เยี่ยเม่ย “…”
นี่มันเรื่องอะไรกันเล่า?! ทำไมเขาเชื่อมโยงมาถึงตรงนี้ได้ เขามีจินตนาการมากเกินไป หรือมีแนวคิดไม่เหมือนนาง หรืออะไรกันแน่
อีกอย่าง สีหน้าอันตรายน่ากลัวของเขานี่หมายความว่าอะไรกันแน่
เสี่ยวกวนได้ยินเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถามเช่นนี้ ก็อึ้งไป…
อวี้เหว่ยมองเสี่ยวกวนด้วยความเห็นใจ
ดีมาก
หากวันนี้แม่นางเยี่ยเม่ยถูกเตี้ยนเซี่ยจัดการ เสี่ยวกวนถึงจะย่ำแย่อย่างแท้จริง ไม่แน่ว่าอาจจะถูกแม่นางเยี่ยเม่ย ‘จดจำ’ เรื่องที่เขายุยงปลุกปั่นได้ ผลลัพธ์คงไม่ดีแน่
เห็นเยี่ยเม่ยหน้าตาหมดคำพูดมองเขาไม่เอ่ยอะไร เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยกมุมปาก รอยยิ้มยังคงสง่างามเหมือนเคย ถามเยี่ยเม่ยว่า “ทำไม ฮูหยินไม่ตอบ เพราะว่าร้อนตัวใช่หรือเปล่า”
“ข้าร้อนตัวอะไรกัน” คราวนี้เยี่ยเม่ยตอบกลับอย่างรวดเร็ว แต่ว่าเอ่ยคำพูดพวกนี้กับเขา ก็ไม่สะดวกให้พวกอวี้เหว่ยฟัง ดังนั้นนางจึงมองไปรอบๆ ด้าน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้าใจความกังวลของนาง เบือนหน้ามองพวกอวี้เหว่ยคราหนึ่ง อวี้เหว่ยตระหนักได้ทันที โบกมือครั้งหนึ่งส่งสัญญาณให้พวกเสี่ยวกวนถอยออกไป
คนทั้งหมดรีบหลบไปอีกฝั่งหนึ่งทันที
ดังนั้นบนถนนสายนี้จึงเหลือเพียงแค่เยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเท่านั้น
เยี่ยเม่ยหันกลับไปมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นางเอ่ยปากโต้แย้งด้วยสีหน้าง้ำงอ “ทำไมข้าต้องร้อนตัวด้วย ทำไมข้าถึงไม่อยากแยกจากเขา ท่านอย่าได้คิดเองอย่างเกินเหตุเช่นนี้ ข้าก็แค่คิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกลับเมืองชายแดน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มีรถม้าให้นั่งโดยไม่ต้องเสียเงินทำไมข้าจะไม่นั่งเล่า”
พูดไปแล้ว นางยิ่งรู้สึกจนปัญญา เหลือบมองเขากล่าวต่อว่า “หรือจะให้ข้าทนความหนาว เดินตากลมกลับไปพร้อมพวกเสี่ยวกวนถึงจะแสดงออกว่าข้ารังเกียจเป่ยเฉินอี้อย่างนั้นหรือ เพราะความรังเกียจเขา ข้าจำเป็นต้องทำร้ายตัวเองด้วยหรือ”
นางหาใช่มีนิสัยเห็นใครขัดตา ก็ยอมลำบากตัวเองแต่ไม่ยอมอยู่ร่วมชายคากับคนผู้นั้น นางกลับเป็นคนประเภทยิ่งขัดตา ก็ยิ่งอยากเอาเปรียบคนผู้อื่น
ไม่ใช่หรืออย่างไร ตลอดเส้นทางนางนั่งรถม้าของเป่ยเฉินอี้ ใช้ผ้าคลุมของเขา ปล่อยให้เขาทนหนาว ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็ถือว่าชาญฉลาดกว่าเดินทางท่ามกลางอากาศหนาวเป็นไหนๆ
นางเอ่ยเช่นนี้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองนาง น้ำเสียงไพเราะค่อยๆ ถามว่า “ดังนั้น นี่คือเหตุผลที่เจ้าคลุมผ้าคลุมของเขาอย่างนั้นหรือ”
น้ำเสียงของเขาอันตรายมาก
แต่ในฐานะที่เยี่ยเม่ยเป็นหญิงแกร่งตรงไปตรงมา ไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าการคลุมผ้าคลุมขนเตียวมีปัญหาอะไรทั้งนั้น นางเงยหน้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ตีหน้าบึ้งเอ่ย “อย่างนั้นทำไมกัน เขาเป็นศัตรูของข้า ข้าใช้ผ้าคลุมขนเตียวของเขา ข้าไม่หนาวแต่เขาต้องทนหนาว นี่ไม่เรียกว่าสมบูรณ์แบบหรืออย่างไร”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยน “…”
เขาจ้องใบหน้าจริงจังของนาง ทั้งยังมองเพลิงโทสะในแววตาคู่สวยของนาง เขาเข้าใจแล้ว นางเข้าใจว่าตัวเองไม่มีปัญหาอะไรจากใจ
อีกอย่าง…
นางวิเคราะห์เรื่องนี้ด้วยตรรกะเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์เลยสักนิด นางมีเหตุผลเสียจนน่ากลัว ส่วนเรื่องความรู้สึกก็น้อยจนน่ากลัว
ในเสี้ยวขณะนี้เอง จู่ๆ เขาก็อยากเคาะหัวนางจริงๆ ดูว่าภายในมีอะไรอยู่บ้าง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสูดลมหายใจลึก หลับตาลง รับรู้ได้ว่าตนเองเริ่มโมโหแล้ว เขารู้สึกว่าเส้นชีพจรที่ขมับเต้นตุบๆ
แต่ว่าการโต้เถียงปัญหานี้กับเยี่ยเม่ย สตรีที่ไม่รู้สึกว่าตัวเองสร้างปัญหาอะไรทั้งนั้น…ผลลัพธ์สุดท้ายคงน่าหวาดกลัวไม่น้อย
แล้วก็เป็นดังคาด ในขณะที่เขาคิด
เยี่ยเม่ยจ้องมองเขาอย่างจนปัญญา แสดงความเห็นออกมาประโยคหนึ่ง “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน วันๆ ท่านอย่าได้ทำตัวกลัวว่าจะไม่เกิดเรื่อง ถึงได้คอยมาก่อเรื่องก่อราวอยู่ที่นี่!”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยน “…!”
ก็ถูก เขารู้ว่านางยังคิดว่าเขาตั้งใจก่อเรื่องก่อกวน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสูดลมหายใจลึก รู้สึกว่าโทสะสุมอยู่ในอกแทบสะกดไว้ไม่ไหวอีกต่อไป แต่เขายังจะทำอะไรได้อีกเล่า ดันหลงรักสตรีที่มีความคิดเป็นบุรุษเสียยิ่งกว่าเขาอีก
เห็นท่าทางสะกดข่มความโมโหของเขา เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างใจแคบจริงๆ แต่ว่านางเป็นคนรู้จักขอบเขต ปรายตาเห็นท่าทางโมโหของเขา ต่อให้นางไม่เข้าใจว่าเขาโมโหอะไร แต่นางก็รู้ว่าในเวลานี้ไม่ควรสาดน้ำมันลงในกองเพลิง
ดังนั้น นางจึงเงียบ
อีกอย่าง ยังดีที่นางไม่ราดน้ำลงบนกองเพลิงเพิ่มอีก ดังนั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสูดลมหายใจลึกๆ หลายที ก็ค่อยๆ สะกดความโมโหในใจตนลงได้
หลังจากผ่านไปสักพัก
เขาจ้องสตรีเบื้องหน้าตน อดทนจนเส้นชีพจรตรงขมับเต้นตุบตับ เอ่ยปากว่า “เช่นนั้นฮูหยิน ขลุ่ยหยกโลหิตที่เอวเจ้านั่นเป็นเรื่องอะไรกันอีก”
ยามเอ่ยคำพูดนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้สึกว่าเสียงของเขาถูกเค้นลอดออกมาจากไรฟัน
อืม ไม่ยินยอมลงจากรถม้า แยกเดินทางกับเป่ยเฉินอี้ เพระว่านางไม่ยอมเดินทางอย่างลำบากลำบน นางคลุมผ้าคลุมขนเตียวของเขา ก็เพราะนางหนาว ทั้งยังคิดให้เป่ยเฉินอี้ทนรับหนาวไปด้วย วิธีการพูดเช่นนี้ เห็นชัดว่านางไม่รู้สึกว่าตนเองทำอะไรผิด
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาได้แต่…ทน
แต่ว่า ขลุ่ยหยกโลหิตเล่า
เขาจะทนได้อย่างไร
เขาไม่มีทางไหว!
“อ้อ…” เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก สีหน้าบึ้งตึง ท่าทางมีเหตุมีผลเมื่อครู่ยามนี้ไม่หลงเหลืออีกแล้ว
อีกทั้งสายตายังมองซ้ายทีขวาที
ความจริงตอนเดินทาง นางรู้สึกกังวลไม่ใช่แค่หนเดียว หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นขลุ่ยเลานี้ นางจะบอกอย่างไรดี
เพราะว่าปัญหานี้ค่อนข้างรุนแรง
นางรับของหมั้นหมายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถึงตกลงหมั้นหมายกับเขา ดังนั้นสามารถนับการรับของหมั้นเป็นพิธีการอย่างหนึ่ง ทว่าเวลานี้นางยังรับขลุ่ยหยกโลหิต สิ่งของที่คนทั่วหล้าต่างรับรู้ว่าเป็นของหมั้นหมายมาอีก
เมื่อเห็นนางมองไปรอบๆ ท่าทางเหมือนร้อนตัว โทสะในใจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ่งโหมแรงขึ้น
แต่ไรมานางมีสีหน้าเย็นชา ยากนักจะมีท่าทางเช่นนี้ ทว่าเพราะเรื่องนี้ ร้อนตัวได้ถึงขั้นนี้ เห็นได้ชัดว่านางรู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้นางผิดจริงๆ
เขาสูดลมหายใจลึก เพื่อบังคับให้ตนสงบใจอีกครั้ง ไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา นัยน์ตาร้ายกาจจ้องมองดวงตาเยี่ยเม่ย “ฮูหยิน ไม่คิดอธิบายเลยสักนิดหรืออย่างไร หรือว่าเจ้าคิดจะใช้ชีวิตโดยมีสามสามีสี่ชายกัน”
คำว่าสามสามสีสี่ชาย เขาเอ่ยออกมาได้น่ากลัวนัก ทำเอาเยี่ยเม่ยฟังแล้วยังหนังศีรษะชาวาบ
แต่ว่านางเหมือนสมองเบลอไปชั่วครู่ อดไม่ไหวแก้ต่างไปว่า “มีสามและสี่ที่ไหนกัน ต่อให้นับรวมกูเยว่อู๋เหินไปด้วย ก็มีแค่สองคนเท่านั้น”
พูดจบแล้ว มุมปากนางกระตุกเล็กน้อย
นางโง่ไปแล้วหรือเปล่า
คำพูดนี้…ไม่ตรงจุดก็ช่างเถอะ ซ้ำยังยอมรับข้อสงสัยที่ว่านางมีใจให้กับกูเยว่อู๋เหินด้วย
เป็นดังคาด
เมื่อนางเอ่ยออกมา นัยน์ตาร้ายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสงบนิ่งลง จ้องเยี่ยเม่ย น้ำเสียงน่าฟังกลับเอ่ยออกมาอย่างโยน ถามว่า “มีเพียงเยี่ยนกับเขาสองคน อืม”