ภาคที่ 4 บทที่ 223 บังคับ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 223 บังคับ

เวทีการโต้เถียงสำหรับประชาพิจารณ์ได้สิ้นสุดลง

หลังจากซุนโม่โดนปฏิเสธจนพูดไม่ออก หลินเหวินจวิ้นก็รู้ตัวทันทีว่าเขาไม่อาจเอาชนะซูเฉินได้อีกต่อไป แม้ว่าเขาจะสามารถเอาเรื่องยาสามหยางมาถามกดดันอีกฝ่ายต่อได้ แต่เขาก็รู้ว่าชายหนุ่มคงจะสามารถหาทางออกจากสถานการณ์นั้นได้อย่างง่ายดายอีกครั้ง

ขนาดพยานที่รู้ลึกเห็นจริงเขายังสามารถจัดการรับมือได้อย่างหมดจด แล้วเรื่องที่ไม่มีแม้กระทั่งพยานจะทำอะไรเขาได้หรือ ?

อันที่จริง ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในยามนี้ไม่ใช่สาริกาลิ้นทองของเขา แต่เป็นผู้คนของปราการลุ่มน้ำทองมากมายที่ค่อยสนับสนุนเขา

ระบบอำนาจของโลกจริงนั้น ความจริงไม่ได้มีความสำคัญมากนัก สิ่งที่สำคัญกว่าคือของพลังผู้สนับสนุนและอิทธิพล

ในฐานะวีรบุรุษผู้ช่วยกองทัพกำลังสวรรค์เอาไว้ แม่ทัพส่วนใหญ่ปราการลุ่มน้ำทองชื่นชมซูเฉินอย่างมาก พวกเขารู้สึกขอบคุณชายหนุ่มอย่างสุดซึ้งและพร้อมให้การสนับสนุนเสมอ ดังนั้นถึงแม้เขาจะพ่ายแพ้ให้กับคำให้การของซุนโม่ แต่พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องวีรบุรุษคนนี้อยู่ดี ในทางตรงกันข้าม หากไร้ซึ่งการสนับสนุนเหล่านี้ ไม่ว่าซุนโมจะอยู่ที่นี่หรือไม่ก็ไม่ได้สำคัญเลย หากทุกคนที่นี่ต้องการให้เขาตาย แค่อาศัยข้ออ้างง่าย ๆ ที่มากพอจะฆ่าเขาแล้ว

ไม่ใช่ว่าการใช้หลักการ เหตุผล ความจริง และวาทศิลป์ในที่แห่งนี้จะไร้ประโยชน์ ประโยชน์ของมันขึ้นอยู่กับว่าผู้ชมชื่นชอบผู้ที่หยิบพวกมันมาใช้มากน้อยเพียงใด และจำนวนผลงานที่ผู้พูดเคยทำเอาไว้

ถึงซูเฉินจะถูกซุนโม่กดดันจนพูดไม่ออก เขาก็ยังคงสามารถได้รับการยกเว้นอยู่ดี อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับแม่ทัพที่รวมตัวกันเพื่อปกป้องเขา ซึ่งวิธีนั้นเท่ากับการใช้ผลงานจากการช่วยเหลือกองทัพกำลังสวรรค์ เพื่อแลกกับละเว้นจากบทลงโทษที่เขาควรจะได้รับ และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เหมือนอีกฝ่ายชดใช้หนี้ให้เขาแล้ว

กลับกัน เพราะคำให้การของซุนโม่ถูกหักล้างอย่างสมบูรณ์ และซูเฉินพิสูจน์ตัวเองว่าบริสุทธิ์ได้ ผลงานของเขาก็ยังคงถูกนับ ความสัมพันธ์ของเขากับทุกคนจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก อย่างมากที่เขาต้องทำก็คือขอบคุณทุกคนที่มาสนับสนุนเขาอย่างยุติธรรม

ด้วยเหตุนี้ ความยุติธรรมจึงกำหนดต้นทุนไม่ใช่ผลลัพธ์ อิทธิพลอำนาจและความสัมพันธ์ถึงจะเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ที่แท้จริง

นี่อาจเป็นข้อจำกัดที่น่าเศร้าของการพิจารณาคดีในยุคนี้ แต่มันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าของยุคนี้ยุคเดียว

อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับหลินเหวินจวิ้นเลย

จุดประสงค์เดิมของเขาไม่ใช่เพื่อจัดการลงโทษซูเฉินแต่แรกแล้ว

แม้ว่าเขาจะไม่พอใจอย่างมากกับความจริงที่ว่าซูเฉินได้ช่วยกองทัพกำลังสวรรค์ เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าเขา สิ่งที่เขาทำทั้งหมดนี้ในวันนี้ไม่ใช่เพื่อเรื่องนี้ แต่ด้วยเหตุผลที่สำคัญกว่า

————————————

กลางดึก

ที่คฤหาสน์รองผู้บัญชาการ หลินเหวินจวิ้นยืนมือไพล่หลังมองท้องฟ้า ราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในลานบ้านของเขา

ชิวชิงจื้อเดินเข้ามาและพูดขึ้น “ฝ่าบาท”

“อืม เจ้าเห็นเหตุการณ์ในวันนี้แล้วใช่ไหม ?” หลินเหวินจวิ้นถาม

ชิวชิงจื้อตอบรับ “พ่ะย่ะค่ะ ชิงจื้อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจน แม่ทัพ 2 ท่านเชื่อว่าซูเฉินมีความผิด อีก 3 คนเป็นกลาง และ 5 คนเชื่อว่าซูเฉินไม่ผิด เจ้าหน้าที่มากกว่าครึ่งล้วนสนับสนุนซูเฉิน การสนับสนุนของฝ่าบาทในปราการลุ่มน้ำทองยังไม่เพียงพอ”

หลินเหวินจวิ้นพ่นลมหายใจ “เขามีความยุติธรรมในตนเองทว่าไร้ซึ่งสถานะ แต่ไม่ว่าเขาจะคิดว่าเขาเป็นคนชอบธรรมเพียงใด หรือมีพรสวรรค์มากแค่ไหน เขาคิดว่าเขาจะทำอะไรข้าได้จริง ๆ เหรอ ?”

ชิวชิงจื้อกล่าวรับทันที “ฝ่าบาท ไม่ต้องกังวล ท่านเพิ่งได้มาดูแลปราการได้ไม่นาน ย่อมต้องใช้เวลาในการวางรากฐานให้มั่นคง”

“ข้าคือรัชทายาท พวกเขาสมควรจะต้องจงรักภักดีต่อข้าอยู่แล้ว แต่นี่ข้ากลับต้องใช้ทั้งเวลาและพลังเพื่อเอาชนะเอาใจพวกเขา ?” หลินเหวินจวิ้นกล่าวอย่างไม่พอใจ

ชิวชิงจื้อถอนหายใจ

หลินเหวินจวิ้นไม่ใช่คนงี่เง่า ทว่าเขาก็เหมือนรัชทายาทส่วนใหญ่ ที่เชื่อมั่นว่าตัวเองไม่มีข้อผิดพลาด ราวกับว่าทุกสิ่งภายใต้สวรรค์ถูกกำหนดให้เป็นของเขาอะไรทำนองนั้น

จุดประสงค์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของการสอบปากคำซูเฉิน เป็นการตรวจสอบดูว่าในปราการนี้มีกี่คนที่สนับสนุนเขา

ผู้สนับสนุนที่ไว้วางใจได้อย่างแท้จริง แน่วแน่และไม่สนว่าเรื่องต่าง ๆ จะถูกหรือผิด พวกเขาจะดูแต่สถานะเท่านั้น !

ในสายตาของหลินเหวินจวิ้น แม่ทัพปราการลุ่มน้ำทองทั้งหลายสมควรสนับสนุนเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข

น่าเสียดายที่ความจริงมันไม่ได้เป็นไปตามนั้น

การสอบปากคำซูเฉินในวันนี้ได้ทำให้เห็นแล้วว่า แม่ทัพอย่างน้อยครึ่งหนึ่งไม่สนใจที่จะแสดงความเคารพต่อเขา อีกหนึ่งในสี่ยังไม่ได้ตัดสินใจ มีเพียงที่เหลืออีกหนึ่งในสี่เท่านั้นที่ยืนอยู่ข้างเขา

ถึงกระนั้น เขาจะสามารถไว้วางใจคนเหล่านี้ได้มากเพียงใดก็ยังเป็นอีกปัญหาหนึ่ง

หลินเหวินจวิ้นรู้สึกไม่พอใจอย่างมากกับผลลัพธ์แบบนี้

โชคดีที่เขายังมีสติอยู่บ้าง หลังจากบ่นไปสักพักเขาก็พูดต่อ “ข้ารู้ว่าช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ ข้าเคลื่อนไหวเร็วเกินไปหน่อย”

นี่ถือได้ว่าเป็นคำสารภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องกองทัพกำลังสวรรค์ และเทียบได้กับการแสร้งยอมรับความผิดพลาดของตน

น่าเสียดายที่การยอมรับนี้ขาดความจริงใจ และมีเพียงชิวชิงจื้อคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยิน ดังนั้นจึงไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง

ชิวชิงจื้อก้มหน้าและแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่ได้ยิน “ฝ่าบาทมีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง ท่านไม่ได้ทำอะไรผิด”

บัณฑิตชิวถอนหายใจ ไม่น่าแปลกใจเลยที่องค์รัชทายาทผู้นี้จะคิดเป็นเพียงแค่นี้ เพราะเขาถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนเช่นชิวชิงจื้อที่ค่อยยกย่องเขาเสมอ ถึงแม้องค์ชายจะบอกว่าตนเองผิด แต่พวกเขาก็ต้องตอบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ผิด ตัวหลินเหวินจวิ้นโตมาแบบนี้ ถ้าเขาไม่มีความคิดหยิ่งทะนงเลยก็คงเป็นเรื่องแปลก ในทางกลับกันพวกเขาก็ไม่มีความกล้าที่จะบอกว่าองค์รัชทายาทของเขาทำผิดจริง ๆ เหล่าคนที่คิดว่าจะปลุกองค์ชายให้ตื่นขึ้นและสั่งสอนให้เขารู้วิธีที่จะเป็นมนุษย์ที่ดี ท้ายที่สุดก็กลายเป็นกระดูกตายข้างถนนกันไปหมด

หลินเหวินจวิ้นพอใจกับคำพูดของชิวชิงจื้อมาก เมื่อเขาพูดอย่างสุภาพว่าตนทำอะไรผิด สิ่งที่เขาอยากได้ยินไม่ใช่คำพูดที่ว่า ‘ใช่ ท่านผิด’ แต่เป็น ‘ไม่เลย ท่านไม่ได้ทำอะไรผิด ท่านแค่ไล่ตามเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า…’

ชิวชิงจื้อตอบสนองความต้องการนั้นได้เป็นอย่างดี นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาสามารถติดตามอยู่เคียงข้างหลินเหวินจวิ้นมาได้เป็นเวลานาน

“เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับซูเฉิน ?” หลินเหวินจวิ้นถาม

บัณฑิตชิวคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสามารถช่วยกองทัพกำลังสวรรค์ออกมาได้ เพราะงั้นแล้วตัวตนของเขาคงจะไม่ใช่ธรรมดา”

เขารู้ว่าหลินเหวินจวิ้นไม่ชอบซูเฉิน แต่เขาก็รู้ว่าตนไม่อาจเรียกอีกฝ่ายว่าไก่อ่อนได้ ด้วยถูกบังคับให้ใช้กองทัพกำลังสวรรค์ เป็นหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างนั่น

การติดตามเจ้านายคนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เขาจำต้องระวังทุกคำพูดของตน

หลินเหวินจวิ้นถอนหายใจอีกครั้ง “ช่างเป็นคนที่ทรงพลังจริง ๆ เป็นตัวปัญหาเหมือนกับอาจารย์ของมัน ข้าต้องจัดการกับปัญหานี้ เพื่อเอาใจเหล่าคนที่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในราชสำนักทั้งวัน”

องค์รัชทายาทรู้สึกว่าชีวิตของเขาช่างเต็มไปด้วยความยากลำบาก

เขาเป็นองค์รัชทายาท แต่กลับถูกบังคับให้ต้องเอาอกเอาใจผู้อื่น พยายามเข้าข้างประชาชนและเอาใจพวกชนชั้นสูงมากมาย เพื่อให้ได้รับการสนับสนุน ดังนั้นเขาจึงพยายามจะจัดการกับฉือไคฮวง แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เขาต้องขุ่นเคืองกับแม่ทัพกลุ่มหนึ่งของปราการลุ่มน้ำทอง ทว่าฉือไคฮวงก็ไม่ตาย กองทัพกำลังสวรรค์เองก็มีชีวิตรอดกลับมา มันเป็นการตบหน้าเขาชัด ๆ ผลลัพธ์นี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เขาดูเป็นคนเลว มันอาจจะทำให้เหล่าชั้นชนสูงเริ่มส่งเสียงบ่นด้วย

แล้วจะไม่ให้หลินเหวินจวิ้นรู้สึกอึดอัดได้อย่างไร ?

ตอนนี้ฉือไคฮวงกลับมาแล้ว ซูเฉินเองก็กลับมา ทำให้หลินเหวินจวิ้นรู้สึกถึงความกดดันที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน

ตอนนี้เขาไม่เพียงแค่จะต้องจัดการกับฉือไคฮวง แต่ยังต้องจัดการกับซูเฉินด้วย

มีข่าวจากแผ่นดินใหญ่มาถึงเขาว่าซูเฉินคือผู้สร้างโทเทมโลหิตสลาย ในวันข้างหน้า วิธีทะลวงเข้าสู่ด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดอาจจะสร้างสำเร็จด้วยฝีมือของชายหนุ่มก็เป็นได้

พวกชนชั้นสูงไม่ต้องการให้เรื่องนี้เกิดขึ้น พวกเขาจึงทำได้เพียงมอบความไว้วางใจให้หลินเหวินจวิ้นเป็นคนจัดการ

บัดซบ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าน้องสามกดดันเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเขาเริ่มปวดหัวเกินจะรับมือ องค์รัชทายาทเช่นเขาจะมานั่งทำงานให้กับชนชั้นสูงเหล่านั้นได้อย่างไร ?

ความคิดนับไม่ถ้วนแวบเข้ามาในหัวของหลินเหวินจวิ้น ทำเอาเขาแทบจะตายเพราะความหงุดหงิด สีหน้าของเขาก็ค่อย ๆ ดูน่าเกลียดยิ่งขึ้น

ชิวชิงจื้อเห็นว่าหลินเหวินจวิ้นกำลังอารมณ์ไม่ดีจึงรีบพูด “เราควรลองผูกมัดทางนั้นดูไหม ?”

หลินเหวินจวิ้นส่ายหัว “เจ้ารู้ไหมว่ามันทำเงินจากการขายวิธีทะลวงเข้าสู่ด่านกลั่นโลหิต และด่านทะลวงลมปราณโดยไม่ต้องพึ่งสายเลือดได้เท่าไหร่ ? หินพลังต้นกำเนิดนับร้อยล้านก้อน ! เหตุผลที่มันสามารถช่วยกองทัพกำลังสวรรค์กลับมาได้ ส่วนใหญ่ก็เพราะทรัพยากรจำนวนมหาศาลที่มันมี ! เจ้าจะให้ข้าไปบอกมันว่า ‘เฮ้ เจ้าหนู ถ้าเจ้าสัญญากับข้าว่าเจ้าจะไม่แจกจ่ายวิธีทะลวงเข้าสู่ด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดออกไป ข้าจะมอบผลประโยชน์มหาศาลให้เจ้า’ งั้นหรือ แล้วข้าต้องให้มันมากแค่ไหน ? ข้าให้อะไรมันได้บ้าง ?!”

ชิวชิงจื้อไร้คำพูด

ฉือไคฮวงไม่เคยต้องการเงิน เห็นได้ชัดจากความจริงที่ว่าเขาส่งมอบผลงานทั้งหมดของเขาให้ศิษย์จัดการ ในทางกลับกัน ซูเฉินมีเงินมากเกินไป

ไม่ต้องการเงินกับมีเงินมากเกินไป ทำให้เกิดผลลัพธ์แบบเดียวกัน – พวกเขาไม่ใช่พวกที่สามารถซื้อตัวได้ !

อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน

นี่คือเหตุผลที่หลินเหวินจวิ้นต้องการจัดการฉือไคฮวง ด้วยวิธีที่ตรงไปตรงมาตั้งแต่แรก

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดจะใช้กลอุบายลวงตามาก่อน แต่เพราะมันไร้ประโยชน์เหมือนเอามาใช้กับฉือไคฮวง

หากใช้เงินไม่ได้ ก็มีเพียงคำสั่งเท่านั้นที่เขาใช้ได้

ดังนั้นหลินเหวินจวิ้นจึงต้องใช้กำลังบังคับอีกฝ่าย

ปัญหาเดียวคือเขาควรจะบังคับอย่างไร ?

ด้วยความแข็งแกร่งของการต่อสู้ ?

หรือด้วยอำนาจ ?

หลินเหวินจวิ้นเดินครุ่นคิดวนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูด “ซูเฉินมีผลงานมากเกินไป หากเรากดดันมันก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรู้สึกไม่พอใจ ไม่มีอะไรที่เราสามารถทำอย่างเปิดเผยได้อีกแล้ว จากนี้ข้าเกรงว่าเราคงทำได้แต่ลงมืออย่างลับ ๆ จากเบื้องหลัง”

ชิวชิงจื้อกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ลงมืออย่างลับ ๆ ฝ่าบาทหมายถึง… ”

หากจะใช้การลอบสังหารและวิธีลับ ๆ เพื่อจัดการกับซูเฉิน มันไม่จำเป็นจะต้องให้ถึงมือองค์รัชทายาท ตระกูลชั้นสูงพวกนั้นก็แก้ไขปัญหาด้วยตนเองได้

หลินเหวินจวิ้นย่อมสามารถเลือกใช้เส้นทางนี้ได้ มันไม่ได้แต่อย่างไร แต่นี่ก็เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าอำนาจและสถานะของเขาไม่มีความหมายอะไรเลย ดังนั้นการที่ผู้มีอำนาจมากมายเช่นเขาเลือกใช้วิธีการลอบสังหารเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการยอมรับความล้มเหลวของตน

จากมุมมองนี้ ถึงแม้ว่าหลินเหวินจวิ้นจะลอบสังหารซูเฉินได้สำเร็จ แต่มันก็ถือว่าล้มเหลวเช่นกัน

ความล้มเหลวทางการเมือง

เมื่อเขาได้ยินคำเตือนอันละเอียดอ่อนของชิวชิงจื้อ เขาก็เริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที

“ซูเฉินคนนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่รับมือง่ายจริง ๆ”

“อันที่จริง ยังมีหลายวิธีที่จะทำให้ใครสักคนยอมจำนน การใช้เงินหรือคำสั่งไม่ใช้หนทางเดียว บางสิ่งที่อาจดูเหมือนไม่สำคัญสำหรับเรา อาจมีความสำคัญมากสำหรับพวกเขา”

“โอ้ ? เจ้าหมายถึงสิ่งใด ?” หลินเหวินจวิ้นถามอย่างใคร่รู้

ชิวชิงจื้อกล่าว “ฝ่าบาทเคยคิดที่จะใช้ประโยชน์จากผู้คนรอบตัวของอีกฝ่ายบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?”

หลินเหวินจวิ้นส่ายหัวทันที “คนรอบข้าง ? พวกนั้นจะใช้ประโยชน์อะไรได้ มันแยกทางกับตระกูลซูในเมืองหลินเป่ยมานานแล้ว ตอนนี้พวกเขากลายเป็นคนแปลกหน้ากัน คนเดียวที่มันห่วงใยคือมารดาของมัน แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้นางไปอยู่ที่ไหน… ชายผู้นี้เตรียมตัวมาแต่ต้นแล้ว”

ชิวชิงจื้อกล่าวต่อทันที “ข้าไม่ได้หมายถึงคนเหล่านั้น”

“เจ้าไม่ได้หมายถึงพวกเขา ?” หลินเหวินจวิ้นงุนงง “เช่นนั้นเจ้าหมายถึงใคร ?”

“กองทัพกำลังสวรรค์”

“กองทัพกำลังสวรรค์ ?” หลินเหวินจวิ้นสับสน

กองทัพกำลังสวรรค์ถูกหลินเหวินจวิ้นสลายไปแล้ว ส่วนกองทัพกำลังสวรรค์ที่จัดตั้งขึ้นใหม่มีคนเก่าคนแก่อยู่ไม่มากนัก หลินเหวินจวิ้นต้องใช้เวลาสักครู่ถึงจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงกองทัพกำลังสวรรค์เก่า

ชิวชิงจื้อกล่าวขยายความ “ใช่ ข้ากำลังพูดถึงพวกเขา กองทัพกำลังสวรรค์ได้รับการช่วยเหลือจากซูเฉิน จากวิธีที่พวกเขาพูดคุยกันเห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และความสัมพันธ์ที่ว่านี้เป็นความรู้สึกแบบ 2 ทาง กองทัพกำลังสวรรค์รู้สึกขอบคุณซูเฉิน ส่วนซูเฉินก็ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับมิตรภาพของพวกเขา แล้วหากพวกเขามีปัญหา … ”

หลินเหวินจวิ้นเข้าใจ “แต่เมื่อคนเหล่านี้อยู่ด้วยกัน มันก็เป็นเรื่องยากที่จะจัดการ”

“นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าจะแนะนำให้ฝ่าบาทแยกพวกเขาออกจากกันก่อน การจัดการกับกองกำลังที่แยกตัวไปแล้วไม่ใช่เรื่องยาก เราไม่จำเป็นจะต้องลงมือกับกองทัพกำลังสวรรค์ทั้งหมด เพียงส่วนหนึ่งก็เพียงพอที่จะบังคับให้ซูเฉินก้มศีรษะให้เราแล้ว”