ตอนที่ 85 - 2 ต้องการข้าหรือไม่?

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

เส้นทางสั้นๆ ระยะหนึ่งนี้ นางเองรู้สึกว่าเดินอย่างมีเกียรติศักดิ์มากกว่าพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จคราวนั้นมากนัก

 

 

หมอกระตือรือร้นจนแทบจะตื่นเต้น มือที่ถือผงยาไว้ยังสั่นเทา ทายารักษาแผลจากโลหะที่ดีที่สุดให้นางชั้นแล้วชั้นเล่า พันบาดแผลที่ไม่ใหญ่มากของนางจนกลายเป็นหัวผักกาด ซ้ำยังจะมอบโสมร้อยปีที่ล้ำค่าที่สุดในร้านแด่นางให้ได้ เอ่ยว่าให้นางบำรุงร่างกายสักหน่อย

 

 

จิ่งเหิงปัวกลั้นหัวเราะบ่ายเบี่ยง แสดงท่าทางว่าหากตนเองบำรุงเข้าไปอีกเลือดกำเดาคงต้องไหลออกมาแล้ว เมื่อหันกายก็มองเห็นเบื้องหน้ามีมือมากมายหลายคู่ยื่นเข้ามา ตรงหน้ามีสายตาเปล่งประกายระยิบระยับนับไม่ถ้วน

 

 

บางคนมอบขนมอบที่ตนเองทำมาให้ บางคนมอบสินค้าพื้นเมืองจากชนบทมาให้ บางคนมอบเครื่องปรุงยาจีนที่ขุดมาจากบนภูเขาให้ แม้กระทั่งยังมีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งหิ้วไก่พื้นเมือง ‘ที่ดีที่สุดในตี้เกอ’ ของตนเองมามอบให้นาง

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่รังเกียจเลยแม้แต่น้อย นางยิ้มแย้มรับของขวัญหลายต่อหลายครั้ง สองมือของอวี่ชุนและเหล่าลูกน้องเต็มไปด้วยสิ่งของอย่างรวดเร็ว อวี่ชุนที่หิ้วแม่ไก่แก่ร้องกะต๊ากๆ เริ่มครุ่นคิดถึงความจำเป็นในการลาออกจากตำแหน่งอีกครั้ง

 

 

หลังจากคุยเล่นกับราษฎรที่มีน้ำใจไมตรีสักพัก จิ่งเหิงปัวก็เดินออกจากประตู ที่ปากประตูมีคนสวมชุดผ้าไหมยืนอยู่แถวหนึ่งอย่างพร้อมเพรียง

 

 

พอมองแล้วก็รู้ว่าเป็นเจ้าของร้านค้าบริเวณนี้

 

 

เหล่าเจ้าของร้านได้ยินว่าราชินีเสด็จจึงรีบพากันมาแสดงตนว่าเลื่อมใสศรัทธาต่อราชินี ซ้ำยังทูลเชิญฝ่าบาทเสด็จไปเยี่ยมชมร้านของตนเองด้วยน้ำใจไมตรีที่เปี่ยมล้น

 

 

จิ่งเหิงปัวที่อารมณ์ดีอย่างยิ่งจึงไปเยี่ยมชมทุกร้าน ซ้ำยังเสนอคำแนะนำเล็กน้อยให้ร้านค้าที่จำหน่ายข้าวของเครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงบางร้าน

 

 

เหล่าเจ้าของร้านติดตามข้างหลังนางอย่างเคารพเลื่อมใส หยิบพู่กันจดบันทึกด้วยตนเอง ยกน้ำชารินน้ำปรนนิบัติอย่างกระตือรือร้น รอให้นางเดินออกมานอกร้าน ผ้าไหมชั้นดีที่ “ถวายให้ฝ่าบาทเชยชม” ก็กองเต็มรถม้าไปเนิ่นนานแล้ว เหล่าเจ้าของร้านติดตามรถม้าอย่างกระตือรือร้น ขอร้องให้ฝ่าบาทเสด็จมาร่วมสนุกสนานกับราษฎรบ่อยครั้ง

 

 

จิ่งเหิงปัวเพียงแค่ยิ้มแย้ม เดาได้ว่าวันพรุ่งนี้พวกเจ้าของร้านเหล่านั้นส่วนใหญ่คงต้องจัดทำโฆษณาประเภท ‘ราชินีทรงเลือกสรร ราชสำนักลิ้มลอง’ มาชักชวนลูกค้าเพื่อกระตุ้นการค้าขาย

 

 

จื่อหรุ่ยไม่พอใจอยู่บ้าง คิดว่านางให้โอกาสเศรษฐีเงินถังพวกนี้มากเกินไป แต่จิ่งเหิงปัวกลับไม่ถือสา เรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ แล้วเหตุใดต้องจริงจังขนาดนั้นกัน?

 

 

“ให้ผู้อื่นอาศัยอำนาจได้ นับเป็นความโชคดีเช่นกัน” นางกล่าวอย่างนั้น

 

 

บนรถม้าเต็มไปด้วยสิ่งของ นางบอกรถม้าให้จอดตรงช่วงถนนถัดไป ก่อนจะให้อวี่ชุนแจกจ่ายสิ่งของให้ราษฎร

 

 

“สิ่งของที่ได้มาโดยมิชอบ ทุกคนมีส่วนแบ่ง” นางกล่าว

 

 

จื่อหรุ่ยหัวเราะออกมาดังพรวด แล้วเอ่ยออกมาจากใจจริงว่า “หม่อมฉันติดตามฝ่าบาท รู้สึกว่าวันนี้มีเกียรติที่สุดเพคะ”

 

 

“พวกเราสองสาวนับว่ามีความคิดของวีรสตรีคล้ายคลึงกันจริงๆ” จิ่งเหิงปัวตบไหล่ของนางพลางชื่นชมยกใหญ่ แววตาแฉลบผ่านนอกรถม้าอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะหยุดชะงักในทันที กล่าวด้วยเสียงร้อนรนว่า “จอดรถ!”

 

 

พอรถม้าจอดสนิท นางก็กระโดดลงจากรถ เงยหน้ามองสิ่งปลูกสร้างสามชั้นหน้าร้านค้าแถวยาวหลังหนึ่งเบื้องหน้า แล้วกล่าวชมไม่ขาดปาก

 

 

“ที่นี่เป็นอสังหาริมทรัพย์ของใครกัน?” นางกล่าวกับจื่อหรุ่ยที่เดินตามมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “ตั้งอยู่ใจกลางที่สุดของย่านการค้าตรอกหลิวหลี เส้นทางรอบด้านเชื่อมต่อทั่วถึงกัน หน้าร้านบนล่างเรียงเชื่อมต่อกัน เหมาะจะทำเป็นห้างสรรพสินค้าสตรีของข้าที่สุดแล้ว!”

 

 

“อาคารหลังนี้ว่างอยู่นะ” จื่อหรุ่ยเอ่ยว่า “ข้าจะไปลองถามให้ท่าน”

 

 

คนเดินถนนคนหนึ่งเดินผ่านมา โพล่งปากเอ่ยตอบว่า “ไม่ต้องถามหรอก ถามไปก็ไม่มีประโยชน์ อาคารหลังนี้เดิมทีเป็นอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลซัง ยามแรกตระกูลซังซื้อเอาไว้คิดจะทำเป็นภัตตาคาร ยังไม่ทันได้เปิดกิจการก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน อาคารหลังนี้จึงแปดเปื้อนเคราะห์ร้าย และด้วยเพราะใหญ่เกินไป แพงเกินไปจึงไม่มีคนสอบถามข่าวคราวอีก สองวันก่อนได้ยินมาว่ามีคนโง่เงินหนาซื้อเอาไว้ แต่เพิ่งซื้อไว้ก็เริ่มก่อสร้าง คงต้องมีบทบาทสำคัญเป็นแน่ พวกเจ้าก็มาช้าไปแล้ว”

 

 

จื่อหรุ่ยมีท่าทางผิดหวังเล็กน้อย แต่จิ่งเหิงปัวกลับรู้สึกสนใจขึ้นมา

 

 

“ยังมีคนสายตาดีเฉกเช่นข้าด้วยหรือ? ทว่าอาคารหลังนี้คงไม่เหมาะจะทำภัตตาคารกระมัง หน้าร้านติดถนนไม่มีหน้าต่าง ยังต้องทำหน้าต่างแถวใหญ่อีก นั่นจะเสียแรงเสียเวลามากเพียงใด ผู้ซื้อนั่นอยู่ที่ใด ข้าจะไปสนทนากับเขาสักหน่อย”

 

 

“เจ้าของอาคารนี้ลึกลับยิ่งนัก ไม่เคยพบเจอ ทว่าในห้องมีคนคุมงาน ท่านไปลองดูด้วยตนเองเถิด”

 

 

“ฝ่าบาท ระวังกับดัก” เถี่ยซิงเจ๋อไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง

 

 

จิ่งเหิงปัวส่ายหน้า นางไม่คิดว่าแบบนี้จะทำให้เกิดปัญหาอะไรขึ้นมาได้ นางมองเห็นร้านค้านี้แล้วเกิดความสนใจขึ้นมา นี่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดทั้งสิ้น และก่อนหน้านี้นางก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องห้างสรรพสินค้าสตรีกับใครก็ตามอย่างชัดเจนเช่นกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนนึกได้แล้วรอนางอยู่ที่นี่

 

 

อาคารหลังนี้นางยิ่งมองยิ่งคันยุบยิบในใจ ราวกับได้มองเห็นแบบจำลองห้างสรรพสินค้าสตรีของตนเอง ชั้นหนึ่งเป็นหน้าร้านสิ่งของเครื่องประดับ ชั้นสองเป็นศูนย์กลางเสื้อผ้าและการออกแบบ ชั้นสามเป็นสโมสรความงาม…ผู้หญิงหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่งเดินเข้าไป กลายเป็นหญิงสาวงดงามเพริศแพร้วเดินออกมา…

 

 

ภายในอาคารหลังนี้มีช่างฝีมือกำลังทาสีอยู่ เมื่อพวกเขามองเห็นมีคนเข้ามาก็ไม่มีใครสนใจ พอจิ่งเหิงปัวแหงนหน้าขึ้นมองก็เห็นเพดานที่สูงเป็นพิเศษของอาคารหลังนี้ นางกล่าวอย่างดีใจด้วยคาดไม่ถึงว่า “เพดานนี้ดี! อนาคตติดตั้งโคมระย้าผลึกแก้วรวมแสงขนาดใหญ่ได้! ขายเครื่องประดับต้องการแสงไฟที่ดีเป็นที่สุด! ส่องแสงสว่างไสว!”

 

 

มองเห็นกำแพงว่างเปล่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามในแวบเดียว ก็พุ่งเข้าไปกล่าวว่า “ตรงนี้ต้องเหลือไว้ หาหินอ่อนที่งดงามที่สุดมาออกแบบโลโก้สักชิ้น พอเข้าประตูมาก็จะเปล่งประกายจนตาบอด!”

 

 

เหล่าช่างฝีมือมองดูนาง มีบางคนเดินถอยออกไป

 

 

จิ่งเหิงปัวเดินขึ้นบันไดด้วยท่าทีสนใจไม่น้อย ตบราวบันไดไม้พุทราสลักลายแบบเก่าพลางกล่าวว่า “บันไดนี้ไม่ดี ทั้งหนาทั้งเทอะทะ ไม่สอดคล้องกับรูปแบบโดยรวม เฮ้อ ถ้าเป็นบันไดเหล็กกล้าหรือเหล็กดัดจะดีที่สุด แต่ที่นี่น่ะทำไม่ได้ ทว่าบันไดออกแบบให้ประณีตงดงามขึ้นหน่อยได้ ทำเป็นทรงเกลียวนั่นล่ะ”

 

 

เดินขึ้นไปชั้นสอง รูปแบบของชั้นสองและชั้นสามแตกต่างจากชั้นหนึ่ง ชั้นหนึ่งทะลุถึงกันทั่วทั้งชั้นแล้ว ทว่าชั้นสองยังเหลืออีกครึ่งที่ไม่ได้ทะลุถึงกัน จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างยินดีว่า “รูปแบบนี้ถูกอกถูกใจข้าจริงๆ เลย! นี่ก็ไม่ใช่ห้องโถงใหญ่กับห้องอาภรณ์ที่ออกแบบสำเร็จรูปแล้วหรือ? ทางนั้นเป็นคันฉ่องใหญ่แถวหนึ่ง วางที่นั่งแถวหนึ่ง ทำหุ่นอยู่ตรงนั้น…”

 

 

นางวิ่งขึ้นไปบนชั้นสามดังตึกๆ พอขึ้นไปก็ร้อง “ว้าว!”

 

 

พวกจื่อหรุ่ยตามความเร็วของนางไม่ทัน ยังนึกว่านางจะประสบอันตราย จึงรีบตามขึ้นไปด้วยความร้อนใจดั่งไฟแผดเผา พลันมองเห็นนางกางแขนสองข้างอยู่หน้าระเบียง น้ำตาคลอเบ้าแล้วกล่าวอย่างประทับใจเหลือเกินว่า “นี่ก็คือการออกแบบเพื่อศูนย์กลางการเสริมสวยของข้าโดยแท้เลย…”

 

 

จื่อหรุ่ยกลอกตาขาว อวี่ชุนเท้าคางถามเถี่ยซิงเจ๋อว่า “ซื่อจื่อ ท่านดูสิ องค์ราชินีทรงเป็นโรควิกลจริตแล้วใช่หรือไม่?”

 

 

เถี่ยซิงเจ๋อเอ่ยด้วยจิตใจดีงามและทุกข์ใจยิ่งนักว่า “ข้าน่ะกังวลว่าประเดี๋ยวฝ่าบาทกลับสู่ความเป็นจริงแล้วจะทรงกันแสงหรือไม่?”

 

 

“พวกเจ้าดูสิ” แววตาของจิ่งเหิงปัวเปล่งประกาย จูงจื่อหรุ่ยไว้อย่างตื่นเต้นดีใจ กล่าวว่า “ชั้นสามนี้อัศจรรย์เกินไปแล้ว แต่เดิมอยากทำประมาณห้องส่วนตัว ยามนี้ต่างแบ่งเป็นแต่ละห้องเรียบร้อยแล้ว สวรรค์ส่งมาให้เป็นของข้าโดยแท้! ตอนนี้ข้าเพียงต้องแก้ไขเล็กน้อย นั่นคือห้องเสริมสวยห้องเล็กแต่ละห้อง ฉากกั้นห้องสลักลายเหล่านี้ทำได้งดงามยิ่งนัก ไม่ต้องเปลี่ยนก็ได้ ทว่าสีสันดูล้าสมัยไปหน่อย พวกเราเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนเรียบง่ายหรือสีน้ำตาลขาวได้ สงบเงียบสว่างไสว เคียงคู่กับพืชสีเขียว พืชสีเขียววางอยู่ตรงที่ใดดีล่ะ…อืม ตรงนี้ แล้วตรงนี้ด้วย พอขึ้นบันไดมามองเห็นเลย อีกทั้งตรงนี้ ตรงนี้จัดวางตู้กระจกหลังหนึ่งพร้อมด้วยพนักงานบริการที่รูปโฉมงดงามอรชรอ้อนแอ้นที่สุดสองนาง พอก้าวเข้ามาก็เฮ้โย่โยะชิซึมนีดาแบบนั้น…อีกทั้งภายในห้องเล็กเหล่านี้” นางผลักประตูแต่ละห้องละห้องเสียงดังปึงปัง ริมฝีปากกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “เตียงเล็กขาวราวหิมะกว้างเท่าคนหนึ่งวางไว้ทางนี้ และต้องวางพืชสีเขียวสักหน่อย ดินเลนบึงโคลนหลายแห่งบำรุงความงามได้ด้วยนะ กลับไปแล้วนำหนังสือมาเปิดศึกษาพิจารณาสักหน่อย โอ้ จริงสิ…” กำปั้นนางกระแทกลงบนฝ่ามือ กล่าวว่า “อย่าลืมตัดชุดทำงานรูปแบบเดียวกันเชียวล่ะ อีกทั้งทำป้ายชื่อ…”

 

 

จื่อหรุ่ยเช็ดฝอยน้ำลายที่เกือบจะกระเซ็นมาบนใบหน้าครั้งหนึ่ง สายตาแลดูมีความทุกข์ใจยิ่งนัก

 

 

อวี่ชุนเท้าคางอยู่ เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ฟ้าสว่างแล้ว…”

 

 

“ใช่แล้วๆ แผนการของพระองค์ดียิ่งนัก” เถี่ยซิงเจ๋อก้าวขึ้นมาประคององค์ราชินีที่อยู่ในสภาพวิกลจริตไว้ เอ่ยว่า “พระองค์ทรงสำรวจเสร็จสิ้นแล้วกระมัง? พวกเราลงไปพักเท้าดีหรือไม่ อีกทั้งควรกลับวังแล้วด้วย”

 

 

“ไม่รีบร้อนๆ ข้ามามองดูว่าการรับแสงของชั้นสามนี้เป็นอย่างไร…” จิ่งเหิงปัวผลักเขาออก เดินเข้าไปภายในด้วยท่าทีสนใจไม่เบา ผลักประตูห้องห้องหนึ่งออก

 

 

ไม้กวาดใหญ่ด้ามหนึ่งเหินออกมาโดยพลัน ตรงไปยังหน้าผากนาง!

 

 

“เจ้าตะโกนเสร็จหรือยัง? ถ้าตะโกนเสร็จแล้วรีบไสหัวไป! เสียงดังจนข้านอนกลางวันไม่สงบสุขเลย!” ลูกคอปานฆ้องแตกสะเทือนแก้วหูแทบหนวก ภายในจุดสิ้นสุดของห้องเล็กมีศีรษะผมเผ้ายุ่งเหยิงโผล่พ้นออกมา หน้านิ่วคิ้วขมวด เดือดดาลในฉับพลัน ตวาดออกมาว่า “ไสหัวไป!”

 

 

“หลีกไป!” เถี่ยซิงเจ๋อวิ่งเข้าไปจูงจิ่งเหิงปัวออกมาในครั้งเดียว ก่อนตบไม้กวาดออก ละอองฝุ่นหนาเขรอะร่วงลงบนทั้งหน้าทั้งศีรษะของสองคน สองคนไอโขลกรุนแรงระลอกหนึ่ง

 

 

ไม้กวาดร่วงลงตรงเท้าของจิ่งเหิงปัวเสียงดังพลั่ก คราวนี้ถึงลากนางกลับมาจากจินตนาการเพ้อฝันได้ ดวงตานางแข็งทื่องงงวยอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงถามอย่างไม่ยอมถอดใจว่า “เถ้าแก่ของเจ้าอยู่ที่ใด? ข้าอยากคุยกับเขาสักหน่อย…”

 

 

“คุยอะไร! ที่นี่เป็นอสังหาริมทรัพย์ของเจ้านายข้า! เจ้าซื้อไหวหรือ? แม้เจ้าจะซื้อไหวแต่เจ้านายข้าก็ไม่ยอมขายให้เจ้า! ไม่ถึงมือเจ้าหรอก!” ตาแก่ที่ผมเผ้าขนคิ้วพันกันจนมองไม่ชัดเจนพุ่งออกมาจากภายในห้อง คว้าไม้กวาดขึ้นกวัดแกว่งระลอกหนึ่ง ร้องว่า “ผู้ใดอนุญาตให้พวกเจ้าเข้ามากัน? ที่นี่เป็นอสังหาริมทรัพย์ส่วนตัวเข้าใจหรือไม่ ซ้ำยังร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายรบกวนการนอนกลางวันของตาเฒ่าเช่นข้าอีก หากไม่ไสหัวไปตาเฒ่าเช่นข้าจะแจ้งทางการแล้ว! ไสหัวไปๆๆ ไสหัวไปๆๆ ไสหัวไป!”

 

 

ไม้กวาดกวัดแกว่งไร้ซึ่งลำดับขั้นตอน พอมองดูก็รู้ว่าไม่มีวรยุทธ์ ทว่าบีบบังคับให้ยอดฝีมือใหญ่หลายคนต้องร่นถอยอย่างต่อเนื่อง อวี่ชุนคว้าจิ่งเหิงปัวไว้ในครั้งเดียว ร้องว่า “เสด็จเถิดฝ่าบาท!”

 

 

อย่าทำให้ตนขายหน้าอีกได้หรือไม่!

 

 

“อ๊ะ นี่ๆ พวกเรามาคุยกันก่อน พวกเรามาคุยกันดีๆ เถิด…” จิ่งเหิงปัวดิ้นรนยื่นมือออกไป แต่ถูกอวี่ชุนหอบลงจากอาคารประหนึ่งสายลม ยังคงได้ยินเสียงตะโกนแหลมคมของนางดังก้องสะท้อนอยู่ภายในอาคารว่า “เรียก…เจ้านาย…เจ้า…มา…คุย…กัน…หน่อย…”

 

 

เสียง ฟิ้ว! ดังขึ้น อวี่ชุนหอบนางหลบหนีออกมานอกอาคารอย่างทุลักทุเลแล้ว เพิ่งเช็ดเหงื่อเพียงครั้งก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง พลันมีไม้กวาดขนาดมหึมาร่วงลงมาจากชั้นสามดัง พลั่ก! ทิ่มลงในกองโคลนเลนข้างกายพวกเขาพอดิบพอดี

 

 

บนดาดฟ้านั้น เสียงตะโกนของชายแก่ผู้เฝ้าอาคารดังก้องสะท้านตรอกหลิวหลี

 

 

“ไสหัวไป!”