บทที่ 812 โยงใยถึงจวนกั๋วจิ้ว

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 812 โยงใยถึงจวนกั๋วจิ้ว

ขันทีน้อยตกใจกลัวจนดวงตาเผยเส้นเลือดออกมา ฉีเฟยอวิ๋นเคยเห็นบุคคลตรงหน้าที่สำนักหมอหลวง อายุประมาณยี่สิบปี หน้าตาดูดีหมดจด เป็นผู้ทำการทำงานเก่ง ฉีเฟยอวิ๋นเคยเห็นเขามาก่อน ถึงจะไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ ทว่าก็ยังคงจดจำได้ดี

“ท่านอ๋องเพคะ สำนักหมอหลวงก็มีขันทีด้วยหรือเพคะ มีการวางหน้าที่ตำแหน่งเฉพาะหรือไม่เพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นถาม

“มีสิ มีขันทีคอยเป็นลูกมือให้แก่หมอหลวงในสำนักหมอหลวง จะได้รักษาคนในวังหลังสะดวก ปกติเหล่าหมอหลวงจะคัดเลือกขันทีน้อยจากสำนักหมอหลวงไปทางนั้นตั้งแต่เด็ก เพื่อความสะดวก จะถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้ติดตัวเล็กน้อย แต่ก็ไม่มาก”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกฉงนสนเท่ห์ “แสดงว่าสำนักหมอหลวงมีปัญหา?”

“ยังไม่แน่ใจ”

หนานกงเย่มองขันทีน้อยปราดหนึ่ง พลางถามเขาว่า “เจ้าทำงานให้กับหมอหลวงคนใด?”

ขันทีน้อยประหวั่นพรั่นพรึงจนใบหน้าสั่นระริก ถึงแม้จะโดนจี้จุด ทว่าเวลาเครียดผิวหนังก็ยังคงเกร็งกระตุก

ฉีเฟยอวิ๋นถาม “เจ้าไม่คิดจะบอก?”

ขันทีน้อยหวาดหวั่นสุดแสน ทว่ากลับไม่อาจให้ความร่วมมือได้

หนานกงเย่มองผู้มาเยือนนอกประตู อาอวี่เอ่ยว่า “ท่านอ๋อง สาวใช้คนสนิทของพระสนมเอกเซียวสารภาพแล้วพ่ะย่ะค่ะ นางยอมรับว่าเป็นฝีมือนางทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ นางบอกว่าเคยทำงานที่ตำหนักหรงเต๋อ หรงเต๋อเฟยจึงมีบุญคุณต่อนาง เสี่ยวสวีจื่อเคยตำหนินาง นางรู้สึกเกลียดแค้นพระสนมเอกเซียว คิดว่าการดำรงอยู่ของพระสนมเอกเซียวทำให้ฝ่าบาทไม่สนพระทัยหรงเต๋อเฟย จนทำให้หรงเต๋อเฟยตายอย่างอนาถในที่สุด

นางทำไปเพราะต้องการล้างแค้นแทนหรงเต๋อเฟยพ่ะย่ะค่ะ”

อาอวี่รู้สึกเหลืออด เรื่องนี้เป็นรูปแบบการใส่ร้ายป้ายสีชั้นสูงโดยแท้ มองผิวเผินคือการทำร้ายพระสนมเอกเซียว ทว่าความจริงคือการชี้เป้าไปยังจวนกั๋วจิ้ว

ฉีเฟยอวิ๋นปรายตามองขันทีน้อยตรงหน้า “เจ้าล่ะ?”

หนานกงเย่มองไปยังอาอวี่ “อาอวี่นำตัวไปเฆี่ยน”

“พ่ะย่ะค่ะ”

อาอวี่นำคนออกไป ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ “ท่านอ๋องไม่มีวิธีไต่สวนหรือเพคะ?”

“มี”

หนานกงเย่หลุบตามองสิ่งของบนพื้น ก่อนจะโค้งตัวหมายจะหยิบถุงหอมบนพื้นขึ้น ทว่ากลับถูกฉีเฟยอวิ๋นดึงเอาไว้เสียก่อน แล้วเธอก็ใส่ถุงมือ จากนั้นค่อยเป็นฝ่ายหยิบถุงหอมไว้บนถาด ต่อด้วยเดินออกจากตำหนักเฉาเฟิ่งไปยังที่อื่น

เริ่มทำการค้นหาเบาะแสจากตำหนักบำรุงฤทัยของจักรพรรดิก่อน ตลอดจนถึงตำหนักตำหนักจิ่นซิ่วก็ไม่ละเว้น สุดท้ายคือเห็นผ้าในตำหนักหรงเต๋อ สถานที่ซึ่งไม่มีคนเฝ้าดูแล ทั้งยังอยู่บนผ้าปูที่นอนของมู่เหมียนอีกด้วย

ท่ามกลางสายฝนโหมกระหน่ำ ทั้งสองคนกลับไปยังตำหนักข้างในเขตตำหนักเฉาเฟิ่ง ทันทีที่เข้าไปก็ต้องประสานสายตากับกลุ่มคน

ฉีเฟยอวิ๋นถือร่มกระดาษน้ำมัน อีกข้างก็ถือถาดใบหนึ่ง โดยบนถาดมีน้ำและถุงหอมชิ้นนั้น ส่วนสองมือหนานกงเย่ดึงผ้าห่มบังฝนเขากับฉีเฟยอวิ๋น

เพราะฝนค่อนข้างตกหนัก บนถาดจึงมีน้ำฝนเต็มไปหมด

หนานกงเย่โยนผ้าห่มที่เปียกชุ่มไปบนพื้น ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าพึ่งจับคนที่ตำหนักหลักของเสด็จแม่ได้หนึ่งคน เขาเป็นคนของสำนักหมอหลวง คือขันทีน้อยคนหนึ่ง เขาคิดจะขโมยถุงหอมไป

อาอวี่กำลังเฆี่ยนเขาอยู่ด้านนอก สาเหตุที่เสด็จแม่กับไทเฟยประสบเคราะห์ร้าย หากไม่ใช่ถุงหอมก็เป็นภาพหลอน ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับยาพิษทั้งสิ้น

ฉีเฟยอวิ๋นโยนถาดบนมือลงไปยังพื้น ถุงหอมบนถาดหล่นใส่ผ้าห่มก็ลับไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หากไม่เพ่งพิศใยฝ้ายในถุงหอมอย่างละเอียดก็จะเห็นได้ยาก ผู้คนเห็นถุงหอมกับผ้าห่มก็เข้าใจความหมายที่หนานกงเย่สื่อให้ทราบ

ถุงหอมออกมาจากมุมผ้าห่ม ดังนั้นจึงหาไม่เจอ

พระพันปีรู้สึกง่วงนอนเต็มประดา ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ พระนางไม่เคยได้พักผ่อนดีๆเลย คงไม่อาจพักฟื้นในระยะสั้นได้ เห็นทีต้องใช้เวลาสักหน่อยแล้ว

“เรื่องนี้มอบหมายให้อ๋องเย่จัดการ ข้าล้าแล้ว ไม่อยากสนใจเรื่องนี้อีก” พระพันปีเดินไปนอน พระมเหสีหวาเห็นพลันตัดสินใจทิ้งตัวนอนลงไปด้วย

จักรพรรดิอวี้ตี้ลุกขึ้น “ในเมื่อเสด็จแม่จะพักผ่อน เช่นนั้นก็ตามข้าไปตำหนักหลักเถอะ”

“ไม่ต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ข้าพูดไม่กี่ประโยคก็พอ ในเมื่อเรื่องนี้โยงใยถึงจวนกั๋วจิ้ว เช่นนั้นฝ่าบาทก็เรียกตัวคนของจวนกั๋วจิ้วมาเถอะ อาอวี่สอบสวนได้ความว่า หรงเต๋อเฟยมีบุญคุณต่อสาวใช้ของพระสนมเอกเซียว สาวใช้จึงทำเพื่อแก้แค้นแทนหรงเต๋อเฟย

เมื่อเป็นเช่นนี้ สาวใช้คนหนึ่งคงไม่มีเงินมากมาย มีการเกี่ยวโยงคนจำนวนมาก คาดว่าจวนกั๋วจิ้วก็สนับสนุนเรื่องนี้ด้วย ทรงรับสั่งให้จวนกั๋วจิ้วเข้าเฝ่าเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิอวี้ตี้กริ้วโกรธ “กั๋วจิ้วป่วยหนักมานาน ลาออกจากตำแหน่งนานแล้ว เจ้าดึงกั๋วจิ้วเข้ามา ไม่ใช่จะทำให้ข้าลำบากใจหรือ?”

“แต่ยามนี้ชี้ตัวไปที่กั๋วจิ้วพ่ะย่ะค่ะ” หนานกงเย่ยืนกราน

จักรพรรดิอวี้ตี้เดือดดาลไม่เบา “เช่นนั้นก็เรียกตัวกั๋วจิ้วมา”

จักรพรรดิอวี้ตี้กลับไปนั่งลงขมึงทึง มองจวินเซียวเซียวปราดหนึ่แล้วก็ไม่แยแสนาง

หวังฮวายเต๋อป่วยมานานสองเดือนแล้ว หลังจากมู่เหมียนเสียชีวิต สุขภาพหวังฮวายเต๋อก็หนักขึ้นกว่าเก่า เขาอยากให้บุตรชายคนโตเข้ารับราชการ ทว่ากลับเป็นคนบ้องตื้น การเข้ามาเป็นขุนนางในราชสำนัก จึงไม่มีทีท่าจะรุ่งโรจน์ อีกด้วยนิสัยใจคอของเขา หากรับตำแหน่งคงต้องเกิดเรื่องขึ้นในไม่ช้าก็เร็วแน่

หลังจากเสียบุตรีไป ตระกูลก็ตกอับ เหตุด้วยหวังฮวายเต๋อรู้สึกผิดต่อบุตรสาว กอปรกับเรื่องพวกนี้ จึงส่งผลให้จิตใจหดหู่ และล้มป่วยเป็นเวลานานในที่สุด ยามนี้เขาเป็นโรคจ้งเฟิง* พูดจาไม่ฉาดฉานแล้ว วันนี้ถูกเรียกเข้าวังในวันที่ฝนตกหนักเยี่ยงนี้ เขามีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีแน่ ระหว่างทางพลันร้องไห้ฟูมฟายอย่างหนักหน่วง มาถึงตำหนักข้างในเขตตำหนักเฉาเฟิ่งจึงจะหยุดร้อง และให้คนแบกเข้าไปในตำหนักเฉาเฟิ่ง

เดิมทีพระพันปีคิดจะนอนชั่วครู่ บัดนี้เห็นหวังฮวายเต๋อมาเยือนจึงลุกขึ้น

เห็นหวังฮวายเต๋อป่วยหนัก ผ่านไปเนิ่นนานพระพันปีจึงถามขึ้นมาว่า “ไฉนจึงมาด้วยสภาพนี้?”

ฮูหยินกั๋วจิ้วรีบกล่าวว่า “ฝ่าบาทรับเรียกเข้าเฝ้า ไหนเลยจะกล้าชักช้าเพคะ”

สภาพจิตใจพระพันปีย่ำแย่ถึงขีดสุด ตระกูลฝ่ายมารดาเป็นเยี่ยงนี้ มันเป็นความผิดของผู้ใดกันแน่?

“ไปเปลี่ยนชุดแล้วค่อยมาใหม่” พระพันปีสั่งการ ฮูหยินกั๋วจิ้วพาสามีไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ยามออกมารัตติกาลก็ร่วงโรยแล้ว

หลังจุดไฟ ภายในตำหนักจึงสว่างไสวขึ้นเยอะ

เพลานี้ฉีเฟยอวิ๋นก็เปลี่ยนอาภรณ์เสร็จเรียบร้อย หลังเดินไปมองกั๋วจิ้วพลันรู้สึกตะลึงงัน “นี่กั๋วจิ้ว?”

ฮูหยินกั๋วจิ้วรีบเอ่ยขึ้นว่า “หลังมู่เหมียนลาจากโลก กั๋วจิ้วก็ล้มป่วย สองเดือนก่อนก็ยังมาเป็นโรคจ้งเฟิงอีก จึงเป็นอย่างนี้เสมอมาเพคะ”

ฮูหยินกั๋วจิ้วเล่าในขณะที่น้ำตาอาบแก้ม

ฉีเฟยอวิ๋นจับข้อมือของหวังฮวายเต๋อ หลังเปิดระบบรักษาสุขภาพพลันพบว่า เป็นโรคจ้งเฟิง ไตวาย และหลอดเลือดสมองยังมีปัญหาอีกด้วย……

ฉีเฟยอวิ๋นตรวจร่างกายหวังฮวายเต๋ออย่างละเอียดถี่ถ้วน ยังมีชีวิตอยู่ถือว่าไม่ง่ายแล้ว

“ป่วยหนักเอาการ ฮูหยิน ประเดี๋ยวข้าจะไปจวนกั๋วจิ้ว”

“ขอบพระทัยพระชายาเย่เพคะ จวนกั๋วจิ้วจะจารึกพระมหากรุณาของพระชายาเย่ไปชั่วชีวิตเพคะ” ฮูหยินกั๋วจิ้วอดสะอื้นไห้ไม่ได้

ฉีเฟยอวิ๋นสังเกตเห็นสีหน้าอีกฝ่าย พลางตรวจข้อมือฮูหยินกั๋วจิ้ว ผ่านไปได้สักพัก เธอจึงกล่าวว่า “ฮูหยินก็ป่วยไม่เบา แต่รักษาได้ไม่ยาก”

“พระชายาเย่ หม่อมฉันไม่รู้จะขอบพระทัยพระองค์เช่นไรดี อดีตจวนกั๋วจิ้วของพวกเราเคยทำไม่ดีต่อพระองค์ แต่พระองค์ก็ไม่ถือสา ทั้งยังให้การช่วยเหลือพวกเรา พวกเรา……”

“ฮูหยินอย่ากล่าวเยี่ยงนี้เลย ข้าเป็นหมอ ข้าย่อมต้องรักษาช่วยชีวิตผู้คน ฮูหยินถือว่าข้าเป็นบุตรสาวคนหนึ่งเถอะ มู่เหมียนเป็นเพื่อนของข้า นางไม่อยู่ ข้าจะทำหน้าที่ดูแลพวกท่านอย่างสุดความสามารถ”

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวจบก็เดินไปด้านข้าง หนานกงเย่ก็เปลี่ยนเสื้อเสร็จแล้ว ยามนี้เขาทำหน้าไม่ยินดียินร้าย ยังคงทำหน้าเย็นชาดุจเดิม

หนานกงเย่เดินเข้าไปกล่าวว่า “วันนี้ฝ่าบาทรับสั่งให้กั๋วจิ้วกับฮูหยินเข้าวัง เพราะโยงใยถึงจวนกั๋วจิ้วในคดีตราประทับในตำหนักสูญหาย ซึ่งข้ารับหน้าที่ตรวจสอบเรื่องนี้ หวังว่ากั๋วจิ้วกับฮูหยินจะให้ความร่วมมือแก่ข้า”

เมื่อลั่นประโยคนี้ออกมา ทั้งหวังฮวายเต๋อกับฮูหยินกั๋วจิ้วล้วนตกตะลึงพรึงเพริด

*โรคที่มีอาการหน้ามืด ล้มลงหมดสติฉับพลัน ร่างกายครึ่งซีกอ่อนแรง ปากเบี้ยว เห็นภาพซ้อน พูดติดขัด หรืออาจไม่มีอาการล้มลงหมดสติ แต่มีอาการอ่อนแรงครึ่งซีก จนถึงอาการ ปากเบี้ยว เห็นภาพซ้อน