ตอนที่ 1884

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,884 : มุ่งหน้า! ภูมิภาคเบื้องบน!!

 

จูลู่ฉี!

 

ชื่อนี้นับว่าล่วงรู้กันไปทั่วภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว!

 

ทันใดนั้นเหล่าผู้คุมและยามเฝ้าประตูหน้าของตลาดมืดหยินชานก็อื้ออึงไป คล้ายยังตั้งตัวไม่ทัน

 

จนเมื่อเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว พวกมันจึงหันหน้ามองสบตากันทันที สีหน้าแววตายังเผยความหวาดผวาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ!

 

“จูลู่ฉี…อดีตจ้าววังนภาของตำหนักฟ้าลี้ลับ ที่ฝึกฝนด้วยเคล็ดมารกลืนหยินคนนั้น?”

 

“ข้าเองก็ได้ยินข่าวมา…ที่จูลู่ฉีช่วงชิงเคล็ดมารกลืนหยินไปฝึกปรือ ล้วนเป็นเพราะต้องการล้างความอัปยัศที่ท่านรองผุ้นำเคยยัดเยียดให้…”

 

“นี่ท่านรองเฝิงถูกจูลู่ฉีสังหารจริงๆหรือ!?”

 

 

ไม่นานข่าวการตายของเฝิงปู่อี้ก็แพร่กระจายไปทั่วตลาดมืดหยินชานสาขาหลัก

 

ด้วยเหตุนี้ทำให้เหล่าอาวุโสไม่เว้นผู้นำอย่างตู้กู ถึงกับมารวมตัวกันทันที ต่างหารือกันถึงเรื่องฆ่าจูลู่ฉีล้างแค้นให้เฝิงปู่อี้ ครั้งนี้เสมือนตลาดมืดหยินชานของพวกมันถูกตบหน้าเข้าฉาดใหญ่แล้วจริงๆ

 

ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น ในขณะที่คนของตลาดมืดหยินชานกำลังปรึกษาหารือกัน ด้านจูลู่ฉีก็ย้อนกลับมาถึงสถานที่ๆมันใช้ซ่อนตัว…

 

สถานที่ๆมันใช้ซ่อนตัวนั้นอยู่ในหุบเขาลึกร้างผู้คนแห่งหนึ่ง มองไปในหุบเขาปรากฏกระท่อมไม้หลังเล็กๆตั้งอยู่ จากสภาพเห็นชัดว่าพึ่งถูกสร้างขึ้นมาด้วยมือไม่นานนัก

 

ตัวมันอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังหนึ่ง

 

ส่วนกระท่อมไม้อีกหลังนั้น กลับมีร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่…เป็นนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีจิ้ง!

 

ตอนนี้วิญญาณของฉีจิ้งก็ฟื้นฟูใกล้สมบูรณ์เต็มที กำลังจะผสานเข้ากายหยาบแล้ว

 

ยามเมื่อผสานเข้ากายหยาบ มันก็เสมือนเกิดใหม่ได้มองเห็นฟ้าครามและโลกกว้างอีกครั้ง…

 

แอ๊ด…

 

ทันใดนั้นเองประตูกระท่อมไม้ของฉีจิ้งก็ถูกคนเปิดออก

 

“กลับมาแล้วรึ?”

 

ถึงแม้ตอนนี้ฉีจิ้งจะยังไม่ได้ผสานวิญญาณเข้ากับกายหยาบอย่างสมบูรณ์ หากแต่มันสามารถใช้สำนึกเทวะได้ตามใจชอบแล้ว คิดรับรู้สภาพแวดล้อมโดยรอบหรือสนทนาย่อมง่ายดายนัก

 

“อืม”

 

และผู้ที่เข้ามาก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นจูลี่ฉีเอง!

 

อย่างไรก็ตามวันนี้สายตาที่จูลู่ฉีใช้มองร่างฉีจิ้ง กลับเผยประกายเยียบเย็นกว่าที่เคย

 

“สหายจู…มิใช่เจ้าออกไปล้างแค้นเฝิงปู่อี้รึไร ไฉนกลับมาเร็วนักเล่า? หรือได้เรื่องอันใดแล้ว?”

 

ฉีจิ้งกล่าวถาม

 

“อ่อ มันตายแล้ว…”

 

จูลู่ฉีกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย

 

“เช่นนั้นก็ดี! หากข้าฟื้นตัวเต็มที่เมื่อใด ข้าจะส่งมอบเคล็ดวิชาบทสุดท้ายของเคล็ดมารกลืนหยินให้กับเจ้า! ภายภาคหน้ามีเจ้ากับข้าร่วมมือกัน ใต้หล้านี้ยังมีผู้ใดต้านทานพวกเราได้อีก!”

 

ฉีจิ้งส่งเสียงผ่านสำนึกเทวะด้วยความฮึกเหิมลำพอง แลดูมันหมายมั่นตั้งใจนัก

 

“เกรงว่าเจ้าจักมิมีโอกาสนั้น…”

 

ทว่าจูลู่ฉีกลับกล่าวสืบต่อออกมาเสียงเย็นทันที

 

“เหอะๆ สหายจูอย่าได้ล้อเล่นแล้ว”

 

ฉีจิ้งคิดว่าจูลู่ฉีเพียงกล่าวล้อเล่น

 

“ข้ามิได้พูดเล่น”

 

น้ำเสียงของจูลู่ฉียิ่งมายิ่งเย็นลง

 

“สหายจู! อย่าได้ลืมเลือนไปว่าเจ้ากับจ้าวจี้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์แล้ว…ว่าหากไม่ใช่ข้าคิดลงมือกับพวกเจ้าก่อน พวกเจ้าไม่อาจฆ่าข้าได้! หากเจ้าฆ่าข้าก็ถือว่าละเมิดคำสัตย์ เช่นนั้นก็เหลือเพียงหนทางตายสถานเดียว!!”

 

ฉีจิ้งคล้ายไม่ได้กังวลอะไรเลย

 

“ผ่อนคลาย…ข้ามิได้คิดฆ่าเจ้า แต่จากคำสาบาน…ข้าไม่ฆ่าเจ้า แต่มิใช่ว่าข้าไม่อาจทำให้เจ้าไร้โอกาสเห็นแสงตะวันอีกต่อไป…”

 

จูลู่ฉีกล่าวออกด้วยร้ำเสียงอำมหิต

 

“เจ้า…เจ้าคิดทำบ้าอะไร!?”

 

ในที่สุดน้ำเสียงผ่านสำนึกเทวะของฉีจิ้งก็กลายเป็นร้อนรนขึ้นมาแล้ว! เพราะมันสัมผัสได้ว่าจูลู่ฉีไม่ได้คิดล้อเล่นกับมันจริงๆ!!

 

“เจ้าคิดว่า…หากเจ้ากลายเป็นคนพิกลพิการไม่อาจทำอะไรได้ เช่นนั้นวิญญาณกลับเข้าร่างแล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า?”

 

จูลู่ฉีกล่าวออกไม่ทราบกล่าวกับฉีจิ้งหรือกล่าวถามตัวเองกันแน่

 

“ไม่! ไม่! เจ้าทำเช่นนั้นไม่ได้! เจ้าอย่าได้ทำเช่นนั้น!อย่า!!”

 

ฉีจิ้งที่ได้ยินคำของจูลู่ฉี ยิ่งเป็นกังวลจนใจแทบไหม้แล้ว

 

อย่างไรก็ตามจูลู่ฉีไม่สนใจคำร้องของฉีจิ้งแม้แต่นิดเดียว ยกมือขึ้นสะบัดเบาๆ ปรากฏคลื่นพลังฉุดดึงอำมหิตขุมหนึ่ง กระชากแขนขาทั้ง 4 ของจูลู่ฉีจนขาดออกจากตัวราวดึงถอนต้นหญ้า…

 

“เจ้า…เจ้าไม่ต้องการเคล็ดความบทสุดท้ายของเคล็ดมารกลืนหยินแล้วรึไร!?!”

 

เสียงผ่านสำนึกเทวะของฉีจิ้งตอนนี้กลายเป็นวุ่นวายร้อนรนหนักหนาแล้ว

 

ถึงแม้ว่าวิญญาณของฉีจิ้งจะยังไม่ได้ผสานเข้าร่างทำให้ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด แต่ด้วยสำนึกเทวะไหนเลยมันยังไม่ทราบว่าแขนขาของมันถูกตัดขาดไปแล้ว

 

“ภายภาคหน้าข้าคิดดูดซับไอพลังจันทรา ตามเคล็ดมารกลืนหยินฉบับดั้งเดิม…เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้ายังต้องการเคล็ดความบทสุดท้ายอีกหรือไม่?”

 

จูลู่ฉีกล่าวออกเสียงเรียบ ขณะที่คล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงสะบัดมืออีกครั้งป่นทำลายแขนขาที่กระชากขาดจนกลายเป็นละอองโลหิต…

 

สุดท้ายฉีจิ้งก็ทำได้แค่ร่ำร้องออกมาอย่างสิ้นหวังในใจ แน่นอนว่าจูลู่ฉีก็ไม่คิดจะปล่อยให้มันนอนอยู่เช่นนี้ ยังใช้พลังหอบหิ้วร่างคนที่คล้ายตอไม้มุ่งหน้าไปยังถ้ำที่มันได้ตระเตรียมเอาไว้เนิ่นนานแล้วทันที…

 

มันโยนร่างไร้แขนขาของฉีจิ้งเข้าไปไว้ในส่วนลึกสุดของถ้ำ ก่อนที่จะปิดผนึกถ้ำเอาไว้อย่างดี ไม่อาจมีใครล่วงรู้ได้เลยว่าลึกลงไปใต้หุบเขาแห่งนี้กลับมีร่างอนาถาหนึ่งถูกทิ้งเอาไว้

 

อีกทั้งวิญญาณของฉีจิ้งที่แต่เดิมใกล้ฟื้นฟูสมบูรณ์แล้ว ก็ถูกจูลู่ฉีฝังไอมารขุมหนึ่งเอาไว้ ซึ่งไอมารขุมนี้สามารถกัดเซาะวิญญาณของฉีจิ้งได้ หากแต่อานุภาพไม่ร้ายแรงถึงขั้นทำลายดับสูญ…เพียงทำให้ดวงวิญญาณของฉีจิ้งไม่อาจฟื้นตัวได้สมบูรณ์ไปตลอดกาล…

 

เพราะคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า จูลู่ฉีจึงไม่อาจฆ่าฉีจิ้งได้…เช่นนั้นมันก็ทำได้แค่นี้ ให้ฉีจิ้งตกอยู่ในสภาพคนไม่ใช่ผีไม่เชิงไปจนกว่าร่างกายของมันจะสิ้นอายุขัย…

 

“ท่านจ้าวตำหนัก…แม้ข้าจะไม่อาจฆ่ามันเพราะข้าได้กล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เอาไว้แล้ว แต่มันก็ไม่มีวันสร้างปัญหาอันใดให้กับตำหนักฟ้าลี้ลับได้อีกต่อไป! นี่เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ข้าจักมอบให้ตำหนักฟ้าลี้ลับได้ ก่อนที่ข้าจะลาจากภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้…”

 

หลังจากจัดการเก็บกวาดหลักฐานทำลายร่องรอยทุกอย่างแล้ว จูลู่ฉีก็เหินร่างขึ้นมาบนฟ้า มันหันไปมองขอบฟ้าทิศทางที่ตั้งตำหนักฟ้าลี้ลับด้วยสายตาซับซ้อนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

 

กล่าวจบคำมันก็เหินร่างมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปด้วยความเร็วสูง

 

มันได้วางแผนไว้เรียบร้อยแล้วก่อนจะลงมือฆ่าเฝิงปู่อี้

 

เมื่อมันฆ่าเฝิงปู่อี้ได้แล้ว มันจะกำจัดภัยคุกคามจากฉีจิ้งที่จะมีต่อตำหนักฟ้าลี้ลับจนสิ้นซาก และออกจากภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ไปยังภูมิภาคเบื้องบน

 

มันไปภูมิภาคเบื้องบน เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่!

 

ด้วยเคล็ดวิชามารกลืนหยินฉบับดั้งเดิม มันเชื่อว่ามันสามารถสร้างหนทางให้ตัวเองก้าวเดินต่อไปได้ แม้จะไม่ต้องใช้ทางลัดอันใด…

 

จังหวะนี้มันยังสัมผัสได้ถึงเลือดที่เคยไหลเวียนอย่างสงบทั่วร่างชรา พลันหวนกลับมาสูบฉีดแล่นพล่านเต็มไปด้วยความฮึกเหิมคึกคักอีกครา ราวกับได้ย้อนกลับไปครั้งยังหนุ่มแน่นเปี่ยมล้นไปด้วยความฝันและกำลังใจ…

 

“หืม?”

 

หลังจากเร่งรุดเดินทางไปไม่กี่วัน จูลู่ฉีที่มุ่งหน้าขึ้นเหนือด้วยคิดออกจากภูมิภาคเบื้องล่าง พลันแลเห็นเงาหลังไวๆเบื้องหน้าที่คุ้นๆในสายตา…

 

“เป็นพวกมัน! พวกมัน…คิดไปที่ภูมิภาคเบื้องบนด้วยงั้นหรือ?”

 

จูลู่ฉีที่คาดเดาใดได้ กล่าวพึมพำออกมาเบาๆ

 

นั่นเพราะแผ่นหลังไวๆที่เหินนำอยู่ด้านหน้าไกลตาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นกู่ลี่ กับต้วนหลิงเทียน ที่จูลู่ฉีพึ่งเจอเมื่อไม่กี่วันก่อนนั่นเอง!

 

ฟุ่บ!

 

ด้วยความเร็วในการเหินบินที่เหนือกว่า ไม่นานจูลู่ฉีก็ไล่ทั้งคู่ทัน กระทั่งแซงไปหยุดขวางเอาไว้อีกครั้ง

 

“จ้าววังจูท่านมีอะไรงั้นหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนย่อมสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวที่ไล่หลังมาได้แต่แรก หากแต่ด้วยอีกฝ่ายไร้ซึ่งจิตมุ่งร้ายใดๆ เขาเลยไม่ได้สนใจจะบอกกู่ลี่

 

แต่เรื่องที่อยู่ๆอีกฝ่ายกลับเหินร่างแซงแล้วหยุดขวางไว้แบบนี้ ย่อมทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกไปด้วยความสงสัย

 

“อะไร…เจ้าต้องการอะไร!?”

 

เห็นจูลู่ฉีอีกครั้ง เทียบกับต้วนหลิงเทียนที่แปลกใจสงสัยทว่าหน้านิ่ง กู่ลี่ถึงกับหน้าเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวปั้นยากทันที

 

ใจมันคิดวุ่นวายไปหลายหลาก ที่ย่ำแย่ที่สุดก็คือมันคิดว่าจูลู่ฉีเสียใจที่ปล่อยมันกับต้วนหลิงเทียนไปวันก่อน และเกิดเปลี่ยนใจคิดฆ่าคนปิดปากจึงไล่ตามมาฆ่าคนเก็บงาน…

 

“ต้วนหลิงเทียน…นี่พวกเจ้าคิดไปยังภูมิภาคเบื้องบนกันหรือ?”

 

จูลู่ฉีถามออกไปตรงๆ

 

“ใช่”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ค่อยโค้งคิ้วขึ้นข้างหนึ่งกล่าวถามด้วยความแปลกใจ “หรือจ้าววังจูก็จะไปภูมิภาคเบื้องบนด้วย?”

 

“อืม”

 

จูลู่ฉีพยักหน้า “ตอนนี้ภูมิภาคเบื้องล่างไร้สิ่งใดให้ข้าอาลัยแล้ว…เช่นนั้นข้าจึงคิดไปยังภูมิภาคเบื้องบนเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ หากเจ้าสนใจพวกเราเดินทางไปด้วยกันดีหรือไม่?”

 

ต้วนหลิงเทียนได้ยินคำถามของจูลู่ฉี ก็ไม่ได้รีบร้อนตัดสินใจอะไร เพียงหันไปมองกู่ลี่ และรอให้กู่ลี่กล่าวเสนอความเห็น

 

ไม่ใช่อะไรมากไปกว่าให้ความเคารพการตัดสินใจของกู่ลี่เช่นกัน

 

เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้อยู่คนเดียว

 

หากเขาอยู่คนเดียว ย่อมไม่คิดมากอะไรเรื่องเดินทางร่วมกับจูลู่ฉี

 

เพราะสุดท้ายตอนนี้จูลู่ฉีก็ได้ล้างแค้นสำเร็จแล้ว ปมในใจคลี่คลายจึงไม่มีความคิดฝึกฝนบ่มเพาะด้วย เคล็ดมารกลืนหยินฉบับลัดอีกต่อไป ถือเป็นการกลับตัวกลับใจละทิ้งความชั่วร้ายหวนคืนสู่ครรลองคลองธรรม…

 

ดั่งคำกล่าวที่ว่า “เกเรกลับใจ เอาทองมายังไม่แลก”

(ประมานว่า คนที่กลับตัวกลับใจเป็นคนดีแล้ว มีค่ามากต่อให้เอาทองมาแลกก็ไม่ยอม…ปกติใช้กับพวกเจ้าชู้ ถ้าเลิกแล้วก็จะมีรักเดียวไปเลย แบบนี้เอาทองมาแลกผู้หญิงก็ไม่ปล่อยไป…)

 

จูลู่ฉีที่ไม่คิดก่อกรรมทำเข็ญอีกต่อไป ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รังเกียจอะไรอีก

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามความเห็นกู่ลี่แบบนี้ ย่อมทำให้กู่ลี่รู้สึกตื้นตันในใจไม่น้อย

 

“น้องหลิงเทียน เจ้าตัดสินใจเถอะ ข้าแล้วแต่เจ้า…”

 

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายกู่ลี่ก็ยกมอบการตัดสินใจครั้งนี้ให้ต้วนหลิงเทียน

 

“จ้าววังจู เช่นนั้นพวกเราคงต้องร่วมทางกันแล้ว…”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบจูลู่ฉีไปด้วยรอยยิ้ม อันที่จริงในใจเขาก็ยินดีไม่น้อย

 

สุดท้ายแล้วหากเขาไปยังภูมิภาคเบื้องบนด้วยตัวคนเดียว เขาก็เป็นดั่งหัวเดียวกระเทียมลีบ ไร้ที่พึ่งพิงทุกสิ่งเริ่มต้นจากศูนย์…

 

แต่หากเขามีสหายและพวกพ้องอันดีตั้งแต่แรก เรื่องราวย่อมแตกต่างออกไปแล้ว

 

อย่างน้อยหนทางเบื้องหน้าก็ราบรื่นขึ้นไม่น้อย

 

ขณะเดียวกันทางด้านกู่ลี่นั้น แม้ไม่คิดคัดค้านอะไร แต่ในแววตาก็เผยความระแวงจูลู่ฉีอยู่ไม่น้อย

 

จูลู่ฉีเองก็ย่อมสังเกตเห็นเรื้องนี้เป็นธรรมดา แต่มันก็ทำเฉยคล้ายไม่สนใจ

 

แน่นอนว่าผิวเผินไม่สนใจ หากแต่ลึกลงไปข้างในใจกลับเจ็บปวดนัก…

 

หากเทียบกับต้วนหลิงเทียนแล้ว ตอนที่มันอยู่ในวังนภาของตำหนักฟ้าลี้ลับ มันสนิทสนมกับกู่ลี่ไม่น้อย ความสัมพันธ์เรียกว่าดีเลยทีเดียว

 

คนแรกจะอย่างไรก็แค่ศิษย์วังนภา แต่คนหลังนั้นกล่าวไปยังเป็นเหมือนหลานชายของมันด้วยซ้ำ!!

 

ทั้ง 3 เดินทางไปด้วยกันพักหนึ่ง ก็มาถึงบริเวณใกล้ๆกับหนทางมุ่งสูภูมิภาคเบื้องบน

 

ตอนนี้เบื้องหน้าของทั้ง 3 ปรากฏภูเขาหิมะลูกใหญ่มหึมาตั้งตระหง่าน

 

ด้วยความที่ภูมิประเทศแถวนี้ถูกหิมะปกคลุมไปตลอดทั้งปีจึงค่อนข้างหนาวเย็นนัก แถมตอนนี้ก็ยังมีพายุหิมะโหมกระหน่ำไม่หยุด ทัศนวิสัยค่อนข้างต่ำ จำต้องพึ่งสำนึกเทวะสำรวจที่ทาง

 

“อาวุโสหลิว!”

 

เมื่อเหินร่างขึ้นมาถึงยอดภูเขาหิมะ ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นผู้สังเกตการณ์ที่เฝ้าอยู่ ไม่ใช่ใครอื่นเป็นอาวุโสหลิวที่เขาเคยเจอในตำหนักเมฆาคราม

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวทักไป ชายชราพอแลเห็น ก็จดจำได้ทันทีว่าชายหนุ่มีท่กล่าวทักทายตัวก็คือนาน้อยตำหนักเมฆาคราม บุตรชายของจ้าวตำหนักเมฆาครามต้วนหรูเฟิง

 

“พวกเจ้าคิดไปภูมิภาคเบื้องบนกันรึ?”

 

ชายชราแซ่หลิวกล่าวถาม

 

“ใช่”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ “อาวุโสหลิวถึงแม้พวกเราจะรู้ว่าหนทางมุ่งหน้าสู่ภูมิภาคเบื้องบนอยู่แถวนี้…แต่พวกเราหามานานแล้วก็ยังไม่พบ…รบกวนท่านแนะนำพวกเราหน่อยได้หรือไม่?”

 

“ไม่มีปัญหา มากับข้า”

 

ว่ายตามองจูลู่ฉีกับกู่ลี่รอบหนึ่ง อาวุโสหลิวก็พยักหน้าตอบต้วนหลิงเทียน

 

ขณะเดียวกันมันก็เหินร่างขึ้นฟ้า นำต้วนหลิงเทียนและคนอื่นไปยังจุดหนึ่งของภูเขาหิมะ

 

ตอนนี้บนยอดเขามีพายุโหมกระหน่ำรุนแรงนัก

 

ซัวว!!

 

ภายใต้สายตาของต้วนหลิงเทียน อาวุโสหลิวพลันยกมือขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน มวลพลังยิ่งใหญ่สุดไพศาลขุมหนึ่งผนึกควบรวมอยู่ในมือ!

 

และทันทีที่อาวุโสหลิวสะบัดมือออกไป ก็ปรากฏพลังไร้สภาพไม่อาจมองเห็นขุมใหญ่ พุ่งพัดออกไปปานไม้กวาด ปาดหิมะออกไปเป็นทาง เผยให้เห็นถ้ำหนึ่งที่ถูกหิมะปกคลุมอยู่…

 

มองไปภายในถ้ำ มีแต่ความมืดดำไม่อาจแลเห็นสิ่งใดได้!

 

“เอ่อ…นี่น่ะหรือช่องทางนำไปสู่ภูมิภาคเบื้องบน?”

 

กู่ลี่รู้สึกผิดหวังไม่น้อย เมื่อเห็นว่าทางไปยังภูมิภาคเบื้องบนกลับเป็นแค่ถ้ำๆหนึ่งแบบนี้…