บทที่ 438.3 ฟ้าสว่างแล้ว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หลิวจื้อเม่าก็ได้นั่งบนบัลลังก์ของเจ้าแห่งยุทธภพเช่นนี้ เรียกได้ว่าไม่เปลืองแรงเป่าฝุ่นเลยแม้แต่น้อย (เปรียบเปรยว่าของกล้วยๆ ง่ายดายอย่างยิ่ง) ต้องรู้ว่าในบรรดาผู้ฝึกตนใหญ่ของเกาะใต้อาณัติสิบกว่าแห่งซึ่งรวมถึงหูเถียนจวินที่เป็นลูกศิษย์ของเขา ล้วนเตรียมพร้อมสำหรับสงครามนองเลือดเอาไว้แล้ว ท่ามกลางศึกที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องอำมหิตไร้ปราณีนี้ ไม่ว่าใครก็อาจตายได้ แต่หลิวจื้อเม่าและกู้ช่านต้องไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน สำหรับเรื่องนี้ทุกคนรู้กันดีอยู่แก่ใจ แล้วก็ไม่มีคำบ่นคำตำหนิอะไรมากนัก แต่ความไม่พอใจก็อาจเลี่ยงไม่ได้ ทว่าสถานการณ์ใหญ่เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะไปบังคับกะเกณฑ์ได้

คาดว่าแม้แต่ยามหลับสกัดคงคาเจินจวินผู้นั้นก็คงยังหัวเราะเสียงดังกระมัง

เฉินผิงอันได้ยินข่าวนี้แล้วก็ไม่ได้รู้สึกผ่อนคลาย

เรื่องบางเรื่องเขาพอจะเดาออก ยกตัวอย่างเช่นมีความเป็นไปได้มากว่าเกาะลี่ซู่อาจจะเป็นหมากของสกุลซ่งต้าหลี การที่เกาะชิงจ่งและเทียนหมู่บาดเจ็บสาหัสก็น่าจะเป็นวิธีการลงมืออย่างลับๆ ของราชครูชุยฉาน

ทว่าเรื่องบางเรื่องเฉินผิงอันเดาไม่ออก ยกตัวอย่างเช่นว่าราชวงศ์จูอิ๋งจะยังมีวิธีรับมือที่รออยู่ภายหลังหรือไม่ หากมี จะเป็นใคร ถึงเวลานั้นการโจมตีปานฟ้าผ่าที่หวังพลิกเปลี่ยนสถานการณ์จะพุ่งเป้าไปที่หลิวจื้อเม่า กู้ช่านหรือหนีชิวน้อย? หรือว่าจะยอมถอยห่างไปโดยตรง? ราชวงศ์จูอิ๋งที่ควันสงครามปะทุขึ้นตลอดทั้งแถบชายแดน อันที่จริงแม้แต่ตัวเองก็ยังแทบเอาตัวไม่รอดแล้ว พวกเขาจะเลือกสละพื้นที่ที่เป็นดั่งซี่โครงไก่อย่างทะเลสาบซูเจี่ยนนี้ไปเลยหรือไม่?

ไม่แน่ว่าแม้แต่อิทธิพลแฝงจากการที่ตนมาอยู่บนเกาะชิงเสียก็อาจจะอยู่ในแผนการของซิ่วหู่ผู้นั้นอยู่แล้ว นี่น่าจะเรียกว่าใช้สิ่งของทุกอย่างให้คุ้มค่าที่สุดกระมัง?

เฉินผิงอันแค่บอกกับกู้ช่านว่า ทางที่ดีที่สุดช่วงนี้อย่าออกไปไหนง่ายๆ ระวังราชวงศ์จูอิ๋งจะแว้งกัดอย่างคลุ้มคลั่ง

กู้ช่านพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม บอกว่าเรื่องนี้เขาย่อมคิดได้อยู่แล้ว และหลิวจื้อเม่าก็เอ่ยเตือนเขาเช่นกันว่าช่วงนี้อย่าได้หลงระเริง ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงที่ใครจัดขึ้นก็ไม่ต้องไปเข้าร่วม แค่ต้องรอสักสองสามเดือน ถึงเวลานั้นต่อให้จะไปฉี่รดหน้าประตูศาลบรรพจารย์ของเกาะชิงจ่งและเกาะเทียนหมู่ก็ยังไม่มีใครกล้าว่า ดังนั้นหลิวจื้อเม่าจึงระมัดระวังตัวมากเป็นพิเศษ แม้แต่งานเลี้ยงฉลองที่ตัวเองได้ขึ้นรับตำแหน่งก็ยังจงใจเลื่อนไปจัดช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า กลัวก็แต่ว่าถึงเวลานั้นเมื่อเกาะชิงเสียเปิดค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาและแม่น้ำแล้ว คนที่มาร่วมแสดงความยินดีมีทั้งปลาและมังกรปะปนกัน หากตอนนั้นมีใครจ้วงมีดแทงใส่เข้าจริงๆ เกาะชิงเสียก็คงต้องบาดเจ็บถึงกระดูกและเส้นเอ็น

ตอนนั้นเฉินผิงอันนั่งอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็กเคียงข้างกับกู้ช่าน พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันอยู่พักหนึ่ง

ในฤดูหนาวเช่นนี้ นกที่บินผ่านทะเลสาบแทบจะไม่เคยปรากฏให้เห็น มีบ้างแค่บางครั้งเท่านั้น

นี่แสดงว่าหิมะน่าจะใกล้ตกแล้ว

หลังจากกู้ช่านกลับไป เฉินผิงอันก็เดินมาที่ท่าเรือ ครุ่นคิดอยู่กับตัวเองเงียบๆ

และยามพลบค่ำของวันนี้เอง

เฉินผิงอันที่นั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือพลันเงยหน้าขึ้น ก้าวเร็วๆ ไปหยุดอยู่ริมหน้าต่าง

เห็นเพียงว่านอกเกาะชิงเสียมีผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ เขาแค่นเสียงหยันกล่าวว่า “ข้าชื่อหลิวเหล่าเฉิง มาที่นี่เพื่อมาพบกู้ช่าน ใครที่ไม่เกี่ยวข้องจงไสหัวไปให้หมด ไม่อย่างนั้นหลังจบเรื่องใครที่ช่วยเก็บศพให้พวกเจ้าต้องตาย ตายจนกระทั่งไม่มีคนมาเก็บศพอีกต่อไป”

ไม่รอให้เสียงของถ้อยคำสุดท้ายจางหาย ผู้ฝึกตนเฒ่าก็โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ยันต์สีเหลืองที่ส่องประกายสีทองหลายแผ่นพุ่งออกไปเป็นเส้นโค้งติดต่อกัน สุดท้ายก่อตัวกลายเป็นวงกลมใหญ่วงหนึ่ง ราวกับว่าจะรัดคอเกาะชิงเสียทั้งเกาะเอาไว้

ข้างกายผู้ฝึกตนเฒ่ามีกายธรรมร่างทองสูงร้อยจั้งตนหนึ่งลอยขึ้นมา บนร่างสวมชุดเกราะวิเศษลักษณะประหลาดที่มีเปลวเพลิงสีดำลุกโชติช่วง มีหนึ่งถือขวานยักษ์ อีกมือหนึ่งถือตราประทับที่มีชื่อว่า ‘ตราประทับเทพวิญญาณเพลิงทอง’ คือหนึ่งในวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่สำคัญที่สุดของหลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีโชคชะตาน้ำอุดมสมบูรณ์ แต่ปีนั้นหลิวเหล่าเฉิงกลับสามารถใช้วัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุไฟชิ้นนี้สังหารผู้คนจนเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังระงมไปทั่วหลายเกาะ ศพของผู้ฝึกตนลอยเกลื่อนอยู่เหนือผิวทะเลสาบ

ยันต์ทำลายค่ายกลที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดเหล่านั้นหดอาณาเขตเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง ‘ฝังเลื่อม’ อยู่ในค่ายกลภูเขาและน้ำของเกาะชิงเสีย หลังจากที่ยันต์แต่ละแผ่นระเบิดดังปัง ค่ายกลใหญ่ปกป้องขุนเขาก็พังทลายจนเกิดรูโหว่ขนาดใหญ่จำนวนมาก หากไม่เป็นเพราะอาศัยแกนกลางของค่ายกลที่กักตุนเงินเทพเซียนกองโตเป็นภูเขา บวกกับเถียนหูจวินและเหล่าผู้ถวายงานคนสนิทหลายคนร่วมแรงร่วมใจกันปกป้องแซมแซมค่ายกลอย่างสุดชีวิต ค่ายกลแห่งนี้ก็อาจจะพังทลายลงมาในเสี้ยววินาที ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น ตลอดทั้งเกาะก็ยังเริ่มแผ่นดินไหวภูเขาโยกคลอน ปราณวิญญาณซัดตลบวุ่นวาย

ผู้ฝึกตนเฒ่าที่หายตัวไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนนานหลายปีท่านนี้ไม่คิดจะพูดอะไรที่เกินความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย

กายธรรมใหญ่ยักษ์ข้างกายหลิวเหล่าเฉิงเงื้อขวานจามลงไปทีเดียวก็ฟันผ่าให้ค่ายกลพิทักษ์เกาะชิงเสียที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งมิอาจทำลายแตกย่อยยับได้คาที่

จุดดำจุดหนึ่งพุ่งออกจากจวนชุนถิงมาเผยร่างจริงอยู่กลางอากาศ ก่อนจะกลายร่างเป็นเจียวหลงใหญ่ยักษ์ยาวสามร้อยกว่าจั้งที่พุ่งเข้าชนกายธรรมร่างทองของผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบท่านนั้น

เจียวหลงพุ่งเข้ารัดพันกายธรรมร่างทองในเสี้ยววินาที แล้วพากันกระแทกลงไปในทะเลสาบซูเจี่ยน ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์โถมเทียมฟ้า

กายธรรมไม่ได้หงายหลังล้มตึงลงในน้ำ แต่สองเท้าปักตรึงอยู่ใต้ทะเลสาบ ร่างถอยกรูดไปด้านหลัง

เนื่องจากอยู่ใกล้กับเกาะชิงเสีย น้ำทะเลสาบของจุดนี้จึงไม่ถือว่าลึกมากนัก สองเท้าของกายธรรมร่างทองที่สวมเกราะวิเศษเปลวเพลิงหยัดยืนอยู่ใต้ทะเลสาบ น้ำทะเลสาบก็สูงเพียงแค่ช่วงเอวเท่านั้น

ตราประทับชิ้นหนึ่งกระแทกลงบนศีรษะของเจียวหลงอย่างแรง

แล้วก็ไม่ได้ดึงออก

กายธรรมตนนี้ตบกระแทกให้เจียวหลงที่เรือนกายใหญ่โตกว่ามันมากนักร่วงดิ่งลงไปในทะเลสาบ จากนั้นก็ยกเท้ากระทืบเข้าที่ศีรษะของอีกฝ่าย ตามด้วยเงื้อขวานฟันลงไป

หลิวเหล่าเฉิงหลุดหัวเราะพรืด

ได้รับเศษร่างทองแก้วใสชิ้นใหญ่มาขนาดนั้น ช่วงที่ผ่านมาตนก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ คอขวดขอบเขตหยกดิบที่หยุดนิ่งมานานสองร้อยกว่าปี แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหริน แต่ก็อยู่ห่างอีกไม่ไกลแล้ว!

นอกจากนี้

เพื่อรับมือกับเจียวหลงขอบเขตก่อกำเนิดตัวนี้ เขายังทุ่มทุนทรัพย์ก้อนใหญ่ ควักเงินฝนธัญพืชถึงเก้าสิบเหรียญเต็มๆ เพื่อทำเรื่องที่ไม่คุ้มทุนอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง

นั่นก็คือเชิญให้ผู้ฝึกตนใหญ่ห้าขอบเขตบนท่านหนึ่งสลัก ‘ถ้อยคำที่แท้จริง’ ของลัทธิเต๋าอย่างประโยคว่า ‘ยิงเสือไม่โดน ย่อมเป็นเพราะฝีมือยิงธนูไม่เลิศล้ำ ฟันมังกรไม่ขาด ย่อมต้องลับดาบใหม่’ ไว้บนขวานเล่มนั้น!

ส่วนการที่เอาคำกล่าวว่า ‘ลับดาบ’ นี้มาใช้กับขวานยักษ์เล่มหนึ่งออกจะฟังดูชวนขันไปบ้าง ทว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ส่งผลกระทบต่องานใหญ่ สำหรับผู้ฝึกตนอิสระแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเลยสักนิด

แค่ใช้ได้ผลก็พอแล้ว!

เลือดเนื้อปะปนกันจนแยกไม่ออก

น้ำในทะเลสาบซูเจี่ยนซัดตลบอย่างรุนแรง เดือดพล่านไม่หยุด เลือดสดที่พรั่งพรูออกมาจากบาดแผลของเจียวหลงส่งกลิ่นคาวตลบอบอวล

แต่ถึงอย่างไรเจียวหลงก็เป็นปีศาจใหญ่ที่ขึ้นชื่อว่ามีเรือนกายที่แข็งแกร่งทนทานที่สุด จึงไม่ถึงกับไร้เรี่ยวแรงให้ต่อสู้เสียเลย หลังจากพยายามดิ้นรนต่อสู้ก็สามารถทำให้กายธรรมร่างทองพลิกคว่ำคะมำหงายอยู่ในน้ำได้หลายครั้ง

หลิวเหล่าเฉิงยื่นมือคว้าจับไปยังมุมหนึ่งของเกาะชิงเสีย

จวนชุนถิงทั้งแถบและพื้นดินที่เชื่อมโยงติดอยู่กับรากภูเขาเริ่มเกิดรอยปริแตกจำนวนนับไม่ถ้วน ราวกับว่าเมื่อผู้ฝึกตนเฒ่าคว้าจับ พวกมันก็ถูกกระชากพ้นขึ้นมาจากพื้นดิน

หลิวเหล่าเฉิงเพ่งสายตามองไปก็หลุดเสียงหัวเราะเยาะเย้ย “คิดจะซ่อนตัวงั้นรึ? หาตัวเจ้าเจอแล้ว”

มือข้างหนึ่งของหลิวเหล่าเฉิงหงายฝ่ามือขึ้นเบื้องบน จากนั้นก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง เห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มที่สวมชุดหม่างสีเขียวเข้มคนหนึ่งที่อยู่ในจวนชุนถิงถูกกระชากขึ้นมากลางอากาศเหนือจวน จากนั้นก็เหมือนถูกค้อนทุบ ร่างทั้งร่างกระแทกลงบนภูเขาของเกาะชิงเสียที่อยู่ด้านหลัง

หลิวเหล่าเฉิงไม่คิดจะมองสนามรบของทะเลสาบซูเจี่ยนที่อยู่ด้านหลังเลยแม้แต่น้อย เขาย้ายเส้นสายตาไปที่อื่น กล่าวว่า “หลิวจื้อเม่า ว่ายังไง? ลูกศิษย์เจ้ากำลังจะถูกข้าฆ่าตายทั้งเป็นแล้ว ยังเกรงอกเกรงใจกันขนาดนี้อีกหรือ?”

เงียบงันไร้เสียงตอบรับ

หลิวเหล่าเฉิงกระตุกมุมปาก “ในเมื่อเกาะชิงเสียเกรงใจกันขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าคงไม่ต้องเกรงใจแล้วจริงๆ”

ประกบสองนิ้วแล้วโบกไปเบื้องหน้าเบาๆ หนึ่งครั้ง

ตราประทับที่ถูกกายธรรมร่างทองตบใส่ศีรษะของเจียวหลงก็เหมือนลำแสงเปลวเพลิงที่พุ่งผ่านอากาศไปกระแทกใส่กู้ช่านที่ร่างจมลึกอยู่ในกำแพงภูเขา

หลิวเหล่าเฉิงคลี่ยิ้ม “โอ้ ในบรรดาผู้ฝึกตนของเกาะชิงเสีย ในที่สุดก็มีลูกผู้ชายอยู่คนหนึ่ง”

ในการมองเห็นของเขา

คนหนุ่มที่สวมชุดคลุมอาคมสีทองเหยียบอยู่บนกระบี่บินสองเล่ม ลอยตัวอยู่เบื้องหน้ากู้ช่าน ยื่นมือกวักหนึ่งครั้ง เส้นยาวสีทองเส้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากจวนชุนถิง

มือเขากุมจับความว่างเปล่า เจี้ยนเซียนเล่มนั้นก็มาหยุดอยู่ในมือของเขาพอดี แต่ยังคงไม่ได้กำแน่นอย่างแท้จริง

เผชิญหน้ากับตราประทับเทพวิญญาณเพลิงทองที่ทำให้ผู้ฝึกตนอาวุโสทุกคนในทะเลสาบซูเจี่ยนอกสั่นขวัญแขวนชิ้นนั้น

คนหนุ่มเพียงแค่กุมเจี้ยนเซียนเอาไว้

กลางอากาศเหนือเกาะชิงเสีย ลมพัดกระโชกก้อนเมฆเคลื่อนตลบ

หลิวเหล่าเฉิงขมวดคิ้ว ดวงจิตขยับเคลื่อนเล็กน้อย ไม่ได้บังคับให้ตราประทับแห่งชะตาชีวิตพุ่งกระแทกชนคนหนุ่มและปลายกระบี่ที่เป็นอาวุธกึ่งเซียนโดยตรง แต่ให้ตราประทับเทพวิญญาณเพลิงวาดเป็นเส้นโค้ง ไปหยุดอยู่ด้านข้างห่างจากร่างคนหนุ่มร้อยกว่าจั้ง

ผู้ฝึกตนอิสระลงมืออย่างเด็ดขาดและอำมหิต ทว่าหากเป็นเรื่องผลได้ผลเสียกลับคิดคำนวณอย่างละเอียดยิบยิ่งกว่า

เพียงไม่นานหลิวเหล่าเฉิงก็คลายหัวคิ้ว หากนักบัญชีแห่งเกาะชิงเสียที่มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นี้สามารถหลอมอาวุธกึ่งเซียนชิ้นนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบก็อาจจะยุ่งยากอยู่บ้าง แต่ในเมื่อยังหลอมไม่สำเร็จ นั่นก็ไม่นับเป็นอะไรได้เลย

……

บนยอดเขาเกาะใต้อาณัติแห่งหนึ่งของเกาะชิงเสีย มีผู้เฒ่าสวมชุดสีเขียวของลัทธิขงจื๊อยืนอยู่กับผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยแต่กลับแข็งแกร่งกำยำ

คนทั้งสองล้วนเป็นคนต่างถิ่น

สวินยวนเจ้าสำนักกุยหยกและประมุขพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน เกาเหมี่ยน

เกาเหมี่ยนสัมผัสได้ถึงท่าทางผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ของสวินยวนก็ถามว่า “สวินยวน คนรู้จักเจ้าหรือ?”

สวินยวนยิ้มบางๆ พลางพยักหน้ารับ “คุ้นเคยกันดีเลยล่ะ นอกจากเจ้าแล้ว เขาก็คือหนึ่งในคนที่ข้าได้รู้จักก่อนใครในแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้า เจอกันที่นครมังกรเฒ่า เป็นคนหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่เลวเลย ตู้เม่าต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่ก็ด้วยน้ำมือเขานี่แหละ หากพูดเช่นนี้ หลิวเหล่าเฉิงยังต้องขอบคุณเขาด้วยซ้ำ เพราะเขา หลิวเหล่าเฉิงถึงได้เศษร่างทองแก้วใสชิ้นใหญ่ขนาดนั้นมาครอง”

เกาเหมี่ยนถาม “ถ้าอย่างนั้นจะให้ข้าเตือนหลิวเหล่าสักคำไหม? ทำไมข้าฟังแล้วเหมือนหลิวเหล่ากำลังทำเรื่องไร้คุณธรรมอย่างการตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นเลยล่ะ?”

สวินยวนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องเตือนหรอก นี่จะเรียกว่าตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นนอกจากหลิวเหล่าเฉิงแล้ว สำนักกุยหยกทั้งบนและล่างของพวกเราซึ่งรวมถึงข้าเองด้วยก็คงต้องเคารพบูชาคนหนุ่มผู้นี้เป็นดั่งพระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตแล้ว”

เกาเหมี่ยนหัวเราะปากกว้าง “ไม่ต้องจริงๆ หรือ? หากหลิวเหล่าเกิดจิตคิดสังหารใครขึ้นมา ถึงเวลานั้นแม้แต่ข้าก็ยังขวางไม่อยู่ เว้นเสียจากว่าเจ้าจะลงมือ ตัดใจทำให้ว่าที่ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งในอนาคตกลายมาเป็นศัตรูไปอย่างเปล่าประโยชน์ได้”

สวินยวนเอ่ยเนิบช้า “คนหนุ่มผู้นั้นมีทัศนคติอย่างหนึ่งที่คล้ายคลึงกับเจ้าและข้า ท่องอยู่ในยุทธภพ เป็นตายต้องรับผิดชอบเอาเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดข้าต้องลงมือช่วยเหลือเขาด้วย ปล่อยให้ผลกรรมในโลกมนุษย์มากมายขนาดนั้นมาแปดเปื้อนติดตัว สนุกนักหรือ?”

เกาเหมี่ยนถลึงตาใส่สวินยวนทีหนึ่ง

มารดาเจ้าใจกล้าใหญ่แล้วนะ เจ้าคนแซ่สวิน เจ้าบังอาจพูดจาแบบนี้กับข้าผู้อาวุโสเชียวรึ?

สวินยวนรีบกุมหมัดขออภัย

เกาเหมี่ยนถึงได้พึงพอใจ หันไปมองการคุมเชิงทางฝั่งนั้นอีกครั้ง จุดจบถูกกำหนดมาแน่นอนแล้ว ขอแค่หลิวเหล่าเฉิงลงมืออีกครั้ง กู้ช่านกับคนหนุ่มผู้นั้นไม่เพียงแต่ต้องตาย อีกทั้งยังจะไม่มีใครมาช่วยเก็บศพพวกเขาในทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้จริงๆ ด้วย

เกาเหมี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะปลงอนิจจัง “น่าเสียดาย แค่ข้อที่เขาเป็นเด็กรุ่นหลังเพียงคนเดียวบนเกาะชิงเสียที่กล้าพอจะขัดขวางหลิวเหล่า ข้าก็รู้สึกได้แล้วว่าคนผู้นี้ไม่เลวร้าย”

สวินยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “มีอายุอยู่มาจนแก่ปูนนี้อย่างพวกเรา ได้เห็นเรื่องที่น่าเสียดายกับตาตัวเองมาน้อยนักหรือ? ผู้ฝึกตนที่ตายด้วยน้ำมือของพวกเรา นอกจากคนที่สมควรตายแล้ว มีคนที่ตายอย่างอยุติธรรม แต่ก็จำต้องตายหรือไม่? ต้องมีอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่น้อยด้วย นี่เรียกว่าไม่มีหมอคนใดที่ไม่พูดว่าคนตายตายเป็นผีอย่างอยุติธรรม”

เกาเหมี่ยนยกสองมือกอดอก เบ้ปาก

—–