บทที่ 744 ไม่ได้เป็นพี่น้องกัน

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 744 ไม่ได้เป็นพี่น้องกัน
“คิดอะไรอยู่ พี่เฉินเฟยหายป่วยแล้ว เจ้าไม่ดีใจเหรอ?” อี้เฉินเฟยรูดจมูกของนางด้วยความรักความเอ็นดู ท่าทางก็ค่อนข้างสนิทสนมเล็กน้อย

จอมมารปวดร้าวในใจจนควันขึ้น แต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ของอี้เฉินเฟย ความโกรธทั้งหมดก็หายไป

เหลือบตาสีอ่อนที่เป็นคนละสีนั่นขึ้นเล็กน้อย มองไปทางด้านหลังใบหูของกู้ชูหน่วน ตรงนั้นก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ

เขายกมือขวาขึ้น แสงที่มีสีสันสดใสส่องไปทางหลังหูของกู้ชูหน่วน

ด้านหลังใบหูก็เกิดความผิดปกติขึ้นทันที

ด้านหลังหูของนางมีรังสีโลหิตสีแดงเพลิงกลุ่มหนึ่ง รังสีโลหิตเหมือนไฟ จากสีสันฉูดฉาดเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้วเปลี่ยนเป็นสีส้มอมแดง สุดท้ายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

สีหน้าของจอมมารดูไม่ได้ในพริบตา ร่างกายก็โซเซทันที แทบจะยืนไม่มั่นคง

เป็นดังคาด……

นางโดนคำสาปโลหิตเช่นกัน……

เช่นนั้นก่อนหน้านี้นางก็ได้ทนรับกับความเจ็บปวดมากมาย สุดท้ายจึงได้ผนึกวิทยายุทธ เพื่อระงับความทรมานจากการกำเริบของคำสาปโลหิตเป็นการชั่วคราวใช่รึเปล่า?

การกระทำของจอมมารนั้นรวดเร็วแม่นยำและดุดัน บวกกับความสนใจของกู้ชูหน่วนที่อยู่บนตัวของอี้เฉินเฟยทั้งหมด จึงไม่ได้พบเห็นสิ่งผิดปกติอะไร

กู้ชูหน่วนยิ้มและกล่าว “จะเป็นไปได้ยังไง พี่เฉินเฟยหายได้ ข้าดีใจจนแทบไม่ทัน รอให้สุดยอดผู้อาวุโสผู้นั้นออกจากฌานแล้ว ข้าจะไปคารวะด้วยตนเอง แล้วค่อยขอบคุณเขาเป็นอย่างดี”

กู้ชูหน่วนมีความสงสัยในใจ เคยคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย สุดท้ายก็ถูกนางทัดทานหมดแล้ว

ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใด เพียงแค่อี้เฉินเฟยสามารถฟื้นตัวได้ก็ดีแล้ว

จอมมารฝืนยิ้มขึ้นมา เดินเข้าไปใกล้ทีละก้าว พูดจาหยอกล้อ “ข้าบอกแล้วไงล่ะ ว่าถ้าพี่สาวรู้ว่าเจ้าหายป่วยแล้ว จะต้องดีใจมากเป็นแน่”

“พวกเจ้าสองคนเข้ากันได้ดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

เหมือนว่าซือโม่เฟยก็ไม่ใช่คนที่จะเข้ากับคนอื่นได้ง่ายนี่นา…..

“อยู่ด้วยกันนานแล้ว รู้สึกว่าอี้เฉินเฟยก็เป็นคนดีมากขึ้นมาอย่างฉับพลัน จึงใกล้ชิดกันมากขึ้น ที่สำคัญคือเขายังสอนข้าให้ทำขนมดอกไม้อีกด้วยล่ะ”

“พี่เฉินเฟยเป็นคนดีมาก หากว่าพวกเจ้าสองคนคุยกันได้ ต่อไปก็สนิทกันไว้มากๆ”

ได้ยินดังนั้น สีหน้าท่าทางของทั้งสองก็ไม่ค่อยดีนัก แต่ไม่ช้าก็กลับมาสู่ความปกติ

“ขนมดอกไม้พร้อมแล้ว อาหารก็พร้อมแล้ว กินด้วยกันสักหน่อยเถอะ” อี้เฉินเฟยเตรียมตะเกียบ เรียกให้พวกเขามานั่ง

จอมมารเช็ดมือ เอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งซึ่งทำให้กู้ชูหน่วนตกใจ

“พวกเจ้ากินเถอะ ข้าจะไปเดินเล่นหลังภูเขา ตรงนั้นดอกไม้นานาพันธุ์ผลิบาน ข้าอยากไปชื่นชมตั้งนานแล้ว”

พูดแล้วก็ไม่รอให้พวกเขาตกลง เงาสีแดงเพลิงของจอมมารหายไปอย่างไร้ร่องรอย

กู้ชูหน่วนไม่ใช่คนโง่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ยิ่งจอมมารเป็นเช่นนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแผกไป

คนใจแคบเช่นเขา จะให้เวลานางกับอี้เฉินเฟยได้ยังไง?

หรือเป็นไปได้ว่าพวกเขารู้แล้วว่าอี้เฉินเฟยเป็นคนที่มีร่างกายเป็นหยางบริสุทธิ์งั้นหรือ?

ไม่……

ไม่ได้ผ่านการเห็นด้วยจากนาง ผู้อาวุโสใหญ่จะไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับเขา

เว้นซะแต่ว่าเขาจะไม่อยากหลอมรวมมุกมังกรโดยสิ้นเชิงแล้ว

“ชิมดู เพิ่งออกจากหม้อ” อี้เฉินเฟยคีบขนมดอกไม้ให้นางกิน”

“ขนมดอกไม้ที่พี่เฉินเฟยทำอร่อยมาตลอด ข้าล้วนอิจฉาภรรยาในอนาคตของท่านแล้ว”

รอยยิ้มของอี้เฉินเฟยแข็งทื่อเล็กน้อย ไม่ช้าก็เอื้อมมือไปลูบศีรษะของกู้ชูหน่วน กล่าวอย่างอ่อนโยน “เด็กโง่ พี่เฉินเฟยไม่อยากแต่งงานมีภรรยา แม้ว่าจะมีภรรยาแล้ว เพียงแค่เจ้าอยากกิน พี่เฉินเฟยก็ทำให้เจ้ากินได้ทุกเมื่อ”

“อื้ม…..”

กู้ชูหน่วนกินไปพลาง ยิ้มเล็กน้อยอย่างมีความสุขไปพลาง

นางไม่รู้ว่าความสุขชนิดนี้จะอยู่ต่อไปได้นานเพียงใด ทว่าภาพที่อี้เฉินเฟยกระโดดลงในเตาหลอมยาทั้งน้ำตาคลอเบ้ากลับอยู่ในใจของนางจะปัดก็ปัดไม่ออก

ไม่ช้าคำพยากรณ์ที่ทะเลโลหิตของนางก็จะกลายเป็นความจริง

อาหารมื้อนี้กินได้อย่างอบอุ่นมาก

ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้อี้เฉินเฟยไม่ค่อยได้กินอะไรนัก เพียงแค่มองดูนางกินด้วยความรักและเอ็นดู และช่วยเช็ดคราบที่เหลืออยู่ตรงมุมปากของนางอยู่บ่อยๆ

หากผู้ใดได้เห็นการกระทำที่สนิทสนมนั่น จะต้องสงสัยในความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นแน่

หลังอาหาร พระอาทิตย์ก็ลับขอบขอบฟ้าแล้ว

กู้ชูหน่วนนั่งชมจันทร์บนยอดเขาเคียงข้างกับอี้เฉินเฟย

ในยามกลางคืน ผู้หนึ่งสวมชุดขาวพลิ้ว ผู้หนึ่งสวมชุดสีแดงสวยหยาดเยิ้ม ผู้หนึ่งอ่อนโยนดั่งหยก ผู้หนึ่งสวยงามเป็นเลิศงามล่มเมือง ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็เหมือนดั่งทิวทัศน์อันงดงาม

กู้ชูหน่วนหยิบขลุ่ยหยกออกมาจากในทรวงอก กวัดแกว่งเบื้องหน้าของอี้เฉินเฟย ปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ “ยังจำขลุ่ยหยกอันนี้ได้หรือไม่?”

“จำได้อยู่แล้ว นั่นเป็นของที่ข้ามอบให้เจ้า”

“อืม ขลุ่ยหยกอันนี้และแหวนมิติเป็นสิ่งของบนตัวที่ล้ำค่ามากที่สุดของข้า เวลาที่คิดถึงท่าน ข้าก็จะหยิบออกมาเล่น บนตัวของพวกมันมีกลิ่นอายของพี่เฉินเฟย ทั้งยังมี…..กลิ่นอายของบ้านอีกด้วย”

รอยยิ้มตรงหางตาของกู้ชูหน่วนเป็นรอยยิ้มที่มีความสุข ลูบไล้ขลุ่ยหยกและแหวนมิติอยู่นานไม่ยอมเก็บกลับไป

“ไม่ว่าข้าจะเจอเรื่องยากลำบากแค่ไหน เพียงแค่เห็นของสองสิ่งนี้ ข้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้อยู่คนเดียว พี่เฉินเฟยของข้าจะอยู่ข้างกายข้าเสมอ”

“เด็กโง่ ไม่ว่าพี่เฉินเฟยจะอยู่ที่ไหน ก็จะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป คุ้มครองเจ้า แม้ว่า…..แม้ว่าข้าเหลือเพียงแค่ดวงวิญญาณก็ตาม”

นัยน์ตาของอี้เฉินเฟยมีความปวดร้าว

เขาก็ต้องการที่จะอยู่เคียงข้างนางตลอดไป ปกป้องนางตลอดไปเช่นกัน

น่าเสียดาย……

เขาไม่มีโอกาสนั้นแล้ว

เมื่อนึกถึงภาระและความกดดันที่นางต้องแบกรับตั้งแต่วัยเด็ก อี้เฉินเฟยก็ปวดใจขึ้นมาทันที

หลังจากที่เขาตาย จะมีผู้ใดที่ทำทุกอย่างโดยไม่สนใจอะไรเพื่อปกป้องนางเหมือนเขาหรือไม่?

น่าจะมีสินะ

อย่างน้อยเย่จิ่งหานกับจอมมารก็คือผู้ที่รักนางด้วยใจจริง

“พี่เฉินเฟย ท่านเคยสัญญากับข้าว่าจะไม่ตาย ท่านจะกลับคำไม่ได้เชียวนะ และห้ามพูดคำที่ไม่เป็นมงคลเช่นนั้นอีก”

“ได้……”

“ท่านเล่าเรื่องให้ข้าฟังหน่อยสิ ข้าอยากฟังเรื่องราวของท่าน”

“ข้ากลัวว่าเรื่องราวจะเร้าอารมณ์เกินไป เจ้าฟังแล้วจะไม่สบายใจ”

“ชมจันทร์เพียงอย่างเดียว เหมือนว่าจะขาดอะไรบางอย่างไปน่ะ”

อี้เฉินเฟยหยิบผ้าคลุมไหล่มา คลุมไว้บนตัวของนาง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้เอ่ยขึ้น

“เจ้าอยากฟังเรื่องราวจริงหรือ?”

“อยากสิ”

“งั้นเจ้าตอบคำถามพี่เฉินเฟยข้อหนึ่งก่อน เจ้าชอบเย่จิ่งหานจริงๆหรือไม่?”

สีหน้าของกู้ชูหน่วนเปลี่ยนไปทันที

ตั้งแต่ที่รู้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน สิ่งที่นางไม่อยากจะเอ่ยถึงเป็นที่สุด ก็คือความสัมพันธ์ของนางและเย่จิ่งหาน

“ท่านพูดเรื่องเหล่านี้กับข้าทำไม?”

“ข้ามองออกว่า เขารักเจ้ามาก ชีวิตที่เหลือมีเขาคอยดูแลเจ้า พี่เฉินเฟยก็วางใจมาก”

“……”

หายป่วยแล้ว แต่สมองกลับถูกเผาไปแล้วหรือไง?

เป็นไปไม่ได้ที่พี่เฉินเฟยจะไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน

“ยัยเด็กโง่ พี่เฉินเฟยจะบอกความจริงกับเจ้าละกัน เดิมทีเจ้ากับเย่จิ่งหานก็ไม่ได้พี่น้องแท้ๆกัน”

ตื้ด……

กู้ชูหน่วนแข็งทื่อไปทั้งตัว แม้แต่การหายใจก็เร็วขึ้นสองสามจังหวะแล้ว

“ท่าน…..ท่านพูดอะไร?”

“ข้าบอกว่า พวกเจ้าไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ แม่ของเจ้าคือพระชายายู่ ท่านพ่อคือจักรพรรดิแห่งแคว้นเย่ แต่เย่จิ่งหาน…..แม่ของเขาเป็นเพียงคนเงาคนหนึ่ง”

“คนเงา?”

“ใช่……หัวหน้าเผ่าและธิดาเทพแต่ละยุคในอดีตฐานะสูงศักดิ์ พวกนางล้วนมีคนเงาเฉพาะตัว เงาและพวกนางจะมีหน้าตาเหมือนกันทุกประการ อาศัยอยู่ในที่ลับอบรมฝึกฝน เรียนรู้ทุกการเคลื่อนไหวของธิดาเทพ เพื่อเป็นตัวแทนของนาง”

กู้ชูหน่วนรู้สึกตื่นเต้นจนเหงื่อออกมาตรงฝ่ามือ รอคอยคำพูดต่อไปของอี้เฉินเฟยด้วยความร้อนใจ

นางรู้ว่าอี้เฉินเฟยจะไม่โกหกนาง

แต่นางไม่เข้าใจว่าทำไมเหล่าผู้อาวุโสถึงได้พูดเป็นคำเดียวอย่างแน่วแน่ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน

“คนเงาทั้งหมดถูกคัดเลือกมาอย่างดีพิถีพิถัน แต่ละคนล้วนมีความซื่อสัตย์ภักดี ตั้งแต่พันปีร้อยปีมานี้ก็ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน แต่จู่ๆในรุ่นหนึ่ง เงาผู้หนึ่งได้ทรยศหักหลังพระชายายู่ และทรยศเผ่าหยก ทั้งยังให้กำเนิดเย่จิ่งหานกับคนนอกอีกด้วย”