ตอนที่ 802 สายเลือดจิ้งจอกนิล

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 802 สายเลือดจิ้งจอกนิล ProjectZyphon

“ที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บนอาชาวิญญาณ นัยน์ตาอึมครึม โอบล้อมบริเวณนี้เอาไว้อย่างหนาแน่น

รัตติกาลมืดมิด บรรยากาศอึดอัด

ห่างออกไป ยังมีสหายพวกเขาบางส่วนตรวจสอบเสาะหาเบาะแสบนสมรภูมิซึ่งพังพินาศ

หากกล่าวว่าเผ่าวาทวาโยคือเผ่าพันธุ์ที่หูตาว่องไวที่สุดบนดินแดนรกร้างโบราณ เช่นนั้นประสาทรับกลิ่นอันแม่นยำของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬก็เรียกได้ว่าโดดเด่นในใต้หล้า ศัตรูซึ่งถูกพวกเขาหมายตาเพียงครั้งแทบไม่มีสักคนที่หนีรอด

ผู้เอ่ยปากคือชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมกันลมสีดำคนหนึ่ง ผิวขาวกระจ่าง ใบหน้างามสง่า นัยน์ตาพิกลชวนประหวั่นเจือความเหี้ยมโหดเยียบเย็น

เขานามว่าโก่วตง เป็นหัวหน้ากองกำลังขบวนนี้

พวกฮว่าชิงฉือสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด สะท้านไปทั้งตัว คาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าเด็กหนุ่มพลิกฟ้าราวเทพมารนั่นเพิ่งจากไป พวกป่าเถื่อนยิ่งกว่ากลุ่มหนึ่งก็เข้ามา

เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!

นี่เป็นเผ่าพันธุ์ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งในดินแดนรกร้างโบราณนับไม่ถ้วนต่างหน้าเปลี่ยนสีเมื่อเอ่ยถึง วิธีการเหี้ยมโหดกระหายเลือด เข่นฆ่าสังหารไร้หวาดเกรง เรียกได้ว่าก่อกรรมทำชั่วเลื่องลือถ้วนทั่ว

แม้แต่สำนักโบราณบางส่วนล้วนไม่ปรารถนาข้องแวะกับเผ่าพันธุ์นี้

พรูด!

เมื่อเห็นว่าไร้ผู้ตอบรับ โก่วตงยิ้มเล็กน้อย จากนั้นจู่ๆ ก็ชูดาบโลหิตแคบยาวคมกริบทุกอณูในมือ

แสงโลหิตวาบประกาย ศีรษะชโลมเลือดหนึ่งก็ปลิวลอยกลางอากาศ!

นั่นคือมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง ได้รับบาดเจ็บสาหัสหายใจรวยรินจากการโรมรันเมื่อครู่อยู่ก่อนแล้ว ถูกสังหารทิ้งโดยตรงอย่างไร้แรงต้านทานสิ้นเชิง

โลหิตแดงสดร้อนฉ่าหลั่งรินต่างน้ำตก ทำเอาพวกฮว่าชิงฉือร้องตกตะลึง โกรธแค้นจนสั่นไปทั้งตัว คาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าอีกฝ่ายจะสังหารคนอย่างไม่ทันตั้งตัว!

แค่นี้ก็สรุปความอำมหิตและกระหายเลือดของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬได้แล้ว

“เวลาของพวกข้ามีค่ายิ่ง หวังว่าพวกเจ้าจะร่วมมืออยู่บ้าง”

น้ำเสียงโก่วตงทุ้มต่ำเจือความเหี้ยมโหดเลือดเย็น “มิฉะนั้น เกรงว่าพวกเจ้าคงไม่เหลือรอดสักคน”

ฮว่าชิงฉือดวงตาปูดโปนแทบถลน โกรธถึงขีดสุด แต่สุดท้ายเขาถอนใจกล่าวหดหู่ “เดิมเมื่อครู่พวกเราคิดซุ่มโจมตีเป้าหมายหนึ่ง แต่กลับดึงดูดยอดฝีมือปริศนามาอย่างคาดไม่ถึง ทำเอาพวกเราเสียหายรุนแรง แม้แต่ผู้ก่อตั้งอาวุโสของสำนักยังโชคร้ายประสบเคราะห์…”

สีหน้าเขาโศกเศร้าและคับแค้นเปี่ยมความอัดอั้น แต่กลับไม่กล่าวถึงหลินสวิน ใช้คำว่า ‘ยอดฝีมือปริศนา’ มาแทนที่

พรูด!

โก่วตงฟังจบ ใบหน้าไร้ความรู้สึก แต่กลับสะบัดดาบฟันอีกศีรษะหนึ่งลอยลิ่วอีกคราพลางกล่าว “ข้าต้องการฟังความจริง”

ตายไปอีกคนแล้ว!

นี่ทำให้พวกเฮ่าชิงฮือแทบพังทลาย สัมผัสถึงความสิ้นหวังและโกรธแค้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน พวกเขาสำนักมุกวิญญาณนับว่าเป็นสำนักใหญ่โด่งดังในแคว้นวิญญาณอัคนี

แต่ยามนี้ผู้อาวุโสประจำสำนักพวกเขากลับถูกฟันหัวขาดราววัชพืชอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย นี่เป็นการลบหลู่และเหยียบย่ำพวกเขาที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย!

“ฆ่าซะเถอะ! ผู้ก่อตั้งอาวุโสสำนักมุกวิญญาณของข้าก็ตายแล้ว ทั้งตอนนี้ยังบาดเจ็บสาหัส ข้าไม่อยากอยู่ต่อนานแล้ว!” ฮว่าชิงฉือพลันผุดลุกขึ้น ถลึงตามองโก่วตงด้วยโทสะ

นัยน์ตาวาบแสงประหลาดของโก่วตงหรี่ลง จากนั้นจึงยิ้มกล่าว “ก็ถูก หากเปลี่ยนเป็นข้าคงไม่ปกป้องศัตรูในเวลานี้”

เขาพูดพลางสะบัดมือ ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งซึ่งกำลังตรวจสอบเศษซากในสมรภูมิอันห่างไกลรีบเร่งวิ่งมาหา

“เป็นอย่างไร” โก่วตงถาม

ผู้ใต้บังคับบัญชาพูดอย่างรวดเร็ว “ตามร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้ สิ่งที่สามารถยืนยันได้คือเมื่อครู่ที่แห่งนี้มีราชันกึ่งระดับคนหนึ่งสิ้นชีพ มือสังหารน่าจะใช้สมบัติน่ากลัวบางอย่างจู่โจมสังหารในคราเดียว…”

โก่วตงไหวหวั่นอยู่บ้าง แววยะเยือกในนัยน์ตาพรั่งพรู “ไม่แปลกที่การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จะยิ่งใหญ่เช่นนี้ ที่แท้เพราะมีการต่อสู้ระหว่างราชันกึ่งระดับ… สามารถระบุตัวตนมือสังหารได้ไหม”

ผู้ใต้บังคับบัญชาส่ายศีรษะ “เบาะแสน้อยเกินไป ไม่อาจสรุปชัดขอรับ”

เวลานี้เองผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬซึ่งอยู่ตรงสมรภูมิห่างไกลอีกคนคล้ายพบอะไรบางอย่าง จึงร้องตะโกน “ใต้เท้าโก่วตง ตรงนี้มีกลิ่นอายนางเด็กนั่นเสี้ยวหนึ่งเหลือทิ้งไว้ขอรับ!”

ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬซึ่งนั่งอยู่บนอาชาวิญญาณทั้งหมดพลันกระสับกระส่าย ทั่วร่างแผ่ไอสังหารชวนประหวั่น

แต่นัยน์ตาโก่วตงจับจ้องฮว่าชิงฉือทันที มือหยิบม้วนภาพหนึ่งออกมาคลี่แผ่กลางอากาศพลางกล่าว “ไอ้แก่ เจ้าเคยเห็นนางเด็กนี่สินะ”

บนม้วนภาพวาดภาพเหมือนเด็กสาวงามพริ้งเพราอ่อนเยาว์คนหนึ่ง ดวงตาโตใสสะอาด น่ารักไร้เดียงสา

พวกฮว่าชิงฉือต่างตกตะลึง รู้สึกคลางแคลงและยากจะเชื่อ หรือผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬปรากฏตัวที่นี่เพื่อไล่ล่าเด็กสาวเช่นนี้คนหนึ่งงั้นรึ

มีเพียงสีหน้าหานเหยียนเชวียที่เปลี่ยนเป็นผิดแปลกอยู่บ้าง เขาจำได้ว่านี่คือซย่าเสี่ยวฉง!

เกือบจะในเวลาเดียวกัน เขารู้สึกถึงนัยน์ตาอึมครึมเฉียบคมสายหนึ่งจ้องมาที่ตนทันที ทำเอาเขาแข็งทื่อไปทั้งตัว แอบร้องว่าแย่แล้ว

ก็เห็นโก่วตงกล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “พูดมา”

เพียงสองคำแต่กลับมีความรู้สึกชวนอึดอัดและกดดันอย่างหนึ่ง ทำให้หานเหยียนเชวียแทบจะพูดออกไปตามจิตใต้สสำนึก “นางชื่อซย่าเสี่ยวฉง มาจากสำนักยุทธ์กลุ่มดาว หลายวันก่อนที่การทดสอบใหญ่รวมสำนักของแคว้นวิญญาณอัคนีเรา ข้าเคยพบนางครั้งหนึ่ง”

โก่วตงจ้องหานเหยียนเชวียอยู่ครู่ใหญ่จึงถอนสายตากลับ ออกสั่งการทันที “เรียกหานายน้อย เป้าหมายปรากฏตัวที่นี่ ไม่ได้หนีไปพร้อมลิ่นเหวินจวิน!”

สวบ!

ไม่นานนักดอกไม้ไฟสีเลือดบาดตาสายหนึ่งทะลวงขึ้นเหนือเมฆ งดงามน่าดึงดูดหาใดเปรียบท่ามกลางรัตติกาล

นี่คือ ‘บุปผาโลหิตส่งวิญญาณ’ เป็นสมบัติเฉพาะตัวอย่างหนึ่งของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ มีความอัศจรรย์ใช้เรียกหาในระยะพันลี้

เพียงชั่วขณะ เกี้ยวสีดำหลังหนึ่งซึ่งถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬแปดคนแบกก็เคลื่อนผ่านความว่างเปล่ามาถึง

“คารวะนายน้อย!”

ทันใดนั้นทุกคนรวมโก่วตงหยุดทุกการกระทำโดยพร้อมเพรียง คุกเข่าทำความเคารพ ภาพเหตุการณ์เคร่งขรึมจริงจังเหลือประมาณ

“นางเด็กนั่นหนีไปจากตรงนี้รึ”

ในเกี้ยวสีดำ น้ำเสียงงามสง่าสงบนิ่งหนึ่งดังขึ้น

“คาดว่าเช่นนั้นขอรับ!”

“เหอะๆ ลิ่นเหวินจวินนางผู้หญิงคนนี้ไม่ยอมตัดใจดังคาด คิดว่าแค่นางเด็กนั่นรอดชีวิตก็มีโอกาสพลิกชะตาเผ่าพวกมันงั้นรึ น่าเสียดาย ชะตาของพวกมันเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวขาดแล้ว ไร้หนทางฟื้นคืน!”

ภายในเกี้ยวสีดำเสียงเยาะหยันไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญดังขึ้น “อีกทั้งครานี้มี ‘ใต้เท้าขุ่ย’ ออกลงมือ ลิ่นเหวินจวินนั่นจะต้องไร้ทางรอดแน่!”

“นายน้อย ตามที่พวกเราวิเคราะห์นางเด็กนั่นน่าจะหนีไปไม่ไกล ซ้ำเมื่อครู่ที่นี่เพิ่งเกิดศึกใหญ่ มีบุคคลปริศนาคล้ายราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งปรากฏตัว”

โก่วตงกล่าว “พวกเราสงสัยว่าเป็นไปได้สูงที่บุคคลปริศนาจะพาตัวนางเด็กนั่นไป”

“ราชันกึ่งระดับ?”

ภายในเกี้ยวสีดำมีเสียงประหลาดใจ “คาดไม่ถึงว่าลิ่นเหวินจวินยากแค้นถึงขั้นนี้ ยังสามารถเชิญราชันกึ่งระดับคนหนึ่งมาช่วยได้”

“แต่การดิ้นรนเช่นนี้ช่างเปล่าประโยชน์ อย่าว่าแต่ราชันกึ่งระดับ แม้แต่ราชันที่แท้จริงผู้หนึ่ง หากกล้าขัดขวางพวกข้าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิต!”

คำพูดนี้กล่าวอย่างสบายอารมณ์นัก แต่เผยอานุภาพผงาดผยองชวนใจสั่นโดยปริยาย

“ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายนางเด็กนั่นก็คือร่างแห่ง ‘สายเลือดจิ้งจอกนิล’ สมรรถภาพทางกายเช่นนี้พบเห็นได้น้อยนัก ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา ทั้งเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวมีเพียงไม่กี่คนที่มีคุณสมสบัติทางกายเช่นนี้ ทันทีที่ผงาดขึ้นมาจะต้องครองพลานุภาพชวนประหวั่นไม่อาจคาดเดา”

นายน้อยกล่าวเนิบช้า “ยังดี นางเด็กนั่นยังไม่เคยรับรู้ถึงพลังนี้ แม้ไม่ถึงขั้นมีภัยคุกคาม แต่สุดท้ายก็เป็นภัยเงียบหนึ่งอยู่ดี ครั้งนี้ต้องกำจัดมันให้สิ้นซาก”

พูดถึงตรงนี้เขาหาได้ลังเลอีก กล่าวสั่งการ “เริ่มลงมือเถอะ นางเด็กนี่จวนจะกลายเป็นความหนักใจของเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าในเผ่า พวกเขาคงต่างรอข่าวดีจากเราอยู่…”

ตูม!

เวลาต่อมา ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬทั้งกลุ่มออกเดินทางประดุจวิญญาณอเวจี ล้อมพิทักษ์เกี้ยวสีดำนั่นทะยานฟ้า มุ่งหน้าไปทางป่าเขาไร้ขอบเขตอันห่างไกล

ไม่คิดเลยว่าแต่ต้นจนจบ พวกสำนักมุกวิญญาณล้วนถูกมองข้ามราวอากาศธาตุ!

“คาดไม่ถึงว่ามีชีวิตรอดครานี้ เพียงเพราะอีกฝ่ายไม่เคยเห็นพวกเราในสายตา…” ฮว่าชิงฉือกล่าวอย่างขมขื่น

คนอื่นๆ เองก็แววตาว่างเปล่า

สำหรับพวกเขาวันนี้ช่างเหมือนฝันร้าย เหี้ยมโหดและหนักหน่วงเหลือเกิน ทำให้พวกเขายากจะยอมรับจนถึงตอนนี้

และสาเหตุทั้งมวลก็แค่เพราะความละโมบก้อนหนึ่งในใจพวกเขา

พวกเขาต่างไม่รู้ว่าควรเสียใจภายหลังหรือควรเคียดแค้นชิงชัง บางทีนี่คงเป็นค่าตอบแทนของความโลภที่ต้องจ่ายกระมัง แต่ค่าตอบแทนนี้มันมากเกินไปแล้ว!

ทิวเขาทอดยาวเรียงรายราวไม้แหลม หนาทึบแน่นขนัดแผ่กว้างไพศาล ภายในไม่ขาดแดนสมบัติที่งดงามสงบเงียบ แต่ที่มากกว่าคือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยวร้างโหดเหี้ยม ดิบเถื่อนดั้งเดิม

เปรียบเทียบกับรอบกำแพงเมือง ภายในป่าเขาที่อยู่ด้านนอกอันตรายกว่าโดยไม่ต้องสงสัย สัตว์ปีศาจจำศีล สัตว์อสูรพำนัก ยังมีภัยพิบัติไม่อาจระบุมากมายฝังอยู่ภายใน ดูเร้นลับอันตราย

หลินสวินนั่งขัดสมาธิบนยอดเขางามลูกหนึ่ง กำลังนั่งสมาธิสูดลมหายใจเข้าออกฟื้นฟูพลังกาย

ภูเขาลูกนี้ไม่สูงแต่งดงามเงียบสงบ สนเก่าแก่เขียวชอุ่ม น้ำตกหลั่งรินน้ำพุเวียนวน ไอวิญญาณสีเงินดั่งหมอกควันอบอวล เสมือนแดนสมบัติบำเพ็ญเพียร

เดิมที่นี่ถูกพญาอสูรมารงูขาวยึดครอง เมื่อหลินสวินมาถึงยังไม่ทันลงมือ อาศัยเพียงกลิ่นอายก็ทำให้พญาอสูรมารซึ่งเริ่มมีปัญญาวิญญาณตัวนี้สังเกตเห็นอันตราย หลีกหนีอย่างลุกลี้ลุกลน

หลินสวินเคร่งขรึมมีสง่า จมูกปากพ่นหมอกแสงประกาย ทั่วร่างพวยพุ่งด้วยไอสมบัติท่วงทำนองมรรค รูขุมขนผ่อนคลายลง การขับเคลื่อนพลังทั่วสรรพางค์ปลอดโปร่งพลุ่งพล่าน

แกนวิญญาณขั้นกลางก้อนแล้วก้อนเล่าในมือกลายเป็นผงละเอียด แต่เขากลับไม่รับรู้

ตอนนี้จิตใจเขาว่างเปล่า สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณผสานกับร่างกายอย่างสมบูรณ์ เรือนกายส่องสว่างแวววาว มีท่วงทำนองไร้มลทินประการหนึ่ง

ภายในร่างพลังวิญญาณซึ่งจวนเจียนแห้งขอดกำลังฟื้นคืนด้วยความเร็วน่าตระหนก ถาโถมขึ้นลงทั่วร่างราวกระแสน้ำคลั่ง

เทียบกับผลึกวิญญาณระดับสูง ความแกร่งกร้าวซึ่งแฝงอยู่ในแกนวิญญาณขั้นกลางบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่กว่าโดยไม่ต้องสงสัย นี่จึงเพิ่มความเร็วในการดูดซึมและหลอมรวมให้หลินสวินมากขึ้น

ก่อนหน้าต้องใช้เวลาสามถึงห้าชั่วยามจึงจะสามารถฟื้นคืนพลัง บัดนี้สามารถร่นเวลาเหลือหนึ่งชั่วยาม!

ทว่าแม้แกนวิญญาณขั้นกลางมีข้อดีแต่ราคาแพงเกินไป สำหรับหลินสวินในยามนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ใช้แค่ในช่วงเวลาสำคัญยังพอว่า

หากมันกลายเป็นสิ่งของประจำวันที่ใช้ในการฝึก ด้วยสินทรัพย์ของหลินสวินต้องแบกรับไม่ไหวแน่

ทันใดนั้นหลินสวินซึ่งอยู่ระหว่างฝึกพลันเกิดสัญญาณเตือนภายในใจ ในสถานที่ไกลสุดหล้ามีคนกำลังแอบสังเกตการณ์ และถูกเขาจับได้ตั้งแต่พริบตาแรก!

…………….