บทที่ 1334 บุคคลต้นแบบของไห่ผิงซิน

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1334 บุคคลต้นแบบของไห่ผิงซิน โดย Ink Stone_Fantasy

เฟยหงลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เรียกชุดคลุมจากกำไลเก็บสมบัติออกมาปิดบังความน่าอับอาย

เหมียวอี้หันหลังให้ตลอด ไม่ได้หันมามองอีก เหมือนจะได้สติกลับมาแล้ว ‘ฤทธิ์ยา’ ก็หายไปแล้วเช่นกัน

“นายท่านช่วยไถ่ตัวข้ามาแล้ว ข้ายังมีสาวใช้อีกสองคนที่หอมงกุฎงาม รบกวนนายท่านช่วยพาตัวพวกนางมาด้วยค่ะ” เฟยหงที่ลงจากเตียงยังคงสวมชุดกระโปรงสีแดง นางขมวดคิ้วพลางเอามือกุมท้องน้อย เปลือยเท้าสองข้างที่อยู่ใต้กระโปรง เท้างามก้าวเบาๆ ราวกับเดินบนน้ำ เดินเนิบนาบผ่านข้างกายเหมียวอี้ไป เสียงพูดอันแผ่วเบาทำให้ฟังไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน ท่าทางเหมือนบอกว่า ‘ข้ายังมีทางเลือกอีกเหรอ’ นางเดินมายืนข้างโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วบอกว่า “นายท่านยังต้องออกไปพบคนอีก ข้าจะหวีผมให้นายท่านค่ะ” ทำท่าทางเหมือนยอมรับชะตากรรมอีกแล้ว

เหมียวอี้แววตาวูบไหว เหล่ตามองนางแวบหนึ่ง และก้าวช้าๆ เดินเข้าไปเช่นกัน พอไปยืนอยู่ตรงหน้านาง ก็ยื่นมือไปเกลี่ยผมที่บดบังใบหน้าออก

เฟยหงเงยหน้าเล็กน้อย ผมดำขลับประบ่า ผิวขาวเกลี้ยงเกลาดุจก้อนเนย ใบหน้างามราวกับดอกไม้ แล้วก็เหมือนท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งหลังจากหิมะตก ริมฝีปากแดงชุ่มฉ่ำ พอเงยหน้าก็เผยแววตาที่สดใส แฝงลักษณะของผู้หญิงที่งามทั้งภายนอกและภายใน ดวงตาที่เหมือนดวงดาวสบประสานกับเหมียวอี้ครู่หนึ่ง แล้วก็ก้มหน้าลงเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร

เหมียวอี้ยื่นจมูกเข้าไปดม กลิ่นหอมยังคงวนเวียน แล้วก็ยื่นมือช้อนคางงามเกลี้ยงเกลาของนางขึ้นอีก เพ่งมองใบหน้างามของนางอย่างละเอียด ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “งดงามยิ่งกว่าคนในภาพวาด เป็นยอดหญิงงามที่แท้จริง กลับเป็นข้าที่ล่วงเกินแล้ว”

“ขอเพียงนายท่านชอบก็พอแล้วค่ะ” เฟยหงกล่าวเสียงเรียบ

เหมียวอี้ปล่อยนาง แล้วเดินอ้อมมานั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

เฟยหงเดินมาข้างหลังเขา แก้มักมวยผมที่ค่อนข้างเอียงเนื่องจากความกำเริบเสิบสานเมื่อคืนนี้ แล้วหยิบหวีขึ้นมาหวีผมให้ใหม่

เหมียวอี้จ้องมองทุกการกระทำของนางในกระจก แล้วบอกอีกว่า “เมื่อครู่นี้เมื่อลองคิดดูให้ละเอียด ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อคืนเป็นอะไรไป ข้าไม่เคยวู่วามแบบนี้มาก่อนเลย คงจะเป็นเพราะเจ้าสวยเกินไปจริงๆ ทำให้ข้าควบคุมตัวเองลำบาก ทำให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมแล้วจริงๆ เจ้าลองคิดดูให้ดีอีกครั้ง ถ้าเจ้าไม่อยากอยู่กับข้า บอกตอนนี้ก็ยังไม่สาย”

เขาอยากจะให้ผู้หญิงคนนี้พูดออกมาว่าไม่อยากอยู่กับเขา จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไป ไม่อย่างนั้นการเลี้ยงสายลับไว้ข้างกายก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากจริงๆ ที่จริงเมื่อคืนนี้เขาอยากจะปล่อยไปตามคำปฏิเสธของเฟยหง แต่เขาก็ดันแสร้งทำเป็น ‘โดนยาพิษ’ เรียกได้ว่าได้ชุบมือเปิบไปหนึ่งครั้งอย่างงดงาม อย่างไรเสียก็ได้นอนกับผู้หญิงที่งดงามขนาดนี้ ได้ปิดความบริสุทธิ์ของหยิงสาว เรียกได้ว่ายังหวนนึกถึงรสชาตินั้นอยู่เลย ทว่าตอนนี้ไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรแล้ว

เฟยหงตอบว่า “ข้าได้พบนายท่านเป็นครั้งที่สองที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ครั้งแรกก็เป็นที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทเช่นกัน ตอนนั้นเมื่อนายท่านเดือดดาล ศีรษะคนนับร้อยก็มีเลือดสาดกระจายคาที่ ทำให้เฟยหงหวาดกลัวจนลืมไม่ลง นายท่านสร้างตัวจากมือเปล่า บุกเดี่ยวโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านที่แดนอเวจี เป็นวีรบุรุษผู้โด่งดัง เฟยหงได้ยินชื่อเสียงบารมีของนายท่านมานานแล้ว ในใจรู้สึกเคารพยกย่อง การได้มอบร่างกายให้นายท่าน ข้าไม่ได้รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม เพียงแต่เมื่อคืนถูกนายท่านชิงตัวมา ทำให้เฟยหงรู้สึกเหมือนตื่นจากฝันค่ะ ยังไงก็นึกไม่ถึงว่านายท่านจะ…ตอนนี้ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เฟยหงก็ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีแอบแฝง เพียงหวังว่านายท่านจะเมตตาข้า”

เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ในเมื่อทำเรื่องที่ล่วงเกินเจ้าไปแล้ว จะมาเสียใจทีหลังก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่กับข้า ข้าย่อมเมตตาอยู่แล้ว เพียงแต่เจ้าก็รู้พื้นเพของตัวเอง ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้เหมือนสวีถังหราน ข้าจะให้ฐานะ ‘อนุภรรยา’ กับเจ้าก่อน ถ้าในอนาคตรู้สึกว่าเหมาะสม ค่อยเลื่อนให้เจ้าเป็นภรรยาเอกก็ยังไม่สาย”

พูดจบก็พึมพำในใจว่า ภรรยาเอกเหรอ? ถ้าเอ่ยคำนี้ให้อวิ๋นจือชิวได้ยิน เจ้าตัวจะต้องสู้ตายกับข้าแน่นอน ไม่รู้เหมือนกันว่าทางหยางชิ่งจะอธิบายให้อวิ๋นจือชิวเข้าใจได้รึเปล่า…ตอนนี้เขาไม่รู้ว่ากลับไปแล้วจะเผชิญหน้ากับอวิ๋นจือชิวได้อย่างไร

เฟยหงหยุดมือครู่หนึ่ง แล้วหวีผมต่อพร้อมบอกว่า “ทุกอย่างแล้วแต่นายท่านค่ะ”

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วถอนหายใจอีก “เหมือนข้าจะก่อเรื่องเข้าแล้วล่ะ ได้ยินว่ามารดาบุญธรรมของเจ้าคือแม่เฒ่าลวี่ที่ดูแลสวนบรรณาการให้ตำหนักสวรรค์ อีกประเดี๋ยวแม่เฒ่าลวี่ก็คงจะมาคิดบัญชีกับข้าแล้วละมั้ง?”

เฟยหงตอบว่า “เฟยหงเป็นคนมอบร่างกายให้นายท่าน ต่อให้มารดาบุญธรรมมาคิดบัญชีแล้วยังไงคะ จะทำให้ข้ากลับหอมงกุฎงามอีกครั้งได้เชียวหรือ? เฟยหงเป็นสตรีตกอับแล้ว ถ้ากลับไปอีกก็ไม่มีที่ให้เฟยหงยืนเหมือนกัน เมื่อมีนายท่านทำแบบนี้ให้ดูเป็นตัวอย่าง เกรงว่าทุกคนคงจะพากันมาหาข้าด้วยความคิดที่อยากจะย่ำยีข้าเล่น ทางมารดาบุญธรรมเฟยหงย่อมรับมือได้อยู่แล้ว นายท่านไม่จำเป็นต้องกังวลค่ะ”

“เช่นนั้นก็ดี” เหมียวอี้ยิ้มบางๆ เพียงแต่รอยยิ้มแฝงความหมายลึกซึ้งนิดหน่อย ขณะจ้องผู้หญิงชุดแดงในกระจก เขาก็พูดเสริมว่า “ข้าสังหารคนไว้เยอะเกินไป เจอคาวเลือดมาจนชินแล้ว และไม่อยากเห็นสีเลือดอยู่ในบ้านด้วย เจ้าเปลี่ยนชุดสีแดงบนร่างกายเจ้าออกเถอะ”

เฟยหงงงนิดหน่อย แล้วถามว่า “นายท่านอยากจะให้ข้าใส่สีอะไรคะ?”

“เจ้าเลือกเองตามเห็นสมควรเถอะ ขอแค่ไม่ใช่สีแดงก็พอแล้ว” เหมียวอี้ตอบอย่างไม่ใส่ใจ สาเหตุแท้จริงที่ไม่อยากให้นางใส่ชุดสีแดงก็คือหงเฉิน ทางนั้นมีคนที่ชอบใส่ชุดสีแดงอยู่แล้ว ถ้าทางนี้มีเพิ่มมาอีกคน ในใจเขาก็จะรู้สึกแปลกๆ

พอคุยเสร็จแล้วออกจากประตูมา เหยียนซิวที่เฝ้าประตูก็เก็บกระบี่และหลีกทางให้ แล้วติดตามอยู่ข้างหลังเหมียวอี้อย่างเงียบเชียบไร้เสียง พอออกจากตำหนักนอน ก็เห็นหยางชิ่งกับหยางเจาชิงรออยู่ด้านนอก แล้วก็มีไห่ผิงซินด้วย

หยางชิ่งมองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่สื่อหลากหลายอารม ในฐานะที่เป็น ‘พ่อตา’ ไม่น่าเชื่อว่าจะช่วยให้ ‘ลูกเขย’ ทำเรื่องแบบนี้ เขาไม่รู้เลยว่ากลับไปจะอธิบายกับฉินเวยเวยที่เป็นลูกสาวอย่างไร ตัวเองสามารถเข้าใจได้ว่าทำไปเพื่อสถานการณ์โดยรวม แต่เกรงว่าลูกสาวจะไม่คิดแบบนี้

ไห่ผิงซินหันไปมองเขา แล้วถลึงตาถามว่า “ท่านทำอะไรเฟยหงแล้ว?”

“ข้านอนกับนางแล้ว!” เหมียวอี้ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ

หยางเจาชิงกลั้นขำ ส่วนเหยียนซิวก็ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไร หยางชิ่งยังคงทำสีหน้าเรียบเฉย

“…” ไห่ผิงซินทำท่าเหมือนพูดไม่ออก จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าเดือดดาลทันทีว่า “ท่านเป็นแบบนี้ได้ยังไง? ข้าจะไปดูนาง!” นางยกเท้าเตรียมจะวิ่งเข้าไปในตำหนักนอน เมื่อคืนนี้บทเพลงของเฟยหงจะเอาชนะใจคนอื่นได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เอาชนะใจเด็กสาวคนนี้ได้อย่างราบคาบแล้ว

ตั้งแต่นางยังเด็ก เพื่อที่จะปิดบังตัวตนของนาง ไห่ยวนเค่อก็ไม่เคยให้นางออกไปสัมผัสกับโลกภายนอกเลย หลังจากมาที่นี่ ถึงแม้นางจะเคยเดินเล่นที่ตลาดสวรรค์มาก่อน แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักการเต้นระบำและร้องเพลง ก่อนหน้านี้เคยได้ยินปี้เยว่ร้องให้นางฟังไม่กี่ครั้งเท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับเฟยหงแล้วยังต่างกันลิบลับ อีกคนราวกับอยู่บนฟ้า อีกคนราวกับอยู่ใต้ดิน ไม่สามารถเทียบกันได้เลย บทเพลงเมื่อคืนนี้ของเฟยหงทำให้นางตกตะลึงมากจริงๆ จึงกลายเป็นเทพธิดาในสายตานางแล้ว จะบอกว่าเป็นต้นแบบก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป

ด้วยเหตุนี้ เมื่อคืนนางจึงเฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนักนอนทั้งคืน เฝ้ามาตลอดจนถึงตอนนี้

เหมียวอี้รีบลงมือ คว้าแขนนางดึงกลับมา แล้วเตือนว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามเจ้าเข้ามาในตำหนักนอนอีก”

เมื่อวานเขาดูออกแล้ว ว่าเด็กสาวคนนี้หลงใหลเฟยหง แทบจะแตกคอแปรพักตร์กับเขาแล้ว ด้วยท่าทางที่อ่อนต่อโลกแบบนี้ นางจะรู้เบื้องหลังคนที่ถูกส่งมาเป็นสายลับได้อย่างไร ต้องป้องกันไว้สักหน่อย

“ทำไม?” ไห่ผิงซินไม่ยอมอ่อนข้อให้

เหมียวอี้ตอบว่า “ก็ไม่ทำไมหรอก นั่นคือที่ที่ข้าเอาไว้นอนกับผู้หญิง ถ้าเจ้ากล้าวิ่งเข้าไปอีก ข้าจะจับเจ้ามานอนด้วยเสียเลย!”

ไห่ผิงซินอึ้งไปสักพัก แล้วกระทืบเท้าเถียงกลับ “ท่านกล้าเหรอ!”

“เจ้าคิดว่าข้ากล้ารึเปล่าล่ะ!” เหมียวอี้โยนนางออกไป แล้วบอกคนอื่นๆ ว่า “ทุกคนช่วยข้าจับตาดูนางให้ดี อย่าให้นางคลุกคลีกับคนที่อยู่ในนั้น ถ้าจับได้ก็ตัดขานางให้ข้าเลย ข้าจะเอาไปขายที่หอนางโลม! แล้วก็ส่งคนมาเฝ้าประตูนี้ด้วย ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าไป”

พวกลูกน้องเข้าใจเจตนาของเขา และรู้ด้วยว่ากำลังขู่ไห่ผิงซินให้กลัว เอ่ยรับพร้อมกันว่า “รับทราบ!”

ไห่ผิงซินโมโหจะตายอยู่แล้ว หันกลับมาคว้าต้นไม้ดอกไม้ถอนทิ้งจนพัง แต่ชั่วพริบตานั้นก็ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้อีก จู่ๆ ก็หันตัวกลับมาถาม “เจ้านอนกับนางแล้ว ต่อไปนี้นางก็จะไม่ไปไหนแล้วใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจนาง หันตัวเดินไปทางสวนดอกไม้อพร้อมบอกหยางเจาชิงว่า “ที่หอมงกุฎงามยังมีสาวใช้อีกสองคน ส่งคนไปรับมาด้วย”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ แล้วกวักมือเรียกตรงจุดไกลๆ เรียกคนเข้ามารับคำสั่งโดยตรง

พอได้ยินว่าจะให้พาสาวใช้ของเฟยหงมาด้วย ไห่ผิงซินก็เข้าใจทันที ดูท่าแล้วเฟยหงคงจะมาอยู่ที่นี่ในระยะยาว หรือพูดได้อีกอย่างว่าในภายหลังจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับนาง จึงหันกลับไปมองทางตำหนักนอน แล้วเม้มริมฝีปากแอบยิ้ม นางชอบมาก

จู่ๆ นางก็รู้สึกว่า การที่เหมียวอี้นอนกับเฟยหงก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่อะไร…

พอมาถึงสวนดอกไม้ ไม่มีคนนอกอยู่แล้ว เหมียวอี้ก็ถามว่า “หยางชิ่ง เจ้ารู้ได้ยังไงว่านางคือคนของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้าย?”

เมื่อถามแบบนี้ หยางเจาชิงก็ตกใจทันที แม้แต่เหยียนซิวก็ยังทำสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ทั้งสองไม่รู้ ตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าเฟยหงเกี่ยวข้องกับหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายที่น่าหวาดกลัว

“ก่อนหน้านี้สงสัยว่าคนที่ต้องการจะเข้าใกล้นายท่านคือคนของตำหนักสวรรค์ การปรากฏตัวของเฟยหง ทั้งยังมีแม่เฒ่าลวี่ที่หนุนหลังนาง ก็ทำให้เดาได้ไม่ยาก…” หยางชิ่งเล่าสถานการณ์เมื่อคืนนี้รวมทั้งคาดคะเนอย่างละเอียด

พวกเขาได้ยินแล้วเข้าใจในทันที เหมียวอี้พยักหน้าเล็กน้อย “เกรงว่าจะเป็นแบบนี้แล้ว เออใช่ อธิบายกับทางฮูหยินแล้วรึยัง?”

หยางชิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ฮูหยินร้องไห้…” เล่าเหตุการณ์ให้ฟังคร่าวๆ

พอได้ยินว่าอวิ๋นจือชิวร้องไห้ เหมียวอี้ก็รู้สึกปวดใจอย่างแรง เขาจินตนาการท่าทางเวลาอวิ๋นจือชิวร้องไห้ได้ ตรงหน้าอกเรียกได้ว่าปวดแปลบๆ เขารักผู้หญิงคนนั้นมากจริงๆ ต่อให้บางครั้งอวิ๋นจือชิวจะเจ้าอารมณ์ แต่ในใจเขาก็ไม่มีใครมาแทนที่อวิ๋นจือชิวได้ เหตุผลน่ะเหรอ? ไม่มีเหตุผลจะอธิบายหรอก ก็แค่เป็นห่วงความรู้สึกนาง

นึกถึงตอนที่รักกันหวานชื่นที่ทะเลทรายม่านเมฆาในปีนั้น เขาเคยบอกอวิ๋นจือชิวว่าจะไม่มีวันทำให้นางผิดหวัง แต่ในความเป็นจริงล่ะ เดี๋ยวก็หวงฝู่จวินโหรว เดี๋ยวก็จูเก๋อชิง ตอนนี้ก็มีเฟยหงโผล่มาอีกคน ถ้าจะบอกว่ากับเฟยหงเป็นความจำใจ แล้วหวงฝู่จวินโหรวกับจูเก๋อชิงล่ะ เป็นความจำใจเหมือนกันด้วยหรือเปล่า?

คิดไปคิดมาก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าถอนหายใจยาว หลับตาลงเล็กน้อย ความรู้สึกผิดในใจเปี่ยมล้นจนเกินบรรยาย

พวกลูกน้องตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไร

หลังจากปรับอารมณ์แล้ว เหมียวอี้ก็ถามว่า “ตอนนี้ข้างกายมีคนแบบนี้โผล่มา ต้องระแวดระวังตัวตลอดเวลา พวกเจ้าว่ามาซิว่าควรทำยังไง?” ตอนนี้เขาจิตใจสับสนวุ่นวายเหมือยด้ายพันกัน ตรงหน้ามีแต่ภาพอวิ๋นจือชิวร้องไห้ ไม่สามารถใช้ความคิดพิจารณาเรื่องต่างๆ ได้ตามปกติแล้ว

หยางเจาชิงตอบว่า “ถ้าอยากจะทิ้งจริงๆ วิธีการก็มีเยอะมาก พอเวลาผ่านไปสักพักก็เตะนางออกไปโดยอ้างว่า ‘ได้ใหม่แล้วลืมเก่า’ ก็สิ้นเรื่องแล้ว”

“ไม่เหมาะสม!” หยางชิ่งโบกมือ “อยู่อย่างสงบไม่ได้ง่ายๆ แล้ว ถ้าเตะนางออกไป เกรงว่าหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์คงจะไม่ยอมตัดใจหยุดเรื่องนี้ วันนี้มีเฟยหงโผล่มาได้ พรุ่งนี้ก็อาจจะมีเฟยไป๋ เฟยลวี่ เฟยชิงโผล่มาอีกก็ได้ เจ้าเตะออกไปหมดเหรอ? มาคนหนึ่งก็เตะออกไปคนหนึ่ง อีกฝ่ายจะต้องสังเกตเห็นเงื่อนงำแน่นอน ถ้ายั่วให้อีกฝ่ายอับอายจนโมโห พบว่าพวกเรากำลังปั่นหัวพวกเขา พวกเราจะต้องได้รับบทเรียนแน่นอน มิหนำซ้ำ พวกเราก็ได้รับรู้วิธีการของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายแล้ว พวกเขาแทรกซึมไปได้ทุกที่จริงๆ พวกเราป้องกันได้ชั่วคราวเท่านั้น ป้องกันทั้งชาติไม่ได้หรอก ถ้าเตะนางออกไปก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่สู้เก็บเอาไว้จะอิสระกว่า แล้วอีกอย่าง ภายนอกเฟยหงก็มีภูมิหลังเหมือนกัน ถ้าเตะนางออกไปจริงๆ เจ้าเชื่อมั้ยว่าแม่เฒ่าลวี่จะมาหาทันที ถึงตอนนั้นถ้าแม่เฒ่าลวี่มาแล้ว เกรงว่าต่อให้นายท่านจะไม่อยากเก็บเฟยหงไว้ก็คงไม่ได้ แม่เฒ่าลวี่ก็คือกุญแจสำคัญที่ทำให้หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายสามารถยัดคนมาติดหนึบไว้ข้างกายพวกเราได้…คาดว่าแม่เฒ่าลวี่คงใกล้จะมาถึงแล้ว”

………………………