ตอนที่ 384 ล้มละลาย

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 384 ล้มละลาย โดย Ink Stone_Fantasy

พวกที่ติดตามหวงซือจื้อ มั่วกันอยู่ในค่ายทหารตั้งแต่รุ่นปู่แล้ว ตอนที่ปลดแอกสงครามต่อต้านญี่ปุ่นฆ่าคนไปเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ตราประดับความดีความชอบล้วนถูกย้อมสีแดงด้วยเลือดสดของศัตรู

ถึงแม้นายพลแก่เหล่านี้ ในตอนนี้จะแก่ตัวลงกันหมดแล้ว แต่พลังพายุเสือแก่ยังคงอยู่ แรงอาฆาตที่ก่อตัวขึ้นจากกองศพดั่งภูเขา เลือดเยอะดั่งน้ำทะเล ก็ยังสามารถทำให้ไอ้เด็กเกเรพวกนี้กลัวจนขนลุกได้เหมือนกัน

แต่เมื่อสักครู่ตอนที่เยี่ยเทียนกวาดสายตาไปที่พวกเขา ภายในใจของคนเหล่านี้ขนลุกขึ้นมาพร้อมกัน เหมือนกับตอนที่ถูกคนแก่ในบ้านจ้องมองอย่างนั้นเลย รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

จนถึงเวลานี้ หวงซือจื้อที่ถูกเยี่ยเทียนตบบ้องหูจนสลบสมองบวมเพิ่งจะรู้สึกตัว คลานไปหลบอยู่ข้างหลังคนพวกนั้นคำรามอย่างหมาป่า “แม่งเอ้ย กล้าตีฉัน พี่น้อง จัดการพวกมันสิ!”

“ถ้าร้องอีก ฉันจะตบหูอีก จากนั้นก็ดึงฟันหน้าของแกมาอีกสักสองซี่ เชื่อไหม?”

เยี่ยเทียนจ้อง ถึงแม้เสียงจะไม่ค่อยดัง แต่ก็ทำให้หวงซือจื้อตกใจจนรีบปิดปากในทันที ล้ออะไรเล่นกันเล่า ฟันด้านข้างที่ถูกตีจนหลุดไปไม่กระทบต่อการพูดเลย แต่ถ้าฟันหน้าก็หลุดไปด้วย การหายใจก็คงเป็นเหมือนการระบายอากาศไปด้วย

เมื่อเห็นหวงซือจื้อถูกเยี่ยเทียนรังแกจนเป็นสภาพนี้ มีอยู่หนึ่งคนพูดอย่างเกร็งต่อว่า “น้องคนนี้ การฆ่าคนก็แค่หัวแตะพื้น คนในวงการด้วยกัน ไม่ต้องทำรุนแรงขนาดนี้หรอกมั้ง?”

“วงของฉันกับพวกนายไม่มีความเกี่ยวข้องกัน และฉันไม่ใช่คนในวงเดียวกับพวกนายด้วย เขาเริ่มตีฉันก่อน ฉันก็แค่ป้องกันตัวเท่านั้นเอง ถ้าพวกนายอยากจะหาสนาม ฉันขอรับไว้เลย!”

ถึงแม้จะตบหูของหวงซือจื้อไปหนึ่งที แต่ไฟที่อยู่ในใจของเยี่ยเทียนยังไม่คลายลง เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนพวกนี้จะเริ่มก่อนด้วยซ้ำ ถึงเวลานั้นจะตบเป็นรางวัลให้เป็นรายคน ส่วนตัวเองก็ไปกินข้าวอย่างสบายใจ

“ได้ แน่มาก เยี่ยเทียน ตบเป็นรายคนอีก!”

เยี่ยเทียนเพิ่งพูดจบ คำว่า ”ได้” ก็ดังจากด้านหลัง หันกันกลับไปมอง เป็นหูเสี่ยวเซียนที่กำลังง้างฝ่ามืออยู่ เหมือนท่าทางที่กลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวาย

หลังจากได้ยินคำพูดของหูเสี่ยวเซียนแล้ว พวกที่เผชิญหน้าอยู่กับเยี่ยเทียนก็รีบถอยหลังไปอีกหลายก้าว กลัวว่าเยี่ยเทียนจะฟังคำของผู้หญิงคนนั้นและตบบ้องหูของตนเองจริงๆ ถ้าพูดถึงความเร็วเมื่อสักครู่ของเยี่ยเทียนแล้ว เกรงว่าพวกเขาน่าจะหลบไม่ทันอย่างแน่นอน

ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังยืนกรานอยู่นั้น หวงซือจื้อที่หลบอยู่ข้างหลังคนพวกนั้นก็ลุกขึ้นมาทันที พูดว่า “พวกเราไป

เยี่ยเทียน วันนี้ฉันยอมนาย!”

สุภาษิตกล่าวไว้ว่าคนพาลกลัวคนบุ่มบ่าม คนบุ่มบ่ามกลัวคนไม่เสียดายชีวิต ในปักกิ่งถิ่นชาววัง หวงซือจื้อสามารถเดินอย่างแนวนอนได้ แต่เขาดันเจอกับเยี่ยเทียนที่เขาเองก็ไม่คิดว่าจะทำอะไรได้ง่าย ๆเหมือนผัดข้างซักจาน แต่ดันมุทะลุเข้าไปตบเยี่ยเทียนก่อน

ดังนั้นหวงซือจื้อเป็นอันว่าเข้าใจแล้ว การใช้กำลังและมีคนอีกจำนวนหนึ่งอยู่ข้างกาย เกรงว่าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยเทียนอยู่ดี ขืนอยู่ต่อก็เป็นการฉีกหน้าตัวเองเปล่าๆ

แต่ในโลกนี้การใช้กำลังไม่สามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ เสียเปรียบครั้งใหญ่ขนาดนี้ หวงซือจื้อคิดไว้แล้วว่าจะเอาคืนเยี่ยเทียนยังไง

สายตาโหดเหี้ยมจ้องไปที่เยี่ยเทียน หวงซือจื้อไม่แม้จะหันหลังกลับ เดินออกจากร้านอาหารไป คนพวกนั้นตะลึงกันไปหมด วิ่งตามหลังไป

“ซวยจริงๆ พวกเราไปกินข้าวกัน!”

มองเห็นหวงซือจื้อพูดว่าจะไปแล้ว เยี่ยเทียนกลับไม่เดินไปไหน และใช้นิ้วชี้ไปที่ผู้จัดการคนนั้นพูดว่า “ตอนนี้ห้องส่วนตัวว่างแล้วใช่ไหม? จัดการให้พวกเรากินข้าวเถอะ”

“เยี่ยเทียน เปลี่ยนที่กินข้าวดีไหม?” อวี๋ชิงหย่าดึงไหล่ของเยี่ยเทียนเบาๆ ใครๆก็ดูออกตอนที่หวงซือจื้อจะเดินออกไป สายตาของเขาเต็มไปด้วยการแก้แค้น

ถึงแม้ฐานะทางครอบครัวของอวี๋ชิงหย่าจะมั่งคั่ง แต่สุภาษิตกล่าวไว้ว่าประชาชนไม่สู้กับขุนนาง เธอมักจะได้ยินพ่อเล่าว่าพวกที่รับราชการใช้วิธีโหดเหี้ยมขนาดไหน ดังนั้นเธอกลัวว่าถ้าเยี่ยเทียนอยู่ต่อเขาจะเสียเปรียบ

“ทำไมต้องเปลี่ยนที่ด้วย? กินที่นี่แหละ วุ่นวายมาครึ่งวันแล้ว ฉันหิวแล้วด้วย” เยี่ยเทียนส่ายหัวปฎิเสธ สายตามองไปที่ผู้จัดการสาวคนนั้น พูดต่อว่า “ยังไม่มีห้องส่วนตัวใช่หรือไม่?”

“หา?” จนถึงเวลานี้ ผู้จัดการคนนี้เพิ่งจะได้สติ รีบพูดตอบกลับว่า “ไม่…..ไม่……มีห้องส่วนตัว!”

เดิมทีห้องส่วนตัวที่เยี่ยเทียนและคนอื่นๆจะไป ที่จริงแล้วก็คือห้องที่ถูกหวงซือจื้อแย่งไปนั่นเอง

ร้านอาหารปักกิ่งถึงแม้จะพื้นหลังที่แข็งแกร่ง การที่หวงซือจื้ออยู่ในปักกิ่งถิ่นชาววังแถวนี้เขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตไปวันๆ ผู้จัดการของร้านอาหารนี้เวลาที่เห็นเขาก็ต้องมีรอยยิ้มตลอดเวลา ดังนั้นตอนที่ได้รับโทรศัพท์จากหวงซือจื้อ ผู้จัดการจึงกันห้องส่วนตัวของเยี่ยเทียนไว้และเอาไปให้คนอื่น

แต่ในเวลานี้ดูเหมือนว่าหวงซือจื้อจะถูกเยี่ยเทียนตีจนไม่กล้ามีอารมณ์อีก และยังทำให้ผู้จัดการคนนี้ตกใจไม่เบาทีเดียว นี่มันยมทูตตีกันผีน้อยรับผลกรรมนั่นเอง

ตอนนี้ผู้จัดการกล้าพูดคำว่าไม่ที่ไหนกันเล่า? มิฉะนั้นก็คงโดนตบอีกหนึ่งฉาดจากคุณท่านนี้แน่นอน ใบหน้าที่สะสวยของตนเองก็คงจบเพียงเท่านี้ ตอนนี้อดทนกับอาการปวดฉี่เอาไว้ ผู้จัดการสาวตัวสั่นงันงกพากลุ่มของเยี่ยเทียนเดินไป

“ทุกท่าน เชิญ…เชิญเข้าค่ะ”

ผลักประตูห้องส่วนตัวออกแล้วเสร็จ ผู้จัดการสาวส่งเยี่ยเทียนและคนอื่นๆเข้าไปข้างใน จากนั้นก็เรียกพนักงานบริการมา ส่วนตัวเองเดินออกไปทางห้องน้ำด้วยรองเท้าส้นสูงอย่างรวดเร็ว

“การกินข้าว ก็คือการกินบรรยากาศไม่ใช่เหรอ?”

เยี่ยเทียนมองไปที่หน้าต่างครึ่งวงกลมและการจัดวางที่หรูหราคลาสสิคในห้องส่วนตัวแล้วส่ายหัวไปมา คนปักกิ่งให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์มาก การเชิญมาทานข้าวที่นี่ ถือว่าเป็นสถานที่ ที่ดีแห่งหนึ่ง

“เยี่ยเทียน เมื่อกี้……ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

การตบเมื่อกี้ของเยี่ยเทียน คนที่ตกใจไม่เพียงแต่หวงซือจื้อพวกนั้นกับผู้จัดการร้านอาหาร แม้แต่สวีเจิ้นหนานและคนอื่นๆก็นิ่งกันไปหมด

เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น นอกหูเสี่ยวเซียนแล้ว คนอื่นๆก็สูญเสียความสนุกฮึกเฮิมที่มีตอนแรกไปหมดแล้ว พวกเธอคนอื่นๆไม่มีใครเกิดในตระกูลขุนนาง ในใจรู้สึกหวาดกลัวพวกนั้นตามธรรมชาติ

เยี่ยเทียนส่ายหัวไปมาพูดว่า “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า? คุณผู้หญิงทั้งหลาย ผมเป็นคนหยาบ อนาคตผู้ประกาศทางทีวีอย่างพวกคุณอย่าแปลกใจไปเลยนะ”

“ไม่ได้เรื่อง ขี้เกียจพูดกับนายแล้ว” อวี๋ชิงหย่าใช้คำพูดกัดเยี่ยเทียนไปหนึ่งครั้ง หยิบเมนูอาหารขึ้นมา “สาวๆ เพื่อเป็นการปลอบขวัญพวกเรา เลือกแต่อาหารที่แพงๆไปเลยนะ!”

เยี่ยเทียนที่ทำตัวแปลกๆแบบนี้ ทันใดนั้นบรรยากาศในห้องก็ผ่อนคลายลง

สาวๆพวกนี้ถึงแม้ฐานะทางครอบครัวไม่เลว แฟนที่หาได้ก็ล้วนแต่เป็นชายรูปหล่อฐานะดีทั้งนั้น แต่ไม่เคยเข้ามาห้องส่วนตัวของร้านอาหารปักกิ่งแห่งนี้จริงๆ หลังจากได้ยินสิ่งที่อวี๋ชิงหย่าพูด ก็เริ่มสั่งอาหารกันทีละคน

“ฉันเอาหูฉลามสามสหาย……”

“เอาหูฉลามเนื้อปูอีกหนึ่ง……”

“หูฉลามตุ๋นที่นี่มีชื่อเสียงมาก สั่งเลย!”

“แล้วก็รังนกซุปใสคนละถ้วย……”

ถึงแม้ว่าเมื่อสักครู่จะตกใจกันไม่เบา แต่สาวๆสั่งอาหารกันอย่างไม่มีใครเบลอเลยสักคน ปากที่ตะโกนออกมา ไม่ใช่หูฉลามก็รังนก เยี่ยเทียนฟังจนทำหน้าขมขื่นทันที

“วันหลังถ้าจะออกไปข้างนอกต้องเสี่ยงทายก่อนแล้วแหละ ถ้ามีชะตาล้มละลาย อยู่บ้านยังดีกว่า”

ในใจก็รู้สึกขมขื่น แต่ปากก็ยังคงสั่งอาหารอยู่ “อันนั้น……พระกระโดดกำแพงมาอันนึง แล้วก็หอยเป่าฮื้อนึ่งกระเทียมเอาสองอันนะ แล้วก็ ไวน์แดงมาสักสองสามขวด อืม เอาลาฟีทปี 82 มา 3 ขวด…..”

อย่างไรก็ตามวันนี้จะล้มละลายแล้ว เยี่ยเทียนก็เลยเต็มที่เช่นกัน จะว่าไปแล้วพวกเพื่อนๆ ฐานะสิบล้านกันทั้งนั้น คงไม่ถึงขั้นกินข้าวมื้อนึงก็กินไม่ไหวหรอกมั้ง?

ฟังเมนูอาหารที่เยี่ยเทียนสั่ง พนักงานบริการตกตะลึงจนพูดไม่ออก ปกติเธอเคยเห็นคนรวยเลี้ยงข้าวกันไม่น้อย  แต่ยังไม่เคยเห็นคนที่ฟุ่มเฟือยมากๆอย่างเยี่ยเทียน

แต่พนักงานบริการกลับไม่รู้จริงๆว่าบนเมนูไม่ได้เขียนราคากำกับเอาไว้ ดังนั้นเยี่ยเทียนไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอาหารเหล่านี้รวมแล้วจะต้องเสียเงินท่าไหร่?

ส่วนลาฟีทอะไรนั่น เยี่ยเทียนยิ่งไม่รู้จักเลย เขารู้แค่ว่าไวน์ลาฟีทในตู้ไวน์ของวิลล่าเหล่าถัง เป็นไวน์แดงยี่ห้อเดียวที่เขาสามารถกลืนลงไปได้ ดังนั้นเขาจึงได้สั่งมันไป

หลังจากสั่งอาหารเสร็จพนักงานบริการจึงเดินออกไป นำใบสั่งอาหารยื่นให้กับผู้จัดการสาวคนนั้น ผู้จัดการเองก็ตกใจเช่นกัน รีบเดินไปที่ห้องครัวให้เขาจัดเตรียมอาหาร ส่วนตัวเองวิ่งไปถึงห้องทำงานของผู้จัดการใหญ่ รายงานที่ไปที่มาของเรื่องเมื่อสักครู่ให้กับผู้จัดการใหญ่

“เหอะ คุณภาพตามราคาจริงๆ หอยเป่าฮื้อที่กินอยู่ก็ไม่ได้แย่ไปกว่าที่กินกับเหล่าถังเลยนิ?”

หลังจากที่อาหารเสริฟบนโต๊ะแล้ว เยี่ยเทียนก็เรียกให้ทุกคนจับตะเกียบเริ่มกินกัน ไวน์แดงหนึ่งแก้วไหลลงท้องไป ทุกๆคนก็ลืมเรื่องเมื่อครู่ไปเลย บรรยากาศภายในห้องค่อยๆคึกคักขึ้นมา

“หูเสี่ยวเซียน ได้ข่าวว่าตะวันออกเฉียงเหนือฝั่งนั้นมีการเชิญเทพเจ้า เรื่องจริงหรือเรื่องปลอม?”

กินกันไปจนถึงครึ่งทาง จู่ๆเยี่ยเทียนก็หันไปถามหูเสี่ยวเซียน หลังจากได้ทำความรู้จักภายในไม่กี่ชั่วโมงมานี้ เขาสามารถดูออกเลยว่าผู้หญิงคนนี้มีนิสัยตรงไปตรงมา

หูเสี่ยวเซียนก็ชัดเจนว่าไม่มีการป้องกันเยี่ยเทียน จึงตอบกลับไปว่า “จริงสิ ยายของฉันสามารถเชิญเทพเจ้าจิ้งจอก”

“เชิญเซียนจิ้งจอก? เธอถึงได้ชื่อว่าหูเสี่ยวเซียนสินะ เสี่ยวเซียน เธอกลายร่างจากนางจิ้งจอกใช่ไหมเนี่ย?”

หลังจากได้ยินคำพูดของหูเสี่ยวเทียน เว่ยหรงหรงอดไม่ได้ที่จะแซวเล่น อยู่หอพักเดียวกันมา 4-5 ปี พวกเธอไม่เคยได้

ยินหูเสี่ยวเซียนพูดถึงเรื่องนี้เลย

“อย่าพูดมั่วนะ มีวิญญาณเซียนจิ้งจอกจริงๆนะ ถ้าเขาได้ยินละก็ พวกเธอซวยแน่ๆ” หูเสี่ยวเซียนใช้ฝ่ามืออุดปากของเว่ยหรงหรงเอาไว้อย่างรวดเร็ว สีหน้ามีความหวาดกลัวบ้างและมองไปสี่ทิศรอบๆ

“นี่เชิญเซียนจิ้งจอกอะไรมาเนี่ย มันคืออะไรกันแน่เนี่ย?”

เห็นสีหน้าของหูเสี่ยวเซียน ในใจของเยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะสั่น ถึงแม้เขาเชื่อว่าสรรพสิ่งบนโลกล้วนมีวิญญาณ แต่เขาไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางปีศาจเลย แต่การเชิญเทพเจ้าในฉีเหมินนั้นมีอยู่จริง แต่เยี่ยเทียนเองก็ยังไม่เข้าใจหลักการของมัน

พอเห็นบรรยากาศเริ่มตึงเครียดอีกครั้ง เยี่ยเทียนชูแก้วขึ้นพูดว่า “มา ในฐานะว่าที่สามีของคุณผู้หญิงอวี๋ชิงหย่า ข้าพเจ้าขอขอบคุณคุณผู้หญิงทุกท่านที่ดูแลเธอเป็นอย่างดีมาโดยตลอด!”

“ว้าว หมั้นกันแล้วเหรอ”

“อวี๋ชิงหย่า เธอกล้าไม่บอกพวกเราได้ยังไง!”

“นั่นสิ ฉันเอาเธอตายแน่!”

หลังจากเยี่ยเทียนเผยข้อมูลนี้ออกไป บรรยากาศในห้องส่วนตัวก็คึกคักขึ้นอีกครั้ง ผู้หญิงทั้งหมดก็กินกันเสร็จพอสมควรแล้วก็เริ่มคุยล้อหยอกล้อกันขึ้นมา แต่ก็มีความรู้สึกเหมือนคนที่อยู่ใต้หลังคาเดียวกันกำลังจะจากกันอย่างนั้น

อาหารมื้อนี้กินกันจนถึงบ่ายสามโมงกว่าๆ หลังจากที่เยี่ยเทียนเรียกเก็บเงินแล้ว ผู้ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่า เดินเข้ามาในห้องส่วนตัว

“คุณผู้ชายท่านนี้ครับ ผมคือผู้จัดการใหญ่ของร้านอาหารร้านนี้ครับ อาหารมื้อนี้ของคุณมีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 268,000

หยวน ทางร้านอาหารขอแสดงการขอโทษกับเรื่องเมื่อสักครู่โดยการเก็บคุณเพียง 260,000 ครับ!”

ถึงแม้ผู้ชายคนนี้จะใช้ถ้อยคำสุภาพมาก แต่ตัวเลขที่แจ้งออกมา กลับทำให้ใจของเยี่ยเทียนกำลังเลือดไหล ยื่นมือไปหยิบใบบิลจากมือมาดูอย่างเสียอาการ

 ………….