บทที่ 1338 การตัดสินใจของสวีถังหราน โดย Ink Stone_Fantasy
ทว่าเหมียวอี้ก็เข้าใจชัดเจนเช่นกัน สิ่งที่เรียกว่าสอบสวนลงโทษให้พ้นจากตำแหน่งเป็นแค่การทำตบตาเท่านั้น ตัวเองอย่าได้คิดเลยว่าจะได้กลับมาที่ตลาดสวรรค์อีก หลังจากตัวเองไปแล้ว ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนจะต้องกลับไปเป็นเหมือนก่อนหน้านี้แน่นอน นี่คือปัญหาที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว ฝูชิงต้านทานความมุ่งมาดปรารถนาของร้านค้าผู้มีอำนาจมากมายขนาดนั้นไม่ไหว อาณาเขตตลาดสวรรค์แห่งนี้ ตราบใดที่ราชันสวรรค์ไม่สามารถงัดข้อชนะขุนนางในราชสำนักได้อย่างสมบูรณ์ ต่อให้คนเบื้องล่างจะทำอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ เป็นไปไม่ได้ที่ฝูชิงจะเล่นโดยใช้วิธีการเดียวกับเขา และเล่นไม่ไหวเช่นกัน
แต่จะว่าไปแล้ว สถานการณ์ของพวกฝูชิงก็เข้มแข็งกว่าตอนที่เหมียวอี้เพิ่งเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เยอะมาก ตอนนั้นคนที่ไม่มีอำนาจหนุนหลังไม่มีทางนั่งตำแหน่งนี้อย่างมั่นคงได้เลย แต่ตอนนี้กลับไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นล้ว กลับมีพวกที่มีอำนาจหนุนหลังมาดึงไปเป็นพวกด้วยซ้ำ ขอเพียงฝูชิงยอมถอยเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจเสียหาย ก็ย่อมไม่เกิดเรื่องราวใหญ่โตอะไรขึ้นอยู่แล้ว
ก็เป็นอย่างที่หยางชิ่งบอก การที่เหมียวอี้ออกจากตลาดสวรรค์ไปก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ ไม่อย่างนั้นก็จะต้องมีคนมาคิดบัญชีในปีนั้นกับเขาเข้าสักวัน เกราะป้องกันอย่างองครักษ์ฝ่ายซ้ายขวายังนับว่าแข็ง เพียงเสียดายทรัพยากรเงินทองพวกนั้น
เหมียวอี้ออกจากตลาดสวรรค์ไปอย่างเงียบๆ เขาพาเฟยหงไปด้วยกัน ถ้าอยากจะแก้ตัวให้พ้นจากความผิด ยังต้องให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายอย่างเฟยหงช่วยพูดให้สักหน่อย
หลังจากมาถึงจวนแม่ทัพภาคตงหัวแล้ว ก็เป็นอย่างที่คาดไว้ ให้จวนแม่ทัพภาคตงหัวสอบสวนเขาและจะเจออะไรได้ แม้แต่เฟยหงเองยังคิดว่าเป็นการรักใคร่กันทั้งสองฝ่าย เดิมทีไม่ควรจะมีเรื่องเหลวใหลแบบนั้น แต่ในเมื่อเบื้องบนต้องการจะเล่นงานเหมียวอี้ให้ได้ มีคำบอกเล่าของพยานเยอะเกินไปว่าเหมียวอี้บังคับขืนใจ ตอนนี้คำให้การของเฟยหงนับว่าเป็นเพียงการยอมความเท่านั้น
ระบบตลาดสวรรค์ไม่มีตำแหน่งของเหมียวอี้แล้ว หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ ตลาดสวรรค์ตรงนี้ไม่ต้องการเหมียวอี้แล้ว ราชินีสวรรค์เรียกได้ว่าถือโอกาสหาทางออกจากเรื่องนี้ อยากจะเตะเจ้าจอมก่อเรื่องคนนี้ออกไปตั้งนานแล้ว ในที่สุดก็หาโอกาสเจอแล้ว
ตลาดสวรรค์ไม่ต้องการแต่มีคนอื่นต้องการ คำสั่งโยกย้ายขององครักษ์ฝ่ายซ้ายขวาส่งมาที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวแล้ว
ขณะที่ถือคำสั่งโยกย้าย เหมียวอี้ก็วู่วามอยากจะลาออกจากการเป็นขุนนางแล้วหนีไป ทว่าคนที่เขาล่วงเกินไว้มีเยอะเกินไป ถ้าไม่มีหนังเสือนี้คลุมไว้ก็ไม่มีการคุ้มครองจากกฎหมายแล้ว จำนวนคนที่อยากเล่นงานให้เขาตายมีมากจนนับไม่ถ้วน
คำสั่งโยกย้ายอนุญาตให้เขาพาลูกน้องเก่าไปได้แค่สิบคนเท่านั้น ถ้ามากกว่านี้หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายขวาจะไม่รับไว้ ให้เวลาเขาหนึ่งเดือนเพื่อส่งต่องาน และผ่อนผันเวลาให้เขาอีกสามเดือน นับว่าเป็นเวลาสำหรับเดินทาง เมื่อรวมกันแล้วก็จำกัดเวลาให้เขาสี่เดือนในการไปที่หน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ ทัพเป่ยโต้ว กองมังกรดำที่อยู่ใต้สังกัดองครักษ์ฝ่ายซ้ายขวา เพื่อรายงานตัวกับแม่ทัพภาคเนี่ยอู๋เซี่ยว
ผู้บัญชาการองครักษ์โพ่จวินของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ผู้บัญชาการองครักษ์อู๋ฉวี่ของหน่วยองครักษ์ฝ่ายขวา เหมียวอี้เคยได้ยินชื่อมาก่อน ส่วนพวกหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ ผู้ตรวจการใหญ่อะไรพวกนั้นเขาไม่เคยได้ยินชื่อ เคยได้ยินแค่หัวหน้าภาคของทัพเป่ยโต้ว นั่นก็คือเจ้าเวรอวี่จ้งเจินนั่นเอง ส่วนแม่ทัพภาคเนี่ยอู๋เซี่ยวของกองมังกรดำที่อยู่ระดับล่างกว่านั้น ใครจะไปรู้ว่าเป็นอย่างไร ฟังจากชื่อแล้วก็เหมือนจะไม่ใช่คนดีอะไร ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนเหมียวอี้แน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก
ที่อยู่ระดับล่างกว่ากองมังกรดำก็คือธงพยัคฆ์ เหมียวอี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะได้ไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของธงพยัคฆ์กลุ่มไหน
ปี้เยว่เองก็ไม่รู้ถึงสถานการณ์ขององครักษ์ฝ่ายซ้ายขวา กองทัพองครักษ์ของตำหนักสวรรค์ไม่ได้ประจำการที่ไหนแน่นอน เพื่อรักษากำลังอันฮึกเหิมเอาไว้ แต่ไหนแต่ไรมาก็เลี้ยงทหารเอาไว้เพื่อออกรบ ราชันสวรรค์ชี้ให้ไปที่ไหนก็ต้องไปรบที่นั่น เมื่อยกทัพออกไปพบโจรผู้ร้ายก็ต้องปราบ สมาชิกในหน่วยงานเลื่อนขั้นโดยอิงจากผลงานการรบ การเปลี่ยนคนมาแทนที่ก็รวดเร็วเช่นกัน อย่าว่าแต่เนี่ยอู๋เซี่ยวเลย แม้แต่อวี่จ้งเจินเป็นใครปี้เยว่ก็ยังไม่รู้จัก นางถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทัพเป่ยโต้วที่นำโดยอวี่จ้งเจินมาประจำการอยู่ในอาณาเขตของท่านโหวเทียนหยวนตั้งแต่เมื่อไร
หลังจากคุยกับปี้เยว่อยู่นาน ไม่ว่าไห่ผิงซินจะเต็มใจหรือไม่ เหมียวอี้ก็ไม่อยากเก็บนางไว้ข้างกาย เตรียมจะทิ้งนางไว้ข้างกายปี้เยว่ เขาไม่รู้สถานการณ์ฝั่งองครักษ์ฝ่ายซ้ายชัดเจน อีกทั้งไห่ผิงซินก็เอาแต่เข้าใกล้เฟยหง เขากลัวว่าสักวันหนึ่งจะเกิดเรื่อง
ปี้เยว่เองก็ไม่วางใจที่จะให้เขาพาไห่ผิงซินไปหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายด้วย
ตอนออกจากจวนแม่ทัพภาคตงหัว เหมียวอี้ก็พาเฟยหงมาที่ดาวเทียนหยวนอีก
“ทำไมเจ้าเอาแค่ถอนหายใจอีกแล้ว?” ระหว่างทางเหมียวอี้เห็นเฟยหงถอนหายใจบ่อยๆ จึงอดไม่ได้ที่จะถาม
“เป้นข้าเองที่ทำให้นายท่านลำบาก” เฟยหงกล่าวด้วยสีหน้าขื่นขมทุกข์ใจ
ยิ่งนางเล่นละคร เหมียวอี้ก็ยิ่งรังเกียจ อยากจะง้างมือตบสักฉาด แต่ภายนอกยังคงยิ้มอย่างสบายๆ “ข้าหาเรื่องใส่ตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะข้าควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็คงไม่เกิดเรื่องเหมือนอย่างวันนี้”
ตอนที่กลับมาถึงตำหนักคุ้มเมืองดาวเทียนหยวนอีกครั้ง เหมียวอี้ก็ไม่ได้มีฐานะผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อีกแล้ว
เรื่องที่เขาโดนถอดออกจากตำแหน่งแพร่ไปทั่วตลาดสวรรค์ ทว่าพวกพ่อค้าในตลาดสวรรค์ไม่กล้าดีใจเร็วเกินไป กลับทำตัวซื่อสัตย์ยิ่งกว่าปกติด้วยซ้ำ พวกเขาไม่กล้ำเริบเสิบสานเร็วเกินไป ถ้ายังไม่แน่ใจว่าท่านนี้จะออกจากที่นี่ไปจริงๆ ถ้าหมากพลิกกระดานขึ้นมา ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่กล้าคิดถึง มีอะไรบ้างที่เจ้าบ้านั่นทำไม่ได้ อดทนมานานขนาดนี้แล้ว อดทนไปอีกสักระยะจะเป็นไรไป
นี่ก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เหมียวอี้ใช้ฐานะผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เรียกรวมผู้บัญชาการสี่เขตเมืองมาพบในตำหนักคุ้มเมือง
ตรงตำหนักด้านหลังตำหนักประชุม เฟยหงมองไปรอบๆ ย่องเข้าใกล้ประตูตำหลังแล้วเงี่ยหูตั้งใจฟัง อยากจะฟังว่าคนข้างในคุยอะไรกัน
แต่ใครจะคิดว่าด้านข้างจะมีเสียงหัวเราะที่แหบพร่าและเย็นเยียบดังมา “หรูฮูหยิน ท่านกำลังทำอะไรหรือ?”
เฟยหงตกใจทันที พอเอียงหน้าไปเห็นใบหน้ายิ้มประหลาดที่ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวของเหยียนซิว ก็ฝืนตอบอย่างใจเย็นว่า “มีเรื่องอยากจะคุยกับนายท่านสักหน่อยน่ะ”
เหยียนซิวกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “หรูหยิน ท่านไม่ได้มีฐานะเป็นขุนนาง คนข้างในกำลังคุยเรื่องงานกันอยู่ ไม่สะดวกให้ท่านไปคลุกคลีด้วย อีกประเดี๋ยวข้าจะบอกนายท่านให้” พูดจบก็ยื่นมือเชิญให้กลับ
เฟยหงพยักหน้า แล้วหันตัวจากไปแล้ว พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาอีก แต่เหยียนซิวหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
ในตำหนักประชุม เหมียวอี้ที่นั่งอยู่เบื้องสูงเอามือตบที่วางมือของบัลลังก์ผู้บัญชาการใหญ่ พลางกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ทุกท่าน ข้าได้ประโยชน์จากการส่งต่องานแล้ว สุดท้ายก็ได้นั่งตำแหน่งนี้สักครั้ง ตัดใจทิ้งไม่ลง!”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็ไม่ต่างอะไรกับการบอกให้ทุกคนรู้ว่าเขาจะไปจากที่นี่จริงๆ แล้ว
“ผู้บัญชาการใหญ่จะไปจริงเหรอ?” สวีถังหรานที่ยืนอยู่ข้างล่างถามอย่างร้อนใจ
เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน เอามือไขว้หลังเดินลงบันได ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทำตามใจตัวเองไม่ได้น่ะสิ จะไม่ไปก็ไม่ได้ แม่เฒ่าลวี่นั่นมีพลังมากเกินไป ทางตลาดสวรรค์เตะข้าออกจากตรงนี้ไปแล้ว ข้าได้รับคำสั่งโยกย้ายจากทางองครักษ์ฝ่ายซ้ายมาแล้วด้วย กำหนดให้ข้าไปรับตำแหน่งภายในสี่เดือนนี้ ยังได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่เหมือนเดิม ระดับยังไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนเรื่องส่งต่องาน ข้าได้แนะนำให้ฝูชิงเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของที่นี่แล้ว ทางแม่ทัพภาคตอบตกลงแล้วเช่นกัน ไม่น่าจะใช่ปัญหาใหญ่อะไร ฝูชิงคุ้นเคยกับสถานการณ์ดี ไม่ได้ส่งต่องานลำบากอะไร”
เหล่าภรรยาของเขาล้วนอยู่ที่นี่ ไม่ทิ้งคนของตัวเองไว้ที่นี่ไม่ได้จริงๆ ข้างบนจะมีปี้เยว่คุมอยู่ด้วย น่าจะไม่เกิดปัญหาใหญ่อะไร ทิ้งฝูชิงให้อยู่ที่นี่ อิงอู๋ตี๋ก็อยู่ในจวนแม่ทัพภาคตงหัว ปี้เยว่ตอบตกลงแล้วว่าจะให้อิงอู๋ตี๋รับตำแหน่งที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงขุดทรัพยากรมาแสนนาน คนที่จะพาไปด้วยก็มีแค่สงเวยกับหงเทียนแล้ว
เมื่อได้ยินว่าฝูชิงจะต้องอยู่ที่นี่ สวีถังหรานก็โล่งใจขึ้นบ้าง ถ้ามีฝูชิงคอยดูแลสักหน่อย เขาก็นับว่าอยู่ที่นี่ได้อย่างไม่ลำบากเกินไป อย่างมากต่อไปนี้ก็แค่ทำตัวสงบเสงี่ยม
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “องครักษ์ฝ่ายซ้ายให้ข้าส่งรายชื่อไปสิบรายชื่อ ข้าพาคนไปได้สิบคน ถ้าพวกเจ้ามีใครเต็มใจจะติดตามข้าไป ข้าก็พาไปด้วยได้”
ก่อนหน้านี้ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ทำใจไว้แล้ว เตรียมจะไปกับเหมียวอี้ แต่ก็โดนเหมียวอี้ห้ามไว้ เขาพาคนไปได้เพียงสิบคน ไม่สามารถพาพวกพี่น้องไปด้วยกันทั้งหมดได้ ถ้าสองคนนี้ไปแล้ว เหล่าพี่น้องใต้บังคับบัญชาของพวกเขาก็จะขาดบุคคลที่เป็นแกนสำคัญ จะต้องเกิดเรื่องเข้าสักวัน ดังนั้นจึงไม่มีทางพาพวกเขาไปด้วยได้
สวีถังหรานกับมู่หรงซิงหัวเงียบงัน เรื่องนี้ตัดสินใจได้ไม่ยาก ถ้าไปในสถานที่ดีๆ ก็ยังพอไหว แต่ในอาณาเขตตำหนักสวรรค์ยังมีที่ไหนดีกว่าตลาดสวรรค์ด้วยเหรอ? เป็นผู้บัญชาการอยู่ที่นี่ไม่ได้แย่กว่าเหมียวอี้ที่ไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายเลย มิหนำซ้ำองครักษ์ฝ่ายซ้ายก็ค่อนข้างอันตราย มักจะได้รบทัพจับศึกบ่อยๆ มีคนตายถี่เกินไป จะสงบปลอดภัยเหมือนตลาดสวรรค์ได้อย่างไร
เมื่อเห็นทุกคนไม่พูดอะไร เหมียวอี้จึงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เรื่องนี้ข้าไม่บังคับหรอก ข้ายังอยู่ที่นี่อีกหลายวัน ทุกคนไปไตร่ตรองได้ หลังจากกลับไปแล้วถือโอกาสถามลูกน้องด้วย ดูว่ามีใครเต็มใจจะติดตามข้าไปมั้ย ถ้าเต็มใจข้าก็จะพาไปด้วยกัน”
จวนผู้บัญชาการเขตตะวันตก สวีถังหรานกลับเข้ามาในเรือนด้านในอย่างเหม่อลอยเล็นก้อย แล้วนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง
ที่ประตูด้านข้าง เสวี่ยหลิงหลงแหวกม่านไข่มุกเดินเข้ามา นางรับถ้วยน้ำชามาจากมือสาวใช้แล้ววางลงตรงหน้าเขา หลังจากโบกมือให้สาวใช้ถอยออกไปแล้ว ก็กลับมานั่งลงตรงอีกด้านหนึ่งของโต๊ะชา “ผู้บัญชาการใหญ่ว่ายังไงบ้างคะ?”
สวีถังหรานโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “ไปที่จวนแม่ทัพภาคมาแล้วแต่ก็ยังพลิกสถานการณ์ไม่ได้ ยังต้องไปเหมือนเดิม ได้รับคำสั่งโยกย้ายจากหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายแล้ว ต้องไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย”
เสวี่ยหลิงหลงขมวดคิ้ว หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ถึงได้ถามว่า “ส่งผลกระทบกับอนาคตของนายท่านไม่ใช่น้อยๆ?”
สวีถังหรานยิ้มอย่างขื่นขม “ฝูชิงจะต้องรับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ต่อ ข้าว่าเขาคงไม่มีความกล้าหาญที่จะคุมร้านค้าพวกนั้นได้เหมือนผู้บัญชาการใหญ่ เกรงว่าต่อไปข้าจะต้องทำตัวสงบเสงี่ยมแล้ว”
เสวี่ยหลิงหลงก้มหน้าถอนหายใจเบาๆ นางพอจะรู้ถึงสถานการณ์ของสามีอยู่บ้าง ติดตามอยู่ข้างกายให้ผู้บัญชาการใหญ่หลายปีเพื่อทำงานบางอย่างให้ นางเองก็ไม่สะดวกจะพูดมากเช่นกัน
ในโถงเงียบงันนานมาก จู่ๆ สวีถังหรานก็นั่งหลังตรง แล้วถามอย่างฮึกเหิมว่า “ฮูหยิน เจ้าคิดว่าข้าติดตามผู้บัญชาการใหญ่ไปอยู่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายขวาดีมั้ย?”
“…” เสวี่ยหลิงหลงจ้องมองอย่างพูดไม่ออก หลังจากหายตะลึงแล้ว ก็เตือนว่า “ได้ยินว่าหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายขวาออกรบข้างนอกบ่อย อันตรายมาก ผลประโยชน์ก็ไม่เยอะเท่าอยู่ที่นี่ด้วย ท่านคิดดีแล้วจริงๆ เหรอ?”
สวีถังหรานลุกขึ้นยืน แล้วเดินกลับไปกลับมาอย่างช้าๆ “ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋กำลังจะขึ้นตำแหน่งสูงแล้ว กำลังจะกุมอำนาจมหาศาลไว้ในมือ ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ก็มีคนมาดึงไปเป็นพวกด้วยอยู่แล้ว มู่หรงซิงหัวมีคนหนุนหลัง แต่ข้าล่ะ? ข้ามีอะไร? หลังจากฝูชิงรับตำแหน่งต่อ ก็ต้องอยากเลื่อนขั้นให้ลูกน้องคนสนิทของตัวเองอยู่แล้ว ข้าครองตำแหน่งผู้บัญชาการนี้ไว้ เกรงว่าจะอึดอัดไปหน่อยนะ! ในเวลาอันสั้น ฝูชิงอาจจะยังเห็นแก่ไมตรีเก่าอยู่บ้าง แต่เมื่อเวลานานไปก็จะต้องปิดตาข้างเดียวแล้ว ลูกน้องของเขาจะต้องเล่นงานข้าแน่นอน จะต้องหาทางดันข้าลงแน่ ถ้าทำแบบอ่อนโยนก็ยังดีหน่อย อย่างมากก็ติดแค่ปัญหาว่าไม่รู้จะไปทางไหนดี แต่ถ้าใช้วิธีการโหดๆ หน่อย เกรงว่าข้าก็อาจจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ด้วย และข้าก็ล่วงเกินคนที่ตลาดสวรรค์ไว้เยอะไป ต่อให้จะแสร้งทำตัวสงบเสงี่ยม แต่สุดท้ายก็ยังมีจุดจบที่อนาถอยู่ดี ไม่สู้ติดตามผู้บัญชาการใหญ่ไปเดิมพันสักตั้ง ไปอยู่ที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายขวาแล้วเจอเรื่องรบราฆ่าฟันก็ยังนับว่าหดหัวได้ จะดีจะร้ายข้าก็ยังเป็นคนรับใช้ข้างกายผู้บัญชาการใหญ่ ผู้บัญชาการใหญ่กลั่นแกล้งข้าได้อย่างไร? แล้วอีกอย่าง ผู้บัญชาการใหญ่ก็ไม่ได้ฝีมืออ่อนด้อย ใช่ว่าจะลงหลักปักฐานที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายขวาไม่ได้ ถ้าได้ยืนอย่างมั่นคงอยู่ในกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ ก็อาจจะไม่ได้แย่กว่าที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อแม่เฒ่าลวี่มีความสามารถที่จะจับผู้บัญชาการใหญ่ไปอยู่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ทั้งยังคิดจะให้เฟยหงเป็นฮูหยินเอกด้วย จะต้องกำชับให้เครือข่ายที่อยู่ในหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายขวาช่วยดูแลแน่นอน ถึงอย่างไรถ้าในภายหลังยังอยู่ที่นี่ ก็ต้องทำตัวสงบเสงี่ยมตักตวงเงินได้ไม่เยอะเท่าเมื่อก่อน ทรัพยากรที่ข้าตัดตวงจากที่นี่เพียงพอจะให้พวกเราใช้ได้อีกนาน ที่สำคัญก็คือ ข้าคนเดียวอยู่รับความอัปยศที่นี่ก็ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรชื่อเสียงของข้าก็ไม่ได้ดีเท่าไร แต่ถ้าทำให้ฮูหยินได้รับความอัปยศไปด้วย ลูกผู้ชายอย่างข้าจะทนความรู้สึกนี้ได้ยังไง! ถ้าต้องทนเก็บกดอยู่ที่นี่ ไม่สู้ตามผู้บัญชาการใหญ่ไปดีกว่า ยังใช้ชีวิตได้อย่างตรงไปตรงมาหน่อย ฮูหยิน เจ้าคิดว่ายังไง?”
เสวี่ยหลิงหลงก็ลุกขึ้นแล้วเช่น มองเขาด้วยแววตาที่สื่อหลากหลายอารมณ์ แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านตัดสินใจดีแล้วจริงเหรอ?”
เวลาพูดนั้นง่าย แต่เวลาทำนั้นยาก อนาคตไม่แน่นอน สวีถังหรานยังตอบอย่างลังเลนิดหน่อย “ถ้าฮูหยินไม่อยากไป พวกเราอยู่ที่นี่ต่อก็ได้”
เสวี่ยหลิงหลงยิ้มบางๆ พร้อมพูดให้กำลังใจว่า “เรื่องของผู้ชายอย่างพวกท่าน ข้าไม่เข้าใจหรอก คนอื่นจะว่าร้ายท่านสามียังไงก็ไม่สำคัญสำหรับข้าเลย ขอเพียงท่านสามีคิดว่าดี ท่านสามีก็ตัดสินใจได้เลย อย่าให้เสียการเสียงานเพราะข้า ข้าแต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นยังไง ข้าก็ไม่เสียใจทีหลัง!”
…………………………