกครั้งที่มีไอ้บ้าคนนึงตายพวกนี้ก็จะเอาเรือบินรบเวทมาฝังกับศพมันด้วยแน่ๆ … เรือบินรบพวกนี้มีรอยแตกอยู่บนพื้นผิว แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เกิดจากกาลเวลา ดูจะเป็นร่องรอยความเสียหายจากตอนที่ยังใช้งานอยู่มากกว่า…

ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นละนะ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้วตั้งแต่อารยธรรมนี้ถือกำเนิดขึ้นมาหวังเป่าเล่อถอนหายใจก่อนจะพุ่งเข้าไปเลือกดูเรือบินรบเวทด้วยความหงุดหงิด หลังจากที่ตรวจดูอย่างถี่ถ้วน เขาก็แน่ใจแล้วว่าเรือบินรบเวทเหล่านี้ตายไปเรียบร้อย เหลือไว้เพียงซากให้ดูต่างหน้าเท่านั้น

และด้วยความที่เรือบินรบเวทเหล่านี้ได้รับความเสียหายหนัก หรืออาจเป็นเพราะกาลเวลาที่ล่วงเลยมาเนิ่นนาน พวกมันจึงหมดมูลค่าแม้แต่จะใช้เป็นชิ้นส่วนในการสร้างสิ่งใหม่ๆ ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงรู้สึกหงุดหงิดเป็นอันมาก เขายืนเงียบอยู่นานก่อนจะยกมือขึ้นคว้าอากาศ หลังจากที่หยิบเรือบินรบเวทลำหนึ่งออกมา เขาก็เริ่มกระบวนการปรับปรุงมัน

แม้จะเป็นเพียงซากเรือบินที่หมดราคาแล้ว แต่ความสามารถด้านการหลอมอาวุธเวทของหวังเป่าเล่อก็ทำให้เขาสามารถเปลี่ยนขยะให้กลายเป็นสมบัติได้ หลังจากที่รื้อบางส่วนของเรือบินรบทำลายตนเองออกและรวมมันเข้ากับเรือบินรบเวท หวังเป่าเล่อก็สามารถฟื้นฟูพลังบางส่วนของซากเรือบินกลับมาได้

การนำมารื้อประกอบสร้างใหม่คือหัวใจหลักที่เขาใช้ในการกู้ความสามารถของเรือบินกลับมาชั่วคราว และสามารถระเบิดทำลายตนเองได้เช่นกัน กระนั้นพลังของมันก็อ่อนนัก โดยนับเป็นร้อยละ 10ของเรือบินรบเวทปกติเท่านั้น

แต่ที่นี่มีเรือบินรบเวทอยู่เป็นพันๆ ลำ หวังเป่าเล่อจะได้ทรัพย์สินมหาศาลหากเขาดัดแปลงมันสำเร็จ ชายหนุ่มจึงกัดฟันหยิบหุ่นเชิดออกมาแสนตัวเพื่อการนี้ ด้วยความที่ภายในหุ่นเชิดนั้นมีวิญญาณอยู่จึงทำให้เขาควบคุมมันได้ง่าย สามวันผ่านไป เรือบินรบเวทกว่าเก้าร้อยลำก็ถูกหวังเป่าเล่อดัดแปลงเป็นที่เรียบร้อย ด้วยหยาดเหงื่อและแรงกายของหุ่นเชิดทั้งแสนตัว เรือบินรบเหล่านี้ก็กลายมาเป็นเรือบินรบเวททำลายตนเองของหวังเป่าเล่อในที่สุด

*แม้พลังของมันจะไม่ได้ดีเด่อะไร แต่ก็ยังเอาไว้ใช้ทำให้คนตกใจกลัวได้ละนะ!*ชายหนุ่มถอนหายใจ สำหรับเขาแล้วพวกเรือบินรบเหล่านี้มีดีอย่างเดียวคือหน้าตา…

การดัดแปลงของเขาแม้จะทำให้พลังทำลายตนเองของพวกมันไม่ได้สูง แต่หน้าตาของเรือบินรบเหล่านี้ก็ยังดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ดูแตกต่างจากเรือบินรบเวทธรรมดาอย่างสิ้นเชิง

หลังจากที่ปลอบใจตนเองเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ยอมรับความจริงในที่สุด แม้จะลังเลอยู่บ้าง ชายหนุ่มก็เก็บเรือบินรบเข้ากระเป๋าและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพลางถอนใจออกมา

หากมีแค่นี้…เห็นทีข้าคงจะต้องไปแล้วชายหนุ่มหันหน้าไปมองบรรยากาศรอบตัวก่อนจะส่งสัมผัสสวรรค์ของตนเองออกไปเพื่อตรวจดูสุสานหลวงอีกครั้ง เมื่อเขามั่นใจแล้วว่าตนเองไม่ได้พลาดอะไรไป ชายหนุ่มก็ก้มลงมองพระราชวังข้างล่างขณะลอยอยู่ในอากาศ

น่าเสียดายที่พวกนี้เป็นเพียงภาพมายาไม่มีอยู่จริง มิเช่นนั้น…ข้าคงเอามันมาแยกชิ้นส่วนขายได้ชายหนุ่มส่ายหน้าด้วยความเสียดายก่อนจะขยับตัวทะยานสู่ท้องฟ้าเบื้องบน เมื่อเข้าไปใกล้เขาก็ยกมือขวาขึ้นปล่อยหมัด

ท้องฟ้าดังสะเทือนเลื่อนลั่น พลันพายุหมุนที่เกิดจากหมัดของหวังเป่าเล่อก็ถือกำเนิดขึ้น เขามีทั้งพลังปราณที่แก่กล้ามาก และยังกลายมาเป็นจักรพรรดิรวมถึงเจ้าของสุสานหลวงแห่งนี้ ชายหนุ่มจึงเปิดทางออกจากสถานที่นี้ท่ามกลางเสียงดังลั่น

ทันใดนั้น หวังเป่าเล่อที่กำลังจะก้าวออกจากที่แห่งนี้ก็พลันหยุดชะงักและจ้องไปข้างหน้า เขามองไปที่พื้นที่มืดสนิทข้างนอกลมหมุน รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่เข้ามาภายในลมหมุนจากด้านนอก ดวงตาสว่างวาบขึ้นมาอย่างเสียมิได้

พลังนี้… หวังเป่าเล่อกลั้นหายใจ ปล่อยสัมผัสสวรรค์ของตนออกไปรวมกับลมหมุนเพื่อสัมผัสโลกภายนอก ทันทีที่เขารู้ว่าตนเองอยู่โลกใด ก็เห็นว่าในโลกนั้นมีหมอกลอยกระจายอยู่ทั่ว รูปปั้นสุสานหลวงที่เขาอยู่นั้นก็ค่อยๆ จมลงเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อตกใจเป็นอันมาก

นี่มัน… มิติแห่งความมืดรึ

มิติแห่งความมืดนั้นมีหลายชื่อเรียกตามแต่อารยธรรม อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เรียกมันว่านพภูมิ สำหรับหวังเป่าเล่อ มิตินี้คือมิติที่สำนักแห่งความมืดเป็นคนเปิด แต่เนื่องด้วยพลังปราณที่ต่ำต้อยของเขา หวังเป่าเล่อจึงเคยแต่ได้ยินมาเท่านั้น ไม่เคยเข้ามาจริงๆ แต่อย่างใด

แต่ในตอนนี้ หลังจากที่ได้สัมผัสบรรยากาศภายนอกและยืนยันอีกรอบให้แน่ใจแล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นในทันที เขาขยับตัวครั้งเดียวก็ก้าวออกจากลมหมุน ไปยืนอยู่บนรูปปั้นที่กำลังจมลงเรื่อยๆ และมองไปที่บรรยากาศรอบกาย ทันทีที่ร่างของเขาปรากฏขึ้น ก็เหมือนกับหินที่ถูกโยนไปบนผิวทะเลสาบ การปรากฏตัวของชายหนุ่มทำให้ม่านหมอกไหวเป็นระลอก เสียงกรีดร้องดังระงมในโลกที่เคยเงียบสงัด

ทันทีที่เขาทอดสายตาไป ม่านหมอกก็พลันปั่นป่วนหมุนวน หมอกนั้นพุ่งเข้ามาล้อมไหลวนรอบกายหวังเป่าเล่อ จนเกิดเป็นหมอกหมุนขนาดใหญ่กระจายตัวไปเป็นวงกว้าง

หมอกพวกนี้ดูเหมือนจะ…กำลังให้กำลังใจ ต้อนรับ และบูชาตัวเขาอยู่!

เทพยักษ์ตนในกันที่ใช้พละกำลังมหาศาลโยนรูปปั้นนี้เข้ามาในมิติแห่งความมืด… หวังเป่าเล่อประหลาดใจเป็นอันมาก เพราะเพียงแค่หายใจเอาหมอกรอบกายเข้าไป ร่างกายที่อ่อนล้าฉีกขาดภายใต้ชุดเกราะก็พลันได้รับการเยียวยาอย่างรวดเร็ว!

 …………………..