ตอนที่ 83 - 2 เจ้าคงรักเขามากเหลือเกิน

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

จิ่งเหิงปัวพาเฟยเทียนเย่าจื่อเดินเข้าห้องข้างโถงฝั่งตะวันออก ไม่สนใจอวี่ชุนที่วิ่งตามมาหวังปกป้องนาง ยื่นมือปิดประตูลงดังพลั่ก จนบานประตูเกือบจะกระแทกจมูกของอวี่ชุน

 

 

หันกายเพียงครั้ง จิ่งเหิงปัวก็เผชิญหน้ากับเฟยเทียนเย่าจื่อ มองดูสีหน้าของเขาแล้วกล่าวว่า “ฟื้นแล้วหรือ?”

 

 

เจ้าคนนั้นเซื่องซึมอยู่บ้าง คว้าเครื่องประดับผมผลึกแก้วไว้ไม่เอ่ยวาจา

 

 

“เจ้าชอบของสิ่งนี้หรือไม่” จิ่งเหิงปัวจ้องมองสีหน้าของเขา

 

 

เฟยเทียนเย่าจื่อเงยหน้าขึ้นโดยพลัน สายตาเร่าร้อน ร้องออกมาว่า “ชอบ! เจ้ายังมีอีกหรือไม่?”

 

 

“มีสิ” จิ่งเหิงปัวยักไหล่ กล่าวต่อไปว่า “แต่ก็มีไม่มาก เดิมทีสิ่งนี้ก็เป็นของที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกหล้า”

 

 

เฟยเทียนเย่าจื่อพยักหน้า แล้วเอ่ยว่า “นั่นสินะ ข้าจะโลภมากเกินไปไม่ได้”

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะแล้วเดินไปนั่งข้างเขา

 

 

“เจ้าไม่รังเกียจข้าหรือ” เฟยเทียนเย่าจื่อหันข้างมองนาง คราวนี้จิ่งเหิงปัวถึงได้สังเกตเห็นว่านัยน์ตาของเขาเจือด้วยสีม่วงคล้ำ เหมือนจะไม่ใช่ชาวตี้เกอ

 

 

“เหตุใดข้าต้องรังเกียจเจ้าด้วย?”

 

 

“ข้าเป็น…คนเสียสติคนหนึ่ง” เขาโน้มกายลง สองมือสอดเข้าไปในผมแล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าคงเอ่ยวาจาที่ไม่สมควรเอ่ยออกมามากมายแล้วกระมัง? ทุกครั้งก่อนล้มป่วยข้าก็ควบคุมมันไม่ได้เลย…”

 

 

“เจ้าไม่ใช่คนเสียสติ” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “เจ้าก็แค่เป็นคนน่าสงสาร ที่ได้รับการถ่ายทอดมาอย่างผิดพลาดตั้งแต่เด็กจนต้องเปลี่ยนแปลงโชคชะตาไปก็เท่านั้น”

 

 

เฟยเทียนเย่าจื่อพลันเงยหน้ามองนาง สายตาดุร้ายเดือดพล่าน

 

 

“ข้าไม่ได้น่าสงสาร!” น้ำเสียงดุจมีไอสังหาร

 

 

“เจ้าน่าสงสาร” จิ่งเหิงปัวไม่มองเขาด้วยซ้ำ

 

 

ปลายนิ้วที่พลันเชิดขึ้นของเฟยเทียนเย่าจื่อเกือบจะสัมผัสคอหอยของนางแล้ว ไอสังหารของคนกึ่งดีกึ่งร้ายคนนี้หนาวเหน็บ ผิวกายบริเวณลำคอของจิ่งเหิงปัวสั่นเทาเล็กน้อย

 

 

แม่งเอ๊ย! ไม่ต้องจริงจังขนาดนี้ก็ได้ไหม!

 

 

ขาของจิ่งเหิงปัวข้างหนึ่งร่นถอยเตรียมพร้อมจะหายตัวทุกเวลา จิกนิ้วมือแน่นไปพลางกล่าวตามใจชอบอย่างเคยชินว่า “ความน่าสงสารของเจ้าไม่ใช่เรื่องที่เจ้าถูกผู้คนมองว่าเป็นคนเสียสติชั่วร้าย ทว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเข้าใจเจ้าได้ แม้เวลาผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้”

 

 

นิ้วมือที่เกือบจะสัมผัสคอหอยหยุดชะงัก

 

 

“เหอะ! เข้าใจข้าหรือ?” ผ่านไปเนิ่นนานเขาก็ยิ้มเยาะออกมา ดูเปล่าเปลี่ยวเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยว่า “เข้าใจคนวิปริตผิดเพศที่น่าขยะแขยง ผิดปกติ คิดจะสังหารแม้กระทั่งบิดามารดาเช่นข้านี้น่ะหรือ?”

 

 

เขาลุกขึ้นยืน กางแขนสองข้างออก

 

 

“เข้าใจสัตว์ประหลาดที่ยามเด็กเป็นสตรี แต่พอโตขึ้นกลับกลายเป็นบุรุษเช่นข้านี้น่ะหรือ?”

 

 

“เข้าใจสัตว์ประหลาดที่เดิมทีไม่อยากเป็นสตรี พอถึงคราวหลังกลับอยากเป็นสตรีขึ้นมาแต่เป็นไม่ได้เช่นข้านี้น่ะหรือ?”

 

 

“เข้าใจสัตว์ประหลาดที่ถูกไล่ล่ามาตั้งแต่เด็ก จนต้องคิดหาวิธีฝึกวรยุทธ์เพื่อปกป้องตนเองเช่นข้านี้น่ะหรือ?”

 

 

“เข้าใจสัตว์ประหลาดที่เมื่อวันก่อนยังเป็นสตรี วันรุ่งขึ้นพลันถูกมัดเข้าเรือนหอให้หลับนอนกับสตรีเช่นข้านี้น่ะหรือ?”

 

 

“ฮ่าๆๆ…” นัยน์ตาม่วงคล้ำเกรี้ยวกราดบ้าคลั่ง ร้องออกมาว่า “สัตว์ประหลาด! สัตว์ประหลาด!”

 

 

“เจ้าไม่ใช่สัตว์ประหลาด” จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นยืน ยังคงตบไหล่ของเขาอย่างตามใจชอบ กล่าวว่า “คนที่ผิดก็คือบิดามารดาของเจ้า ไม่ใช่เจ้า ตั้งแต่แรกเริ่มพวกเขาก็จัดการเพศให้เจ้าผิดพลาด ช่วงแรกที่เจ้ากำลังเจริญเติบโต เจ้าถูกบอกว่าเจ้าเป็นสตรีอยู่เนิ่นนาน พอเวลานานผ่านไปนานเข้า เจ้าถึงได้นึกว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ พละกำลังของการชี้นำทางจิตใจนั้นแข็งแกร่ง แท้จริงแล้วเจ้าเป็นคนปกติโดยสิ้นเชิง สิ่งที่ผิดเป็นเพียงแค่การรับรู้เท่านั้น”

 

 

กล้ามเนื้อที่เกร็งแน่นของเฟยเทียนเย่าจื่อค่อยๆ ผ่อนคลายลงมาทีละเล็กทีละน้อย

 

 

“หลายปีมานี้…เจ้าเป็นคนเพียงคนเดียวที่เอ่ยเช่นนี้กับข้า”

 

 

“เพราะอย่างนั้นข้าก็มีบุญคุณต่อเจ้า” จิ่งเหิงปัวขานรับอย่างราบรื่นเหลือเกิน

 

 

เฟยเทียนเย่าจื่อหันกาย อดจะหัวเราะออกมาเสียงหนึ่งไม่ได้ แล้วเอ่ยว่า “เจ้าเป็นคนอัศจรรย์โดยแท้”

 

 

“เจ้าก็เช่นกัน” จิ่งเหิงปัวหันหลังแล้วนั่งลงบนเตียงเสมือนคุยเล่นกับเพื่อนเก่า ก่อนกล่าวว่า “เคยคิดหรือไม่ว่าหลังจากนี้ไปจะทำอย่างไร”

 

 

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเคยสาบานเอาไว้?” เขาไม่ตอบทว่าย้อนถาม

 

 

“หืม?”

 

 

“หลายปีมานี้ ข้าเดินทางไปหลายแห่ง พบเจอผู้คนมากมาย และมีคนที่เริ่มแรกทำดีต่อข้า ทว่าหลังจากพวกเขารับรู้ปัญหาของข้า ต่างรังเกียจสะอิดสะเอียน หลีกเลี่ยงข้าประหนึ่งหลีกเลี่ยงสิ่งสกปรกกองหนึ่ง” ยามที่เฟยเทียนเย่าจื่อเงียบสงบลงเขามีนิสัยเงียบเฉย เอ่ยว่า “บางคนเรียกพี่ชายน้องชายกับข้า แต่ชั่วพริบตาเดียวกลับทอดทิ้งข้าจากไป บางคนข้าช่วยเหลือไว้ ทว่าพอหันกายไปพลันพาคนมาสังหารข้าอย่างไม่มีเหตุผล เพียงเพราะรู้สึกว่าสัตว์ประหลาดที่ร่างกายเป็นบุรุษแต่รู้สึกว่าตนเองเป็นสตรีเช่นข้านั้นไม่ควรดำรงอยู่บนโลกใบนี้ เพราะอย่างนั้น…” เขายิ้มโหดเ**้ยมตรงมุมปาก เอ่ยสืบต่อว่า “ข้าเลยฆ่าพวกเขา”

 

 

จิ่งเหิงปัวยักไหล่อย่างไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย เจ้าคนนี้มีไอสังหารผนึกแน่นยิ่งนัก คุณธรรมความชั่วยากที่จะจำแนก กระทำเรื่องแบบนี้ได้ก็ไม่น่าประหลาดเลยแม้แต่น้อย

 

 

แต่นางคิดเสมอว่าเมื่อเทียบกับคนที่เรียกกันว่าบุคคลซื่อสัตย์ผู้เอ่ยถึงคุณธรรมเมตตาธรรมศีลธรรมเต็มปากแล้ว วายร้ายจอมฉวยโอกาสที่คิดถึงบุญคุณความแค้นอย่างเต็มที่ยังน่าเชื่อถือมากกว่าอีก ไม่ว่าคนต่ำทรามที่แก้แค้นแม้เป็นเรื่องเล็กน้อยหรือสุภาพบุรุษจอมปลอมยังทำให้คนสบายใจเสียยิ่งกว่า

 

 

“เพราะอย่างนั้นข้าจึงละทิ้งนามของตนเอง ตั้งนามอีกครั้งว่าเทียนชี่ สวรรค์ทอดทิ้งข้า ข้าจึงทอดทิ้งสวรรค์” เฟยเทียนเย่าจื่อเบ้ปาก เอ่ยสืบต่อว่า “เพราะอย่างนั้นข้าจึงสาบานว่าชั่วชีวิตนี้ หากมีคนจริงใจไม่รังเกียจข้า หลังจากรับรู้เรื่องราวทุกสิ่งของข้ายังยอมคบค้าสมาคมกับข้า ข้าจะต้องตอบแทนเขา”

 

 

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องตอบแทนข้าเป็นแน่” จิ่งเหิงปัวเท้าแก้ม มองเขาพลางยิ้มตาหยี

 

 

คนที่มีรอยแผลเป็นภายในใจแบบนี้ ปรารถนาและให้ความสำคัญต่อความยุติธรรมเปี่ยมไมตรีเป็นพิเศษ ถ้ากล่าวว่าตกใจจนตัวสั่นเทิ้มก้มศีรษะกราบกรานอยู่ใต้คำสั่งนับแต่นั้นด้วยเหตุนี้คงเพ้อเจ้อเกินไป แต่ถ้าเพียงเก็บความรู้สึกดีไว้ในใจ ยื่นมือช่วยเหลือในเวลาสำคัญด้วยเหตุนี้ นับว่ามีความเป็นไปได้

 

 

นางสิ้นเปลืองน้ำลายมากมายขนาดนี้ไม่ใช่เพื่อสิ่งนี้หรอกหรือ พอมองเห็นครู่ที่เขาทำลายกรอบผลึกแก้วกับวิชาตัวเบาที่ลึกลับซับซ้อนนั้น นางก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว

 

 

“ข้าไม่ชอบเจ้า” เทียนชี่หันหน้ามามองนางปราดหนึ่งด้วยสายตาอิจฉารังเกียจที่สตรีมีต่อสตรีแบบนั้น แล้วเอ่ยว่า “เจ้าสวยเกินไป ฉลาดเกินไป ดูคล้ายทำตามอารมณ์ยิ่งนัก แต่แท้จริงแล้วมีแผนการ ข้าเกลียดชังสตรีเช่นนี้เป็นที่สุด”

 

 

จิ่งเหิงปัวคิดในใจว่าทำไมฟังแล้วเหมือนโสเภณีจอมมารยา? ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง?

 

 

“ทว่าเรื่องที่ข้าเคยรับปากไว้ย่อมต้องทำได้แน่” เทียนชี่ลุกขึ้นยืน เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เจ้าปฏิบัติเช่นนี้กับข้าได้ ไม่ว่าจะจริงใจหรือเสแสร้งย่อมนับว่าเจ้าไม่ธรรมดา เพราะอย่างนั้น เจ้ามีความปรารถนาใดจงเสนอออกมาเถิด”

 

 

จิ่งเหิงปัวกะพริบตา รู้สึกว่าเจ้าคนนี้น่าเล่นด้วย นิสัยเปลี่ยนแปลงไปมาหลากหลาย คราวแรกเมื่อถูกเถี่ยซิงเจ๋อต่อยก็นึกว่าเป็นพวกน่ารำคาญเหมือนกับอีชี แล้วจากนั้นก็พลันกลายเป็นคนเร่ร่อนที่มีความโกรธแค้นลึกล้ำ เมื่อพูดคุยกิจธุระเอาจริงเอาจังนั่งตัวตรงแน่ว ก็พลันกลายเป็นปรมาจารย์ที่มีบุคลิกน่านับถือ

 

 

“ก่อนหน้านี้เจ้าถามว่าคนในภาพเหมือนนั้นคือผู้ใด” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “ยามนี้ยังอยากรู้อยู่หรือไม่?”

 

 

ดวงตาของเทียนชี่สว่างวูบขึ้นมาโดยพลัน มองออกว่าเขาชื่นชมลักษณะท่าทางของกงอิ้นอย่างมากโดยแท้ ทว่าพอมองดูสีหน้าของจิ่งเหิงปัวแล้ว เขาก็ส่ายหน้าอีกครั้ง

 

 

“คนผู้นี้ต้องเป็นคนที่สำคัญสำหรับเจ้าอย่างมากเป็นแน่ เจ้าคงไม่ยอมหลีกทางให้ข้าหรอก”

 

 

“ผู้ใดเอ่ยว่าจะหลีกทางให้เจ้ากัน? เจ้าจะไหวหรือ” จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “เช่นนั้น เรื่องที่ข้ามอบหมายให้เจ้า ก็ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ ซ้ำยังเป็นเรื่องที่เจ้าชื่นชอบ คนผู้นี้ ข้าจะบอกเจ้าว่าเขาอยู่ที่ใด จากนั้นเจ้าก็ไปปกป้องเขา” นางยิ้มตาหยีแล้วแกว่งนิ้วมือ กล่าวว่า “เจ้าลองคิดดูสิ พ่อรูปงามขนาดนี้ ภายหลังเจ้าจะได้มองเห็นเขาทุกวัน ได้ชื่นชมความงดงามของเขาทุกวัน พอถึงคราวจำเป็นก็ยังเป็นวีรบุรุษช่วยเหลือโฉมงามอีกด้วย ไม่แน่ว่าโฉมงามอาจจะยิ้มแย้มให้เจ้าสักครั้ง เทพเซียนในรูปวาดเดินมายังเบื้องหน้าเจ้า ชั่วชีวิตนี้นับว่าคุ้มค่าแล้วถูกต้องหรือไม่?”

 

 

“ข้าแย่งเขามาได้” เทียนชี่ไม่คิดเช่นนั้น เอ่ยว่า “บนโลกนี้ยังไม่มีสิ่งที่ข้าตั้งใจแย่งแล้วแย่งมาไม่ได้”

 

 

“โนๆ ขอเตือนเจ้าว่าอย่าได้ทำตามความคิดนี้” จิ่งเหิงปัวส่ายหน้ายกใหญ่ แล้วกล่าวว่า “หากเจ้ากระทำเช่นนั้นจริง เช่นนั้นข้าก็ไม่อยากให้เจ้าตอบแทนเช่นกัน เจ้าก็รีบออกไปเสียตอนนี้เลย ข้าจะบอกความจริงให้เจ้ารู้ หากเจ้าแย่งเขา เจ้าจะสิ้นชีพอย่างน่าเวทนานัก ข้าน่ะไม่อยากฝังศพของเจ้าหรอกนะ”

 

 

“แม้เห็นคนผู้นี้ในภาพเหมือนเพียงปราดเดียว ทว่าข้าก็รู้สึกว่าลักษณะท่าทางของเขานั้นคล้ายฝึกวรยุทธ์พิเศษวิชาหนึ่ง” เทียนชี่เอ่ยว่า “ข้าเชื่อวาจาที่เจ้าเอ่ย ทว่าในเมื่อเขาแข็งแกร่งขนาดนี้ เหตุใดต้องให้ข้าปกป้องเขาด้วย?”

 

 

“เพราะข้าไม่วางใจ เพราะข้ารู้สึกว่าแม้คนที่เกรียงไกรมากกว่านี้ก็ยังต้องมียามที่อ่อนแอ เพราะข้ารู้สึกว่าเขาแข็งแกร่งมานานเกินไปแล้ว ยืนหยัดมานานเกินไปแล้ว หากคนเช่นนี้ล่มสลายพังทลายขึ้นมา ผลลัพธ์จะร้ายแรงยิ่งนัก ข้าหวังว่าวันนั้นจะไม่มีวันมาถึง ทว่าข้าก็จำเป็นต้องตระเตรียมเพื่อการมาถึงของวันนั้นเสียหน่อย” แววตาของจิ่งเหิงปัวสว่างวูบในทันที กล่าวว่า “เจ้าเพียงมองภาพเหมือนก็รู้ว่าเขาฝึกวรยุทธ์พิเศษหรือ? แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าวรยุทธ์ชนิดนั้นที่เขาฝึกมีข้อห้ามใดหรือไม่”

 

 

“ปัญญาหิมะใช่หรือไม่?”

 

 

“ใช่!” จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นยืน นางมีข้อสงสัยมานานแล้ว กล่าวว่า “ปัญญาหิมะ! เจ้าบอกข้าหน่อยเถิด วรยุทธ์วิชานี้คือวรยุทธ์ที่ต้องละอารมณ์ละความอยาก แกว่งมีดทำลายตรงนั้นอะไรแบบนั้นในตำนานใช่หรือไม่?”

 

 

การแสดงออกเมื่อมหาเทพหวั่นไหวผิดปกติ นางรับรู้ได้และเกิดความสงสัยมาตั้งนานแล้ว เมื่อก่อนนางอยากถามอีชีแต่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม นึกไม่ถึงว่าเทียนชี่เหมือนจะรู้เช่นกัน

 

 

“เจ้าเอ่ยอะไรของเจ้ากัน?” เทียนชี่มองดูนางอย่างแปลกประหลาด เอ่ยว่า “แรกเริ่มเดิมทีปัญญาหิมะถือกำเนิดจากพุทธศาสนา เป็นหนึ่งในวรยุทธ์ที่ศักดิ์สิทธิ์และฝึกยากที่สุดในโลกหล้า นามเดิมว่าปัญญาบงกช ภายหลังได้ผ่านการปฏิรูปจากบรรพบุรุษตระกูลเสวี่ยผู้เป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้รุ่นหนึ่ง ฝึกฝนปราณทั้งบริสุทธิ์ทั้งเหน็บหนาวในโลกหล้า จนกลายเป็นวิชาหมื่นวรยุทธ์หมื่นสำนักในโลกนี้ ยามสำเร็จวรยุทธ์ยิ่งสูงขึ้นไปอีกขั้น นามกลายเป็นปัญญาหิมะ วรยุทธ์นี้คือวรยุทธ์สุดแข็งแกร่งที่ปกป้องหัวใจฝึกฝนปราณในตำนาน สามารถปราบปรามชำระล้างสิ่งสกปรกชั่วร้ายทุกสิ่งในโลกมนุษย์ กายาน้ำแข็งหิมะไม่แปดเปื้อนฝุ่นธุลี ทว่านอกจากเล่ากันว่าจุดเริ่มต้นของการฝึกฝนค่อนข้างเจ็บปวดแล้ว ซ้ำยังเล่ากันว่าเงื่อนไขที่มีต่อผู้ฝึกฝนโหดร้ายแลเลิศล้ำยิ่งนัก ไม่เคยได้ยินว่าต้องใช้ร่างกายบริสุทธิ์ฝึกวรยุทธ์ เจ้าต้องรู้ว่าบรรพบุรุษตระกูลเสวี่ยเองยังตบแต่งภรรยาสามนาง ให้กำเนิดบุตรธิดาสี่คน หากต้องทำลายตรงนั้นแล้วลูกชายลูกสาวจะมาจากที่ใด?”

 

 

“แท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้เอง…” จิ่งเหิงปัวถอนหายใจยืดยาวเฮือกหนึ่ง อดจะยิ้มแย้มอย่างเบิกบานไม่ได้ แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าย่อมวางใจแล้ว”

 

 

พอนางยิ้มแย้มแสงสว่างรุ่งโรจน์โชติช่วง เทียนชี่ก็พลันหันหน้าไปอย่างอิจฉา

 

 

“ข้าจะรับข้อเสนอของเจ้าไว้พิจารณา” เขาเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ข้าจะไปดูก่อนว่าคนผู้นี้ควรค่าให้ปกป้องหรือไม่ หากอารมณ์ดี ข้าอาจจะลงมือ”

 

 

“เจ้าอย่าให้เขาพบเข้าก็พอแล้ว” จิ่งเหิงปัวกำชับ ฉวยมือวาดแผนที่เส้นทางไปอวี้จ้าวจิ้งถิงให้เขา

 

 

นางอยากหาคนคุ้มกันที่ไม่มีใครรู้และซ่อนตัวอยู่ในที่ลับให้กงอิ้น

 

 

นางรู้ว่าตัวเขามีฝีมือยอดเยี่ยมเลิศล้ำ มีคนคอยโอบล้อมพิทักษ์มากมาย แต่ว่าที่สุดแล้วสิ่งเหล่านั้นต่างเป็นพละกำลังที่วางไว้ภายนอก ขอเพียงอยู่ในสถานที่เปิดเผยย่อมจัดการได้ บางทีกงอิ้นอาจมีองครักษ์ซ่อนไว้เช่นกัน แต่นางยังรู้สึกว่าหากมีคนลอบคุ้มกันที่แม้แต่เขาเองยังไม่รู้คนหนึ่งถึงจะเป็นคนที่แสดงบทบาทได้มากที่สุดในช่วงเวลาสำคัญ

 

 

ราชสำนักคาดการณ์ไม่ได้ อันตรายหนักหน่วง กงอิ้นเป็นคนปกป้องนางมาโดยตลอด นางอยากจะปกป้องเขาสักครั้งเช่นกัน

 

 

“มอบภาพเหมือนของเขาใบนั้นให้ข้า” เทียนชี่กลับเสนอเงื่อนไขอีกข้อ

 

 

“ไม่ได้” จิ่งเหิงปัวปฏิเสธในทันที นางไม่อยากมอบรูปถ่ายของกงอิ้นให้คนผู้นี้ลูบไล้ทุกวันหรอก

 

 

“ข้ามีภาพเหมือนของเขามากมาย เจ้าทำเรื่องให้ข้าพอใจครั้งหนึ่ง ข้าจะให้เจ้าดูภาพหนึ่ง” นางหลอกเขาว่า “เจ้าช่วยชีวิตของเขาได้ยามใด ข้าจะพิจารณามอบให้เจ้าภาพหนึ่ง”

 

 

มือของเทียนชี่ร่นถอยกลับมา กลอกตาขาวใส่นางครั้งหนึ่ง เอ่ยถากถางว่า “ตระหนี่ถี่เหนียวยิ่งนัก!”

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มออกมา ไม่นึกว่าแผนการของตนเองกับการขายแฟนหนุ่มจะทำให้เสียหน้าเลยแม้แต่น้อย

 

 

“ไปเถิดๆ ไปทำเรื่องที่เจ้าสมควรทำเถิด” มองเห็นเจ้าคนที่ร่างเป็นชายคนนี้ปรากฏท่าทางผู้หญิงบ่อยครั้ง นางก็รับไม่ได้อย่างแรงเหมือนกัน

 

 

เทียนชี่หันกายออกจากประตู ทว่ายามที่ก้าวข้ามธรณีประตูก็พลันหยุดลง

 

 

เขาไม่ได้หันหน้ากลับมา ยามเอ่ยปากอีกครั้ง น้ำเสียงพลันอ่อนใจเล็กน้อย

 

 

“เจ้าคง…รักเขามาก รักเขามากเหลือเกิน”

 

 

จิ่งเหิงปัวชะงักงัน

 

 

เงาด้านหลังของเทียนชี่ได้สูญสลายไปจากกลางลานบ้านนั้นแล้ว นางยังคงมึนงงอยู่ ก้มหน้ามองเงาตะวันสาดส่องไผ่เดียวดายพุ่มหนึ่ง ส่องสะท้อนเงาลายพร้อยบนกระโปรงยาวของนาง

 

 

ทุกครู่หนึ่งที่เขาไม่อยู่ข้างกาย แสงนภาแลคล้ายยาวนานเช่นนี้เสมอ

 

 

ผ่านไปเนิ่นนานนางค่อยๆ หยิบกล่องหยกที่กงอิ้นมอบให้นางใบนั้นจากในอ้อมแขน ทุกวันนางต้องดูของสิ่งนี้ครั้งหนึ่ง นางยังตั้งใจสอดดอกไม้แห้งที่ตนเองทำเข้าไปในร่องลวดลายของกล่องหยกด้วย

 

 

นางแนบแก้มบนกล่องหยกแผ่วเบา แล้วพึมพำว่า “รักมาก รักมากเหลือเกิน…จริงไหมนะ…”

 

 

 

 

หลังจากนั้นไม่นานนางก็ได้ยินเสียงดังเอะอะจากข้างนอกอีกครั้ง พอวิ่งออกไปดู ไอ้เวรเอ๊ย! ทะเลาะกันขึ้นมาอีกแล้ว

 

 

“มีสิทธิ์อะไรไม่ให้พวกเราเข้าไป!”

 

 

“มีสิทธิ์อะไรถึงวาดเพียงแค่สามคน!”

 

 

“พวกเราต่อแถวมาคืนหนึ่งแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเจ้าต้องให้พวกเราได้พบเห็นสักหน่อย!”

 

 

“ไม่ใช่ว่าพวกเขามีเงินมีอำนาจหรือ พวกเราก็มีเงินเช่นกัน! มาเร็ว กลับบ้านนำเงินมาเขวี้ยงใส่พวกเขา!”

 

 

ที่นอกประตูใหญ่คนส่งเสียงเอะอะโวยวายกลายเป็นกลุ่มก้อน พอจิ่งเหิงปัวได้ฟังก็รู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร ข้อกำหนดภาพเหมือนสามภาพทำให้พวกลูกค้าที่ถูกยั่วน้ำลายซ้ำยังรอคอยมานานมากเหล่านี้ไม่พอใจเหมือนที่คิดไว้

 

 

แต่เดิมแล้วพวกชุ่ยเจี่ยอธิบายให้ฟังมาโดยตลอด ซ้ำยังชี้แจงก่อนหน้านี้นานแล้วว่าขายเพียงสามภาพ ทว่ามนุษย์นั้นล้วนเป็นเช่นนี้ ความทะเยอทะยานมีไม่สิ้นสุด มักรู้สึกว่าเงินมีความสามารถสารพัด ไม่เชื่อว่าหากตนหอบเงินมาถึงหน้าบ้านแล้วยังมีคนไม่รับด้วย พวกเขาจึงไม่ยอมจากไป หวังรอคอยหลังจากสามคนแรกวาดออกมาแล้วค่อยดูสถานการณ์อีกครั้ง แม้ไม่เบียดเสียดเข้ามามองดูยังเสียเวลารอคอยมานานขนาดนี้ ภายหลังมองเห็นสามคนที่วาดภาพเสร็จเดินออกมาแล้ว สีหน้าตื่นตะลึงพึงพอใจดั่งคาดการณ์ ต่างประคองกล่องใส่ภาพเหมือนงดงามประณีตที่ร้านวาดภาพเหมือนมอบให้อย่างระมัดระวัง มองแล้วรู้เลยว่าผลลัพธ์ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

 

 

ผู้คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ล้วนเป็นขุนนางตระกูลผู้ดี แต่ไหนแต่ไรมาสิ่งที่ตระกูลผู้ดีแสวงหาคือสิ่งของหรูหราสูงส่งเลิศล้ำไร้ผู้ใดเหมือน ยิ่งไม่อาจเห็นผู้อื่นมีแต่ตนเองไม่มี หรือว่ามีด้อยกว่าผู้อื่น เช่นนั้นจึงลุกฮือขึ้นมาพร้อมกันในทันที เรียกร้องให้ชุ่ยเจี่ยเพิ่มลูกค้า

 

 

เดิมทีอวี่ชุนก็นำพาองครักษ์รักษาการณ์อยู่ และไม่ถึงขนาดก่อเกิดเรื่องราวปัญหาใหญ่ ทว่าเทียนชี่เดินออกมาแล้ว เจ้าผู้นี้กระทำเรื่องราวอาศัยเพียงความชื่นชอบความเกลียดชัง ยามนี้กำลังอารมณ์เสีย พอมองเห็นปากประตูมีผู้คนล้นหลามมืดฟ้ามัวดิน หญิงชายอัปลักษณ์ฝูงหนึ่งขัดขวางไม่ให้เขาไปดูพ่อรูปงาม เดือดดาลขึ้นมาในฉับพลัน ยกเท้าถีบคนลอยออกไปกองใหญ่

 

 

คราวนี้ก่อเกิดปัญหาใหญ่ ผู้ทั้งมั่งคั่งทั้งร่ำรวยขวางอยู่ปากประตูแล้วผู้ใดจะยอมเลิกราเพียงเท่านี้? เทียนชี่ไม่สนใจเรื่องใดทั้งสิ้น เดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย ส่วนผู้คนที่เหลือเริ่มก่อเรื่องก่อราว

 

 

“ให้เจ้าของร้านออกมา! ให้เจ้าของร้านออกมา!” ฝูงชนส่งเสียงเอะอะโวยวายพุ่งขึ้นมาข้างหน้า ชุ่ยเจี่ยก้าวออกมาหวังเอ่ยว่าตนเองเป็นเจ้าของร้าน ยังไม่ทันได้ยืนให้มั่นคงก็ถูกคนผลักจนตีลังกา อวี่ชุนรีบเร่งประคองนางไว้แล้วจูงนางไปข้างหลัง ร้องตะโกนกับเถี่ยซิงเจ๋ออย่างต่อเนื่องว่า “เงียบ! เงียบ!”

 

 

ทว่าคนยิ่งมากขึ้น ราษฎรจากย่านพักอาศัยธรรมดาบริเวณใกล้เคียงพุ่งเข้ามามองเรื่องสนุกสนานด้วย ข้างนอกสามชั้นข้างในสามชั้น ไม่เพียงแต่พวกจิ่งเหิงปัวถูกขวางไว้ภายใน ทว่าแม้แต่สามคนที่เข้าแถวได้ถ่ายภาพเหมือนนั้นก็ถูกขวางไว้ด้วยเช่นกัน มีคนทั้งผลักทั้งดึงหวังเข้าใกล้พวกเขาอย่างต่อเนื่อง ร้องว่า “เอาภาพเหมือนออกมาดูหน่อย”

 

 

“เรียกเจ้าของร้านออกมา!”

 

 

“ผู้ใดออกกฎแย่พรรค์นี้! ไสหัวออกมาให้ข้าสั่งสอนเสีย!”

 

 

“หากไม่ออกมาจะใช้เงินเขวี้ยงพวกเจ้า! พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าข้าคือใคร…”

 

 

“พวก…เจ้า…หุบ…ปาก…ให้หมด!”