หลังฉินอวี้กลับมาถึงวังหลัง พบเซี่ยฟางหวาก็ขมวดคิ้วตำหนิด้วยความไม่พอใจ “ก่อนเหยียนเฉินไปได้ย้ำนักย้ำหนากับข้าว่าให้จับตามองเจ้าให้ดี เจ้ากลับไม่ฟัง ทั้งยังใช้วิชาภูตผี หรือว่าอยากให้ร่างกายตัวเองไร้ประโยชน์จริงๆ”
“เจ้ามาไวนัก” เซี่ยฟางหวามองเขาด้วยความจนใจ
“เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะส่งจดหมายให้เหยียนเฉินตอนนี้ มีแต่เขาที่คุมเจ้าได้ใช่หรือไม่” ฉินอวี้มองนางด้วยหน้าเคร่งขรึม
เซี่ยฟางหวากลอกตา “เจ้าขู่เด็กหรืออย่างไร ข้ากลัวเหยียนเฉินบ้างก็เท่านั้น แต่มิได้ไม่เชื่อฟัง” พูดจบ นางก็ผ่อนน้ำเสียงลง “แค่เล็กน้อยเท่านั้น ข้าไม่มีวิธีการอื่นแล้วจริงๆ จึงใช้วิชาภูตผี หนอนจงเลือดตัวนี้มีเพียงวิชาภูตผีเท่านั้นที่ล่อมันออกมาได้ ข้ารับรองว่าจากนี้จะไม่ใช้มันอีกแล้ว”
“คำรับปากของเจ้าเชื่อได้หรือไม่” ฉินอวี้ยังคงไม่พอใจ แสดงหน้าขึงตึง
“เชื่อได้” เซี่ยฟางหวายื่นมือออกมา “ถ้ามิอย่างนั้นก็ตบมือสัญญา”
“ช่างเถอะ อย่างไรก็เป็นร่างกายเจ้า ถึงแม้ข้ากับเจ้าตบมือสัญญากัน แต่หากเจ้าคิดจะเปลี่ยนใจ ข้าเองก็ทำอันใดเจ้ามิได้” ฉินอวี้โบกมือ “ครั้งหน้ามิได้แล้วนะ”
“ครั้งหน้ามิได้แล้ว” เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม
น้อยครั้งที่ฉินอวี้จะเห็นนางยอมแพ้แบบนี้ สีหน้าจึงดีขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามนาง “หนอนเลือดเล่า ขอข้าดูหน่อย”
“ให้เจ้าดูมิได้ หากเปิดฝาออกมันก็จะรีบพุ่งตัวออกมา ข้าต้องใช้วิชาภูตผีเพื่อล่อมันเข้าไปข้างในใหม่อีกครั้ง” เซี่ยฟางหวาผายมือ
“เช่นนั้นก็ช่างเถอะ” ฉินอวี้ล้มเลิกความคิด เอ่ยถามนาง “หนอนตัวนี้ เจ้าคิดจะทำอันใดกับมัน”
“บอกแล้วมิใช่หรือ รอคนมารับมันกลับ ของสำคัญขนาดนี้ต้องมีคนมาเอาคืนแน่” เซี่ยฟางหวาตอบ
ฉินอวี้พยักหน้า ยังคงเป็นห่วงร่างกายนาง “ร่างกายเจ้าไม่มีปัญหาจริงหรือ”
“ไม่มีปัญหา ข้าเป็นหมอนะ” เซี่ยฟางหวากล่าวด้วยความปวดหัว “เจ้าเป็นฮ่องเต้ มีหลายเรื่องให้จับตามองทุกวัน ไม่ต้องคอยแต่จับตามองข้าได้หรือไม่”
“หากเจ้าเชื่อฟัง ข้าไหนเลยต้องลำบากจับตามองเจ้า” ฉินอวี้เองก็จนใจ
เซี่ยฟางหวายิ้มขำมองเขา ก่อนยกมือไล่ “เจ้ากลับไปทำงานต่อเถอะ ตรงนี้ไม่มีปัญหาใดแล้ว” พูดจบ นางนึกบางสิ่งขึ้นได้จึงกล่าวต่อ “จริงสิ ปล่อยข่าวออกไปด้วยว่าหาหลานชายจวนอวี้เชียนอ๋องเจอแล้ว เขาล้มป่วย แต่ได้ข้ารักษาให้หายดีแล้ว”
ฉินอวี้เข้าใจจุดประสงค์ พยักหน้ารับ เห็นว่านางไม่มีปัญหาแล้วก็กลับไปด้วยความโล่งใจ
เสี่ยวเฉวียนจื่อพาฉินหวนกลับมาส่งที่จวนอวี้เชียนอ๋อง ทำเอาอวี้เชียนอ๋อง พระชายา ฮูหยินฉินอี้ และฉินเพ่ยต่างตกใจโดยพลัน
ทุกคนพากันออกมาต้อนรับ
ฮูหยินฉินอี้ได้พบฉินหวนแล้วก็ร้องไห้พลางก้าวขึ้นมา ดึงบุตรชายเข้ามากอด ฉินหวนส่งเสียงเรียกแม่ด้วยความดีใจ
ใบหน้าเล็กๆ ของฉินหวนมีเลือดฝาด สีหน้าดูดีอย่างยิ่ง ไหนเลยจะอ่อนแอป่วยเป็นโรคเหมือนตอนมีหนอนจงอยู่ในกายและถูกคนควบคุมไว้
อวี้เชียนอ๋องกับพระชายามองหน้ากัน ก่อนก้าวขึ้นมากล่าวขอบคุณเสี่ยวเฉวียนจื่อ
“ข้ามิคู่ควรกับคำขอบคุณของท่านอ๋องและพระชายา ฝ่าบาทกับคุณหนูฟางหวาเป็นคนหาคุณชายน้อยจนพบแล้วนำกลับมา อาการป่วยของคุณชายน้อยก็ได้คุณหนูฟางหวารักษาให้หายดี หากท่านอ๋องกับพระชายาจะขอบคุณก็เข้าวังไปขอบคุณเถิด” เสี่ยวเฉวียนจื่อโบกมือกล่าว
อวี้เชียนอ๋องพยักหน้ารัว “ประเดี๋ยวข้าจะเข้าวังไปขอบคุณทีหลัง” พูดจบก็ให้พ่อบ้านตกรางวัลให้เสี่ยวเฉวียนจื่อ
เสี่ยวเฉวียนจื่อเองก็มิได้ปฏิเสธ รับรางวัลแล้วกลับจวนไป
พระชายาอวี้เชียนอ๋องเห็นเสี่ยวเฉวียนจื่อกลับไปแล้ว จึงดึงอวี้เชียนอ๋องมากระซิบถามด้วยความกังวล “ท่านอ๋อง ตอนนี้เด็กถูกนำตัวกลับมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ หากผู้อยู่เบื้องหลังทำกับเรา…”
“เหลวไหล” อวี้เชียนอ๋องสะบัดแขนเสื้อ ถลึงตาใส่นาง “ในเมื่อฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ แสดงว่าย่อมมีแผนการอยู่แล้ว เจ้ามิต้องออกความเห็น จะได้มิทำร้ายครอบครัวเราอีก”
พระชายาอวี้เชียนอ๋องพยักหน้าด้วยความน้อยใจ
อวี้เชียนอ๋องรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็รีบเข้าวังไปกล่าวขอบคุณ
ครั้งนี้ฉินอวี้มิได้ทำให้อวี้เชียนอ๋องลำบากใจแต่อย่างใด เพียงแต่ย้ำเขาว่าหากมีคนมาคุกคามอีก ต้องทระนงตนเข้าไว้ ในเมื่ออยู่ในเมืองหลวงแล้ว ตนย่อมมิปล่อยให้จวนอวี้เชียนอ๋องเกิดเรื่อง
อวี้เชียนอ๋องรีบพยักหน้า ก่อนออกจากวังไปด้วยความสบายใจ
วันเดียวกันนั้น กระแสข่าวจวนอวี้เชียนอ๋องหาตัวหลานชายพบแล้ว รวมถึงเซี่ยฟางหวารักษาอาการป่วยให้เด็กจนหายดีก็เผยแพร่ไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว
พริบตาก็ผ่านไปสิบวัน ในเมืองสงบสุขอย่างยิ่ง นอกจากกรมพิธีการที่มัวยุ่งกับการเตรียมพระราชพิธีราชาภิเษกให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ กับหลี่มู่ชิง เยี่ยนถิง และชุยอี้จือเตรียมเรื่องการทหารแล้ว ทั้งภายในและนอกเมืองก็ปราศจากการเคลื่อนไหวใด
ตั้งแต่เหยียนเฉินออกจากเมืองก็มิส่งข่าวกลับมาอีกเลย
สายลับที่ฉินอวี้ส่งออกไปก็ไร้ข่าวคราวเช่นกัน
ในเมืองหลวงสงบเกินไปมาก
สิบวันให้หลัง เอกสารราชการด่วนของเซี่ยม่อหานก็ถูกส่งมาจากพรมแดนม่อเป่ย รายงานว่าองค์ชายรองฉีเหยียนชิงแห่งเป่ยฉีกลับไปยังเมืองหลวงกะทันหัน สงครามที่พรมแดนจึงหยุดชะงักไว้ชั่วคราว
หลังเอกสารราชการมาถึง เหล่าขุนนางพากันคาดเดาว่าเกิดอันใดขึ้นกับเมืองหลวงเป่ยฉีกันแน่ เหตุใดฉีเหยียนชิงถึงจากพรมแดนเป่ยฉีไป แต่สำหรับสถานการณ์ของหนานฉินตอนนี้แล้ว การเขาไปจากพรมแดนย่อมเป็นเรื่องดี จะได้ต่อเวลาให้หนานฉินได้เตรียมความพร้อม
สามวันให้หลังก็เป็นฤกษ์งามยามดีที่ฉินอวี้จะราชาภิเษก
ระหว่างนี้ไม่มีข่าวคราวของฉินเฉิงเลย
พระชายาอิงชินอ๋องเห็นว่ากำหนดเวลาใกล้เข้ามาแล้วจึงร้อนรนอยู่ในจวนจนแทบทนมิไหว ทว่าก็จนปัญญาแล้วเช่นกัน จนถึงป่านนี้คนที่นางส่งออกไปก็ยังมิส่งข่าวกลับมา ตอนนี้ฉินเจิงอยู่ที่ใดกันแน่ก็มิทราบ
อิงชินอ๋องเกิดมาในราชวงศ์ ทั้งอยู่ในราชสำนักอย่างมั่นคงมาหลายปี ย่อมต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสถานการณ์การเมืองอย่างรวดเร็ว เขามิได้มัวสนใจเพียงเรื่องการสมรสของฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเหมือนพระชายาอิงชินอ๋อง หากแต่ค่อนข้างเป็นกังวลกับสถานการณ์ราชสำนัก
หนานฉินในตอนนี้สงบสุขเกินไปในสายตาของเขา
สงบสุขเสียจนชวนให้รู้สึกพร่ามัวว่านี่คือยุครุ่งเรืองอย่างแท้จริง
หลายเดือนก่อนเกิดเรื่องติดต่อกันทั้งภายในและนอกเมืองหลวง มิหนำซ้ำพรมแดนยังมีการระดมกำลัง สิ่งเหล่านี้ราวกับกลายเป็นหมอกควันลอยผ่านไปแล้วก็มิปาน ชวนให้ผู้คนรู้สึกว่าเมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ราชาภิเษก สถานการณ์ต้อนรับก็มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองแล้ว
ทว่าเขาที่มีสติตื่นรู้ตลอดเวลาทราบดีกว่า เบื้องหลังความสงบเป็นความประพฤติมิชอบและเรื่องยุ่งยากมากมายที่อดีตฮ่องเต้ทรงเหลือทิ้งไว้ แต่มิได้ขุดรากถอนโคลนและกวาดล้างอย่างหมดสิ้น ไฉนเลยจะสงบราบรื่นเป็นยุคที่รุ่งเรืองได้
ดังนั้น ความสงบเกินไปในตอนนี้เป็นเพียงกระจกที่พร้อมจะแตกได้ทุกเวลา หากแตกเป็นเสี่ยงเมื่อไร บางทีอาจนำมาซึ่งคลื่นยักษ์เทียมฟ้าก็เป็นได้
ขุนนางตำแหน่งสำคัญเหมือนกับอิงชินอ๋องอย่างเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา หย่งคังโหว ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักวิชาขั้นสูงฮั่นหลิน และผู้ตรวจการต่างรู้สึกเช่นกันว่า ความสงบสุขในเมืองนั้นผิดปกติ
หลายวันนี้หลี่มู่ชิง เยี่ยนถิง และชุยอี้จือเตรียมการทหารและการเกณฑ์ทหารได้คืบหน้าไปมากแล้ว
สามวันผ่านไปเพียงชั่วพริบตา
วันนี้เป็นวันราชาภิเษกของฉินอวี้
พลบค่ำมีฝนตกปรอยลงมาทั้งคืน กำแพงวังและเมืองหลวงทุกหนแห่งถูกสายฝนชะล้าจนสะอาด เมื่อตื่นมายามรุ่งสาง ความหอมเย็นสดชื่นจากไอดินก็คลุ้งลอยในอากาศ
ในวันนี้ประตูเมืองเก้าทิศล้วนโยกย้ายกำลังทหารมาเฝ้าประจำการ ภายในวังหลวงเองก็มีทหารองครักษ์คอยอารักษาอย่างแน่นหนาเพื่อมิให้เกิดความวุ่นวาย
ฉินอวี้ให้ขันทีฝ่ายในนำชุดพิธีการของฮองเฮามาให้เซี่ยฟางหวาตั้งแต่เช้า
ชุดพิธีการงดงามอย่างยิ่ง สว่างไสวเรืองรองโดดเด่น ฉินอวี้ยังให้คนปรับแก้ใหม่เล็กน้อยอย่างตั้งใจโดยยังคงพื้นฐานการเย็บปักแบบดั้งเดิม นกเฟิ่งหวงกระพือปีกโบยบิน อาบเปลวเพิงบินฉวัดเฉวียนสู่สวรรค์ชั้นเก้า ราวมีชีวิตสมจริง
ฉินอวี้สวมเสื้อคลุมลายมังกรของจักรพรรดิที่ตัดเย็บใหม่เอี่ยม เดินมาหาเซี่ยฟางหวาแล้วเอ่ยกับนางด้วยเสียงอบอุ่น “เริ่มด้วยพิธีเถลิงราชย์ก่อน ตามมาด้วยประกาศนิรโทษกรรมแก่ใต้หล้า แล้วประกาศใช้พระราชกฤษฎีการาชาภิเษก พิธีรับตราราชลัญจกรหยก และเหล่าขุนนางแสดงความยินดีก็เป็นอันเสร็จสิ้น ถึงจะเริ่มพิธีแต่งตั้งฮองเฮา แต่ด้านหน้ามีขั้นตอนซับซ้อนอย่างยิ่ง คงใช้เวลาเกินครึ่งวัน เจ้าพักผ่อนที่นี่ก่อน เมื่อพิธีการใกล้จบลงแล้ว ข้าจะให้คนมาตามเจ้าเข้าราชสำนัก”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าเชื่องช้า
ฉินอวี้มองนางด้วยแววตาตั้งใจ ผ่านไปพักหนึ่งก็ก้าวขึ้นมา กุมมือนางไว้แล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ฟางหวา หากแต่งตั้งฮองเฮาในวันราชาภิเษกได้ราบรื่น เจ้าก็จะเป็นฮองเฮาที่แท้จริงของข้าใช่ไหม”
เซี่ยฟางหวาเหลือบมองเขา
ฉินอวี้สบตามองนาง เอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “กุมมือกันไปจนแก่เฒ่า ไม่ขอถึงร้อยปี ขอเพียงเจ้ากับข้ามีกันไปตลอดชีวิต ข้าเป็นฮ่องเต้ เจ้าเป็นฮองเฮา แผ่นดินหนานฉินจะเป็นยุคที่เจริญรุ่งเรืองสงบสุขอย่างแท้จริง เท่านี้ก็มิเสียดายที่เกิดมาครั้งหนึ่งแล้ว”
เซี่ยฟางหวามองเห็นความจริงใจ ความตรงไปตรงมา ความใสสะอาดในแววตาของเขา ใบหน้านางคล้ายพร่ามัวไปพักหนึ่ง ทว่าเพียงชั่วพริบตาก็ถอนมือออกมา กล่าวกับเขาว่า “หากวันนี้ผ่านไปได้อย่างราบรื่นจริง ข้าค่อยตอบรับเจ้าก็ใช่ว่าจะทำมิได้”
“จริงหรือ” ฉินอวี้แย้มยิ้ม
“ถึงมิใช่บัณฑิตก็พูดจาน่าเชื่อถือได้” เซี่ยฟางหวาตอบ
ฉินอวี้ผงกศีรษะ ก้าวขึ้นมากอดนาง “ที่ศาลเฒ่าจันทราในเมืองผิงหยาง ข้าเคยเขียนชื่อของเจ้ากับข้าลงบนผืนผ้าสีแดง แล้วให้เยว่ลั่วใช้เชือกนำไปผูกบนต้นไหว เทพเจ้าต้นไหวมีมากว่าพันปีแล้ว สร้างวาสนาไปมิน้อย ข้าเพียงอธิษฐานว่าเมื่อถึงคราวของข้าจะบันดาลให้เป็นจริงสักครั้งก็ยังดี”
เซี่ยฟางหวาชะงัก
ฉินอวี้กอดนางแน่นราวกับให้จมลงในอ้อมอก ผ่านไปพักหนึ่งก็ค่อยๆ ผละมือออก ปล่อยกายนาง แล้วเอ่ยเสียงเบา “เยว่ลั่วไม่เข้าใจกับการกระทำนี้ของข้า บอกว่าใต้หล้ายังมีสตรีอีกหลายล้านคน เห็นชัดว่าเจ้ามิได้มีใจให้ข้า เข้าขั้นรังเกียจด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดข้าถึงยังเอาใจไปผูกติดกับเจ้า ตอนนั้นข้าบอกเขาว่า ข้ามิได้รู้จักเจ้าช้าไปกว่าฉินเจิง เพียงแต่สวรรค์เล่นตลกกับมนุษย์เท่านั้นเอง”
เซี่ยฟางหวาเม้มปาก
ฉินอวี้ยกมือจัดทรงผมให้แก่นางอย่างเบามือ ก่อนเอ่ยด้วยความอ่อนโยน “ข้าเพียงหวังว่าวันนี้จะผ่านไปด้วยดี หากต้องใช้ชีวิตข้ามาแลกก็ยินดี”
เซี่ยฟางหวาย่นหัวคิ้วทันที “พูดจาเหลวไหลอันใด” พูดจบก็เร่งเร้า “รีบไปได้แล้ว”
ฉินอวี้แย้มยิ้ม พยักหน้า ก่อนหมุนตัวออกจากตำหนัก
เซี่ยฟางหวามองเขาที่ถูกทหารกองเกียรติยศตามประกบเป็นกลุ่มออกไป ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า วันที่นางได้พบฉินอวี้ที่ศาลเฒ่าจันทราในเมืองผิงหยางนั้น ฉินอวี้สวมอาภรณ์สีม่วงอ่อน ทับด้วยเสื้อคลุมสีแดงเลือดนกผืนบาง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยอากัปกิริยาสุภาพอ่อนโยน มีเชือกแพรบนชายคาพลิ้วไหว เมื่อลมพัดมาก็ปัดป่ายโดนใบหน้าดุจหยกของเขา…